ศพ – ตอนที่ 248 ผีดิบแพ็คคู่

ตอนที่ 248 ผีดิบแพ็คคู่

 

คนขับรถแซ่ซูก็เป็นคนธรรมดา จู่ๆมาเจอกับเหตุการณ์แบบนี้เข้าไป ก็ตกใจจนวิ่งหนีก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติ

 

ตอนนี้ศพของฉีโย่วฉายเปลี่ยนไปแล้ว ในเวลานี้เขาได้กลายเป็นผีดิบแล้ว ผิวหนังเน่าเฟะ อ้าปากเผยให้เห็นเขี้ยว กรงเล็บแหลมคม มีขนสีขาวปกคลุมทั่วตัว

 

ถึงแม้จะเห็นแค่แวบเดียว มันก็ทําให้คนกลัวได้แล้ว

 

ตอนนี้เมื่อเห็นคนขับรถแซ่ซูวิ่งออกไป พวกเราก็ไม่มีเวลาสนใจไปวิ่งตามเขา พวกเราจ้องผีดิบที่เพิ่งลุกขึ้นตรงหน้า เพราะการกระทํานี้ทําให้ผีดิบที่กําลังดมกลิ่นอยู่ พร้อมที่จะโจมตีทันที

 

แต่ท่านนักพรตตู๋และคนอื่นๆ ที่แบกโลงออกไปก่อนหน้าก็ได้ยินเสียงของคนขับรถแช่ซูตะโกน

 

พวกเขาก็อดตกใจไม่ได้ จึงหันกลับมามองตามสัญชาตญาณ

 

เมื่อหันมามอง ทุกคนก็เห็นผีดิบยืนอยู่ในโลงพอดี

 

แม้จะเห็นไม่ชัด แต่มันก็ทําให้ตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อ

 

ในเวลาเดียวกัน คนขับรถแซ่ซูยังตะโกนออกมาว่า “ พี่หม่า เหล่าเฉิงรีบหนีเร็ว รีบหนีเร็ว ผีดิบมาแล้ว !”

 

หลังจากพูดจบ คนขับรถแซ่ซูกติดเกียร์หมาวิ่งนําอยู่หน้าสุดแล้ว

 

เมื่อคนขับรถอีกสองคนได้ยินดังนั้น และยังเห็นภาพแบบนั้น พวกเขาก็ตกใจ หน้าถอดสี หัวใจเต้นแรง

 

เมื่อท่านนักพรตตู๋เห็นแบบนั้น ก็รีบพูดปลอบใจทันที “ ไม่เป็นไรไม่เป็นไร อย่าปล่อยมือ แบกโลงต่อไป !”

 

คนขับรถสองคนเผชิญกับเรื่องสยองขวัญ เท้าของพวกเขาจึงแข็งที่อ

 

ส่วนผีดิบตนนั้น ตอนนี้กําลังดมกลิ่นลมหายใจของพวกเราอยู่ มันหันมาอย่างรวดเร็ว มองมาที่พวกเรา

 

กางกรงเล็บที่แสนแหลมคมของผีดิบออก จากนั้นก็คําราม “ โฮก ” ออกมา “ ปัง” ทันใดนั้นมันก็กระโดดออกจากโลงทันที

 

ผมและอาจารย์ยังถือว่าดี เพราะเตรียมใจเอาไว้แล้ว

 

แต่คุณฉี วินาทีนั้นเขาตกใจ ถอยไปข้างหลังอย่างต่อเนื่อง สุดท้ายก็ล้มลงกับพื้น ขณะเดียวกันก็แสดงท่าทางหวาดกลัวอย่างต่อเนื่อง

 

เรื่องนี้เป็นความเข้าใจของเขาไปแล้ว ใบหน้าเน่าเฟะ ผีดิบขนสีขาว นั่นยังใช่พ่อของเขาที่ไหนละ ?

 

เขาตกใจจนพูดจาติดๆขัดๆ เท้าดันตัว ให้ถอยไปข้างหลังอย่างต่อเนื่อง “ อย่า อย่าเข้ามา อย่าเข้ามา… ”

 

แต่เหมือนผีดิบตนนั้นจะรู้จักคุณฉี เมื่อเล็งคุณฉีเรียบร้อย เขาก็ขยับเท้า กระโดดไปหาคุณฉีทันที

 

ฉากแบบนี้ ทําให้คนขับรถอีกสองคนที่หลอนอยู่แล้ว ถึงกับสติแตก

 

“ ผี ผีดิบ ใช่ ใช่ผีดิบจริงๆ !”

 

เสียงของเขาเพิ่งเงียบลง ทันใดนั้นคนขับรถอีกคนหนึ่งก็ตะโกนออกมาทันที “ พระเจ้าช่วย! รีบวิ่งเร็ว ”

 

ตอนนี้เขาระงับความกลัวไม่อยู่แล้ว ถ้าไม่มีชีวิตแล้ว เงินเดือนสามเท่าพวกนั้นจะมีประโยชน์อะไร ?

 

หลังจากพูดจบ เขาจะแบกโลงต่อได้ยังไง เขาไม่สนเรื่องต้องห้ามบ้าบออะไรแล้ว ทันใดนั้นเขาก็ไม่ลังเล ปล่อยไม้คานจากบ่าของเขาทันที

 

เมื่อท่านนักพรตตู๋เห็น สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป ตะโกนออกมาทันที “ ไม่ ไม่ต้องกลัว! อย่าทําโลงแตะพื้น ”

 

แต่ท่านนักพรตตู๋จะห้ามเขาได้ยังไง ? ชายคนนั้นกลัวและคิดจะรักษาชีวิตตัวเองเอาไว้

 

เขาไม่คิดมาก หลังปล่อยคานเสร็จ เขาก็วิ่งออกไปทันที

 

เมื่อคนแบกน้อยลงหนึ่งคน “ ปัก ” ทันใดนั้นโลงก็เสียสมดุลสัมผัสโดนพื้น สุดท้ายก็ตรงกับข้อห้ามที่เคยพูดเอาไว้..

 

ท่านนักพรตตู๋ยึดเอวขึ้น มองดูโลงที่สัมผัสกับพื้น จากนั้นกขมวดคิ้วเล็กน้อย

 

เหล่าเฟิงก็หยุดยืน มองดูโลงเช่นกัน ขณะเดียวกันก็บ่นออกมาทันที “ จบกัน ! ”

 

ส่วนคนขับรถคนสุดท้าย ก็ไม่มีทีท่าว่าจะอยู่ต่อ เขาเองก็รีบลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว และตะโกนใส่คนขับรถอีกสองคนที่อยู่ข้างหน้า “ เหล่าหม่า เหล่าซูรอ รอฉันด้วย… ”

 

หลังจากพูดจบ เขาก็รีบวิ่งไปข้างหน้าทันที

 

ตอนนี้ จึงเหลือเพียงคนปราบสิ่งชั่วร้ายอย่างพวกเราสี่คนและคุณฉีที่ตกใจจนลุกไม่ไหวแล้ว

 

หลังจากคนขับรถสามคนหนีไป โลงของปู่คุณฉี ฉีเต๋อหวาง ก็มีเสียงแปลกๆดังขึ้น

 

เหมือนกับโลงของฉีโย่วฉาย ตอนแรกมีเสียงหายใจ หลังจากนั้นก็เป็นเสียงเล็บข่วนโลง

 

แม้ผีดิบจะเป็นสัตว์ประหลาดที่จัดการได้ยาก แต่ท่านนักพรตตู๋และเฟิงเฉ่วหานร่อนเร่มาหลายปี

 

จึงไม่ได้เคยเจอมาแค่ครั้งเดียว

 

ตอนนี้ผีดิบสองตัวจะออกมาลืมตาดูโลกพร้อมๆกันแล้ว คนขับรถสามคนก็วิ่งหนีไปแล้ว ถึงอยากจะผนึกศพไว้ในโลงก็คงเป็นไปไม่ได้แล้ว

 

เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ทําได้เพียงสู้กันเท่านั้น ทําลายพลังที่หน้าอกของผีดิบทั้งสอง ถึงจะแก้ไขเรื่องนี้ได้

 

หลังจากท่านนักพรตตู๋ตกตะลึงเล็กน้อย เขาก็อ่านสถานการณ์ตรงหน้าออก จึงส่งสัญญาณให้เหล่าเฟิง

 

หยิบอาวุธ เตรียมตัวโจมตี

 

ส่วนผมและอาจารย์ ตอนนี้เมื่อเห็นผีดิบกระโดดไปทางคุณฉี ก็เป็นธรรมดาที่พวกเราจะให้เขาเข้าใกล้ไม่ได้

 

อาจารย์ยกดาบไม้ขึ้นอย่างรวดเร็ว เค้นเสียงดัง ฮึ “ ใน เมื่อนอนอยู่ในโลงแล้ว ก็ไม่ต้องลุกขึ้นมาอีกซิ !”

 

ขณะที่พูด อาจารย์ก็พุ่งเข้าไปหาผีดิบแล้ว

 

ผมเองก็ไม่รอช้า รีบวิ่งตามไปทันที

 

ผมเห็นอาจารย์กระโดด แทงดาบไปที่คอของผีดิบ

 

ผีดิบตนนั้นรู้สึกถึงอันตราย มันจึงหันมาอย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นอาจารย์และผมพุ่งเข้ามา “ โฮก ” มันก็คํารามออกมาทันที คายกลิ่นเน่าเหม็นออกมาจากปาก ใช้แขนผีดิบของมันกวาดมาที่ดาบไม้ของอาจารย์

 

ด้วยพลังที่มหาศาล ทําให้ดาบไม้ของอาจารย์กระเด็นออกไปทันที

 

ผมตามมาติดๆ คิดจะลอบโจมตีด้านข้าง

 

แต่หลังจากที่ผีดิบปัดอาจารย์ออกไป มันก็หมุนตัว ไม่กลัวดาบผมเลยสักนิด

 

ยกกรงเล็บทั้งสองข้างขึ้น จากนั้นก็พุ่งเข้ามาหาผมทันที

 

ผมรีบแทงเข้าไป ที่หน้าอกของมัน

 

แต่ผมรู้สึกเหมือนแทงโดนก้อนหิน ไม่สามารถแทงทะลุร่างของมันได้เลยสักนิด

แต่ผีดิบตนนั้นโกรธมาก มันคําราม “ โฮก ” ใส่ผมทันที กระโดดมาข้างหน้า ทําให้ผมต้องถอยทันที

 

แต่ปากของมันยังเข้ามากัดผมอย่างต่อเนื่อง

 

ผมถอยหลังตามสัญชาตญาณ สุดท้ายผมก็ถอยมาติดต้นไม้ต้นหนึ่ง

 

ผีดิบตนนั้นยังตามมาติดๆ อ้าปากจะกัดผมให้ได้

 

เมื่ออันตรายอยู่ตรงหน้า อาจารย์ก็เข้ามาโจมตีจากทางด้านหลัง เขาจับผมผีดิบเอาไว้ แล้วกระฉากไปทางด้านหลัง “ ออกมา !”

 

เมื่อผีดิบตนนั้นถอยไปข้างหลัง มันก็ล้มลงกับพื้นทันที

 

ผมเห็นโอกาส จึงรีบถอยให้ห่างจากมัน

 

“ ระวัง เจ้าผีดิบเฒ่านี้ถูกดองมาหลายสิบปี ถึงจะเพิ่งออกมา แต่ก็ไม่เหมือนกับผีดิบครั้งที่แล้ว !”

 

อาจารย์มาอยู่ข้างๆผม เขาพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง

 

ผมก็รู้สึกได้ ไม่ว่าจะเป็นพละกําลังของผีดิบตนนี้หรือความรวดเร็ว ก็ต่างจากของศพคุณหนูเหวินมาก

 

และถึงผีดิบตนนี้จะล้ม แต่เขาก็ทําแขนทั้งสองข้างตั้งตรง และลุกขึ้นยืนทันที

 

จากนั้นก็คํารามออกมาอีกครั้ง และพุ่งเข้ามาหาพวกเราทันที

 

อีกทางด้านหนึ่ง โลงของฉีเต๋อหวางก็กําลังส่งเสียงดังปัง ศพของปู่คุณฉี ก็เปลี่ยนไปแล้ว และกลายเป็นผีดิบเหมือนกัน

 

ท่านนักพรตตู๋และเฟิงเฉ่วหานเห็นผีดิบออกมา พวกเขาก็ไม่ลังเล ถือดาบเข้าไปแทงทันที

 

ระหว่างนั้นพวกเราทั้งสองฝั่งก็เริ่มต่อสู้เป็นวงกลม

 

ด้านกําลังคน พวกเราสู้สี่ต่อสอง ยังไงก็ได้เปรียบ แต่เรื่องพละกําลัง กลับแตกต่างกันไม่มากนัก

 

ตามที่อาจารย์พูด ผีดิบสองตนนี้ถูกดองมา 10 ปี กลายเป็นผีดิบเฒ่าแล้ว หนังหนา กระดูกแข็งเหมือนเหล็ก เมื่อตื่นขึ้นมาอย่างรวดเร็วเหมือนกับ “ กําลังเติบโต ”

 

ถึงแม้ท่านนักพรตตู๋และอาจารย์จะเป็นคนปราบสิ่งชั่วร้ายฝีมือดี แต่ก็รับมือกับพวกมันได้อย่างลําบาก

 

จึงไม่ต้องพูดเลยว่าพวกเราจะสามารถกําจัดพวกมันได้ทันที

 

และสิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่านั้นคือ ยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ ผีดิบเฒ่าสองตนนี้ก็จะกลายเป็น “ ผีดิบเต็มตัว ” ได้เร็วขึ้นและก็จะแข็งแกร่งขึ้นอย่างรวดเร็ว

 

จะมีร้ายกาจขึ้น เร็วขึ้น และร่างกายแข็งแกร่งขึ้น

 

ไม่ว่าพละกําลังหรือความเร็ว ในเวลานี้ยังมากขึ้นกว่าตอนออกจากโลงมาก

 

และขนสีขาวที่ผิวของพวกเขา ก็ยังหนาขึ้นมาก พลังชั่วร้ายที่ร่างกายปล่อยออกมา ก็เริ่มเยอะขึ้นเรื่อยๆ

 

ถ้าพวกเราจัดการ ผนึกผีดิบสองตนนี้ก่อนที่จะพวกมันกลายเป็น “ ผีดิบเต็มตัว ” ไม่ได้ งั้นพวกเราก็คงไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกมันแล้ว……

 

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset