ศพ – ตอนที่ 249 ตาข่ายปราบสิ่งชั่วร้าย

ตอนที่ 249 ตาข่ายปราบสิ่งชั่วร้าย

 

จู่ๆศพก็มีการเปลี่ยนแปลง ทําให้พวกเราคิดไม่ถึง

 

แต่เมื่อเกิดขึ้นแล้ว ก็เป็นธรรมดาที่พวกเราจะปล่อยมันผ่านไปโดยไม่แยแสไม่ได้

 

ถ้าปล่อยเจ้าตัวนี้ไป หมู่บ้านในหุบเข้าน้อยๆแหล่งนี้จะต้องทุกข์ทรมานแน่ๆ

 

ดังนั้นพวกเราและพวกอาจารย์จึงต้องคิดวิธีกําจัดผีดิบสองตนนี้ให้เร็วที่สุด แต่ความแข็งแกร่งของผีดิบ สองตนนี้ค่อนข้างเกินความคาดหมายของเรา

 

ถึงจะยังไม่รู้สาเหตุที่แน่นอน แต่พวกมันถูกดองมา 10 ปี แล้ว เมื่อตื่นขึ้นมาก็กลายเป็นผีที่ดุร้ายสุดๆ

 

และมีพลังชั่วร้ายเยอะมาก

 

ร่างกายมีความแข็งเท่ากับเหล็ก ตอนนี้แม้แต่ดาบไม้ที่เป็นอาวุธวิเศษปราบสิ่งชั่วร้าย ก็ยังทําร้ายพวกมันไม่ได้

 

และจากพลังชั่วร้ายที่ผีดิบปล่อยออกมา ทําให้ผีดิบทั้งสองตนนี้มีเวลาทําให้ตัวเองแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ

 

ตอนนี้อาจารย์พยายามป้องกันการโจมตีของผีดิบด้วยดาบ หลังจากนั้นก็หันไปตะโกนทางที่ท่านนักพรตตู๋อยู่ “ เหล่าตู๋ เจ้าผีดิบนี่ค่อนข้างตึงมือ นายมีวิธีอะไรบ้างไหม ? ”

 

เมื่อท่านนักพรตตู๋ได้ยิน เขาก็หันมามอง “ ตอนนี้ฉันมีตาข่ายขังพวกชั่วอยู่ น่าจะสามารถปราบพวกมันได้ แต่ตาข่ายมีแค่ผืนเดียว และมันก็ค่อนข้างเล็ก ต้องคิดวิธีทําให้พวกมันเข้ามาอยู่ติดกัน ! ไม่อย่างนั้นตาข่ายของฉันจะรัดเอาไว้

 

ไม่อยู่”

 

เมื่อยินคําพูดนี้ ทันใดนั้นผมก็พูดแทรกทันที “ ท่านลุงตู๋ อาจารย์ ตรงนั้นมีเนินดินไม่ใช่เหรอ ? แถมมีร่องค่อนข้างแคบด้วย !”

 

เมื่อทั้งสองคนได้ยินผมพูดแบบนั้น พวกเขาก็หันไปมองตรงที่ผมชี้ทันที

 

ทันใดนั้นพวกเขาก็เห็นใกล้ๆมีร่องดินแคบๆอยู่ร่องหนึ่ง ทั้งสองข้างล้วนเป็นเนินเขาที่ลาดชัน

 

แม้ว่าผีดิบจะทรงพลัง หนังหนาแทงเข้ายาก แต่ไม่ได้เคลื่อนไหวเร็วขนาดนั้น

 

ถ้าล่อผีดิบให้เข้าไปติดในร่องดินนั้น และใช้ประโยชน์จากพื้นที่ ก็น่าจะกางตาข่าย รัดพวกมันเอาไว้ได้

 

ท่านนักพรตตู๋และอาจารย์เห็นพื้นที่นั้นไม่เลว พวกเขาจึงไม่ลังเล ท่านนักพรตตู๋ตอบกลับทันที

 

“ ดีงั้นก็ลงมือตรงนั้น !”

 

หลังจากพูดจบ ท่านนักพรตตู๋และเหล่าเฟิงก็เริ่มถอยหลัง ล่อผีดิบให้เข้าไปติดกับ

 

ผมและอาจารย์ก็ไม่รอช้า พวกเราถอยหลังเช่นกัน ทําให้ผีดิบตามมาทันที

 

ส่วนคุณฉี ตอนนี้เขาตกใจจนพูดไม่ออกแล้ว ซ่อนตัวอยู่หลังต้นไม้ และไม่กล้าโพล่หัวออกมามองด้วยซ้ํา

 

พวกเราก็ไม่ได้สนใจคุณฉี ทุ่มเทกายใจในการกําจัดผีดิบอย่างเดียว

 

ผีดิบตัวนี้ก็หน้ามืดตามัว เมื่อเห็นพวกเราถอยหลังไม่หยุดมันก็คําราม “ โฮกโฮก ” ออกมา ยกแขนขึ้น

 

แล้วกระโดดตามมา แบบเร็วสุดๆ

 

แต่ถึงจะเร็วก็ยังเร็วไม่เท่าพวกเรา ผ่านไปไม่นานผีดิบทั้งสองตัวก็มาถึงปากร่อง

 

พวกเราและพวกท่านนักพรตต์ต่างควบคุมเวลากันดีสุดๆ ทุกคนเกือบมาถึงร่องดินพร้อมกัน

 

ตอนนี้เมื่อได้มารวมตัว ทุกคนก็มองหน้ากัน จากนั้นก็กระโดดลงไปในร่อง

 

ผีดิบทั้งสองตนกระโดดๆ ตรงมาโดยไม่ได้คิดอะไรเลย

 

แม้แต่ตอนที่อยู่ตรงปากร่อง ผีดิบทั้งสองตนก็ยังเข้ามาชนกันเอง

 

และในวินาทีนั้นเอง ที่ท่านนักพรตตู๋หยิบตาข่ายออกมา ผมเคยเห็นตาข่ายนี้มาก่อน

 

ครั้งก่อนตอนไปปราบผีทารก เหล่าเฟิงก็ใช้มัน

 

เมื่อถูกตาข่ายรัดเอาไว้ ผีทารกตนนั้นก็ขยับแทบไม่ได้ มันร้ายกาจมาก แต่ไม่รู้ว่าสําหรับผีดิบสองตนนี้

 

มันจะได้ผลแบบนั้นไหม

 

ตอนนี้ผีดิบทั้งสองตนไม่ได้เอะใจเลยสักนิด เมื่อเห็นพวกเราอยู่ข้างใน พวกมันก็ยังคําราม “ โฮกโฮกโฮก ” ออกมาและกระโดดเข้ามาข้างใน

 

ผลลัพธ์พวกมันเพิ่งได้เข้าใกล้พวกเรา ท่านนักพรตตู๋ก็กางตาข่ายในมือออก แล้วโยนใส่ผีดิบสองตนจากหัวลงมาทันที

 

ตาข่ายผืนนี้ทําจากด้ายดํา และถูกฉุบด้วยเลือดหมาดํา บวกกับเคยผ่านการปลุกเสก ทําให้มันมีพลังในระดับพิเศษ

 

ตอนนี้ผีดิบเพิ่งถูกครอบเอาไว้ ท่านนักพรตตู๋ก็ประสานมืออย่างรวดเร็ว กลายเป็นรูปดาบ เขาขมวดคิ้วแน่น จากนั้นก็ตะโกนออกมาทันที “ ขอเชิญเทพลุ่ยลิ้ง รัด ! ”

 

เมื่อคาถาดังขึ้น ตาข่ายปราบสิ่งชั่วร้ายผืนนั้นก็รัดทันที มันบีบผีดิบสองตัวให้เข้ามาติดกัน

 

ส่วนผีดิบสองตัวนั้น ก็ทรมานอย่างเห็นได้ชัด ปากร้อง “ โฮกโฮก ” ออกมาไม่หยุด ตัวดิ้นทุรนทุรายไปมา

 

แต่พลังของผีดิบสองตัวมีเยอะเกินไป นอกจากจะควบคุมไม่ให้อีกฝ่ายเป็นอิสระได้แล้ว มันก็ไม่สามารถปราบอีกฝ่ายได้อย่างสมบูรณ์ และยังมีโอกาสที่อีกฝ่ายอาจหลุดออกมาได้

 

ดังนั้นถ้าคิดจะจัดการทั้งสองตน พวกเรายังต้องใช้อีกวิธี

 

เมื่อผมและเหล่าเฟิงเห็นแบบนั้น เราก็พุ่งเข้าไป บิดดาบไม้ แทงผีดิบทั้งสองตนอย่างบ้าคลั่ง

 

ผลลัพธ์พวกเรากลับพบว่ามันงี่เง่า ดาบไม้ไม่สามารทําร้ายพวกมันได้เลยสักนิด

 

เมื่อท่านนักพรตตู๋เห็นก็อดไม่ได้ที่คิดหนัก มือประสานรูปดาบสั้นอย่างต่อเนื่อง เขาพยายามควบคุมตาข่ายเอาไว้ เพื่อไม่ให้ผีดิบหลุดออกมาได้

 

แม้แต่พลังระดับท่านนักพรตตู๋ ก็ยังดูตึงมือถึงขนาดนั้น

 

“ เหล่าติง ผีดิบสองตัวนี้มีพลังมากกว่าที่เราคิด ฉันคิดว่าอาจใช้ตาข่ายหยุดพวกมันเอาไว้ได้ไม่นาน นายรีบใช้ยันต์ทําลายพลังชั่วของพวกมันเร็วเข้า ! ” ท่านนักพรตตู๋รีบพูด

 

หลังจากที่อาจารย์ได้ยิน เขาก็พยักหน้ารัวๆ

 

ไม่พูดจาไร้สาระ หยิบยันต์อัญเชิญเทพติงเจีย 12 องค์ปราบวิญญาณร้ายออกมาหนึ่งแผ่นจากนั้นก็รีบแปะไปที่ผีดิบทั้งสองตัว

 

แต่ดูเหมือนผีดิบทั้งสองตนจะรู้ว่ายันต์ของอาจารย์นั้นร้ายกาจขนาดไหน ขณะที่ยันต์เข้าไปใกล้พวกมัน ช่วงเวลาลงมือ พวกมันก็ดิ้นรนต่อสู้กับอาจารย์ทันที

 

ผีดิบหนึ่งในนั้นคํารามดัง “ โฮก ” พร้อมกับพ่นควันสีเหลืองอ่อนออกมา

ส่วนอีกตนก็อ้าปากอย่างรวดเร็ว พุ่งเข้าไปกัดอาจารย์

 

อาจารย์ตกใจ คิดไม่ถึงว่าผีดิบตนนี้ยังสามารถพ่นควันพิษออกมาได้

 

ถ้าคนเป็นสัมผัสโดนแค่นิดเดียว ก็จะติดพิษทันที ถ้าปล่อยเอาไว้นานๆ มันก็จะเป็นอันตรายถึงชีวิต

 

เหตุการณ์เกิดขึ้นอย่างกระทันหัน อาจารย์ทําได้เพียงถอยหลังอย่างรวดเร็ว ใช้ประสบการณ์หลายสิบปี

 

หลบควันพิษได้สําเร็จ

 

แต่เขาช้าไปนิดเดียว ขาของเขากลับถูกผีดิบอีกตนกัดจนเป็นแผล

 

เลือดสดๆหยดไหลไปตามขา

 

“ อาจารย์ ! ” ผมตกใจ !

 

นี่มันเป็นผีดิบเลยนะ ถ้าถูกมันกัดหรือข่วน ก็จะติดพิษทันที

 

ผมเป็นห่วงความปลอดภัยของอาจารย์ จึงกระโดดถีบผีดิบตนนั้นทันที

 

ร่างกายของผีดิบตนนั้นถูกมาก ทําให้เท้าน้อยๆของผมชาเลยทีเดียว แต่มันก็ยังถูกผมเตะกระเด็น

 

“ อาจารย์ ! พวกเราไปกันเถอะ ” ผมเป็นห่วงมาก ประคองอาจารย์ให้ถอยหลังอย่างรวดเร็ว เพื่อเว้นระยะห่างจากผีดิบสองตนนั้น

 

อาจารย์ถูกผีดิบกัดจนบาดเจ็บ ถ้าไม่รีบรักษา อาจารย์จะไม่ได้ตายอย่างเดียว ศพของเขายังอาจเปลี่ยนสภาพเจ็ดวันหลังจากนั้นเนื้อของอาจารย์จะเน่าเฟะ

 

อาจารย์มองขาของตัวเอง มันเป็นแผลยาว 5 เซนติเมตร จากลึกแล้วตื้น ภายในระยะเวลาสั้นๆ

 

เนื้อรอบๆก็เริ่มเป็นสีม่วง เป็นอาการที่เกิดจากการติดพิษ

 

เมื่อกี้ยังมีเลือดสีแดงสดไหลอยู่ แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นเลือดสีเข้มแล้ว

 

“ เหล่าติง เป็นยังไงบ้าง ? ” ท่านนักพรตตู๋ก็เป็นห่วง แต่เขายังต้องควบคุมตาข่ายอยู่ จึงไม่สามารถขยับไปไหนได้ และปล่อยมือไม่ได้ ทําได้เพียงมองดูอาจารย์จากที่ห่างไกล

 

อาจารย์กวาดสายตามองแผลของตัวเองแป็บหนึ่ง จากนั้นก็ด่าออกมาทันที “ บ้าเอ้ย ทํางานนี้มา 20 ปี กลับมาล่มในร่องมืดๆนี่ ไม่ต้องห่วงฉันไม่ตายหรอกน่า นายจับเจ้าสองตัวนั้นเอาไว้ก่อนนะ ฉันจะพักหน่อย อีกเดี๋ยวจะกลับไปฆ่าพวกมัน !”

 

หลังจากพูดจบ อาจารย์ก็หยิบข้าวเหนียวออกมาจากกระเบ้ามหาสมบัติของเขา แล้วโรยลงบนบาดแผลของตัวเอง

 

ข้าวเหนียวเพิ่งสัมผัสกับเลือดสีดําบนบาดแผล ทันใดนั้น เสียง “ ซ่าซ่าซ่า ” ของการ “ เผา ” ก็ดังขึ้น พร้อมกันนั้นยังมีควันค่อยๆลอยออกมา

 

อาจารย์เจ็บจนต้องกัดฟัน เสียงฟันกระทบกันดัง “ กึกกกกก ” แต่เขากลับไม่ยอมร้องออกมา

 

หลังจากล้างพิษอย่างง่ายแล้ว ข้าวเหนียวก็กลายเป็นสีดํา

 

อาจารย์ถอนหายใจออกมาสองครั้ง หลังจากนั้นก็พูดกับผมที่อยู่ข้างๆและเฟิงเฉิวหานด้วยเสียงหอบ

 

“ เสี่ยวฝาน เสี่ยวเฟิง ผีดิบสองตัวนี้มีพลังมากกว่าที่เราคิดเอาไว้ ถ้าอยากกําจัดพวกมัน ต้องทําลายพลังชั่วร้ายของพวกมันก่อน ! ”

 

เมื่อเห็นอาจารย์ชี้แนะ ผมก็รีบพูดทันที “ อาจารย์พูดมาเลย พวกเราต้องทํายังไง ?”

 

อาจารย์สูดหายใจเข้า แล้วพูดออกมาอีกครั้ง “ หมาดําใช้เลือดหมาดํา เมื่อกี้หมาดําที่ผูกเอาไว้ที่หมุนศพ

 

ฉันเอาไปผูกไว้ที่หน้าหมู่บ้าน พวกแกสองคนไปเอาเลือดมันมา ขอแค่มีเลือดหมาดํา การกําจัดผีดิบสองตัวนี้ก็จะง่ายขึ้นเยอะ ”

 

ศพ

ศพ

อ่านนิยายเรื่องศพ
Status: Ongoing
โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset