ก่อนที่ผีชั่วจะตาย มันยังกล้าพูดขู่ และยังอยากฆ่าผม สิ่งนี้ทำให้ผมถึงกับหงุดหงิด
“ความตายมาถึงแล้ว แกยังกล้าพูดมากอีกนะ!” หลังจากพูดจบ ผมก็เข้าไปถีบผีชั่วทันที
แต่กลับถูกอาจารย์รั้งเอาไว้ จู่ๆผีชั่วก็หัวเราะ “ฮึฮึฮึ” อย่างเย็นชา “ฉันรู้ว่าเธอคือใคร พวกเขากำลังจะมาถึงแล้ว และแกก็ใกล้จะตายแล้ว!”
ผีชั่วพูดประโยคสุดท้ายกับผม และคำว่า “เธอ” คงหมายถึงผีเมียมู่หลงเหยียน
แต่ที่เขาพูดว่า “พวกเขา” มันหมายถึงใครกันนะ
ขณะที่ผมกำลังทำหน้าสงสัย นักพรตตู๋ที่อยู่ข้างๆก็ลงมือ
เขากวัดแกว่งมือทั้งสองข้างอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นก็พูดว่า “ขอเชิญเทพลุ่ยลิ้ง ทำลาย!”
หลังจากพูดออกมา ยันต์ที่ติดบนหน้าผากของผีชั่วตนนั้น ก็เปล่งแสงสีขาวออกมาจางๆ จากนั้นก็ตามมาด้วยเสียงระเบิดดัง “ปัง”
วินาทีนั้นยันต์ระเบิดในทันที เผยไอร้อนจากพลังหยางออกมา
เพราะยันต์ที่ทรงพลัง จึงทำให้ผีชั่ว ไม่ทันได้เปล่งเสียงออกมาสักนิด ร่างวิญญาณของเขาก็แตกสลาย กลายเป็นแสงสว่างเล็กๆ จากนั้นก็เลือนหายไปทันที
สำหรับคำพูดก่อนตายของเขา แม้ว่าจะทำให้ผมรู้สึกสงสัยอยู่บ้าง แต่ตอนนี้เขาก็ตายไปแล้ว เลยไม่มีใครให้ถามอีก
ดังนั้น ผมจึงไม่คิดมาก คิดซะว่าขณะที่ผีชั่วกำลังจะตายมันแค่พูดเหลวไหลออกมาก็เท่านั้น
เมื่อผีชั่วดับสูญไปต่อหน้า ทุกคนก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
เวลามากกว่าหนึ่งสัปดาห์ติดต่อกัน ทำให้ผม อาจารย์ และเหล่าฉิน ต่างก็เหนื่อยล้า
แต่ตอนนี้ เรื่องทุกอย่างนี้ก็จบลงซะที จึงทำให้พวกเราอดไม่ได้ที่จะรู้สึกโล่งใจ
“ในที่สุดก็จบซะที!” เหล่าฉินพูดออกมาด้วยความโล่งใจ
“เสี่ยวฝาน ตอนนี้แกสบายใจได้ พรุ่งนี้ตื่นขึ้นมา ก็เริ่มเรียนวิชากับอาจารย์ได้แล้ว!” อาจารย์เองก็พูดออกมาด้วยความโล่งอก
ผมคลายความกังวลที่อยู่ในใจไปทันที เมื่อได้ยินว่าอาจารย์จะสอนวิชาให้ผมจริงๆ ผมก็เผยท่าทางดีใจออกมา
ถึงตอนนี้จะดึกมากแล้ว แต่ทุกคนกำลังมีความสุข
เพราะในที่สุดก็จัดการเรื่องเลวร้ายไปได้ซะที จากนั้นพวกเราจึงไปกินข้าวมื้อดึกกันที่ร้านริมถนนภายในตำบล
ผมและอาจารย์ต่างรู้สึกขอบคุณนักพรตตู๋มาก ถ้าไม่ได้นักพรตตู๋ช่วยเอาไว้ ป่านนี้คงไม่สามารถจัดการผีน้ำได้เร็วขนาดนี้
นักพรตตู๋ อาจารย์ และเหล่าฉิน ต่างพากันไปดื่นฉลอง เมื่อคนแก่ทั้งสามได้คุยกันก็ดูเหมือนว่าพวกเขาจะเข้ากันได้ดีเลยละ
นักพรตตู๋ยังพูดว่า ถ้าผ่านไปอีกสักพัก แล้วเขาสามารถเก็บเงินได้มากพอ ก็จะกลับมาอยู่ที่ตำบล ไม่ออกไปร่อนเร่พเนจรอีกแล้ว
แต่เหล่าฉินยังคงต่อว่านักพรตตู๋ นักพรตตู๋ก็ไม่โกรธเหมือนเดิม เขายังเทเหล้าให้อาจารย์และเหล่าฉินต่อไป
แม้ว่าเฟิงเฉ่วหานและผมจะมีอายุเท่ากัน แต่เจ้านี้มันเย็นชาเกินไป แทบไม่พูดอะไรเลยสักนิด
แต่ถึงอย่างนั้นเราก็ยังแลกเบอร์ไว้ติดต่อกัน คงเรียกได้ว่าเป็นเพื่อนคนหนึ่งละมั้ง
เมื่อคืนพวกเรานอนกันจนเกือบเช้า ตอนแรกคิดจะนอนต่ออีกหน่อย แต่ไม่ถึง 10 โมง ก็ถูกอาจารย์ปลุกซะแล้ว
ผมจ้องหน้าอาจารย์ด้วยอาการสะลึมสะลือ และปากที่ไม่พร้อมจะพูด “อาจารย์ นี่มันยังเช้าอยู่เลยนะ! ให้ผมนอนต่ออีกหน่อยเถอะนะอาจารย์!”
ผมยังขี้เกียจสันหลังยาว แต่อาจารย์กลับพูดอย่างเย็นชา “รีบใส่เสื้อผ้าให้เรียบร้อย แล้วออกมาไหว้อาจารย์ปู่!”
หลังจากพูดจบ อาจารย์ก็เดินออกไปทันที
เมื่อได้ยินคำว่าไหว้อาจารย์ปู่ ผมก็พึ่งนึกออก เมื่อวานอาจารย์บอกว่าวันนี้จะถ่ายทอดวิชาให้ผมนิหว่า
ผมไม่รอช้า ร่างกายตื่นตัว รีบลุกขึ้นมานั่ง จากนั้นก็ใส่เสื้อผ้าและออกไปนอกห้องทันที
แต่ในเวลานี้อาจารย์ กำลังยืนอยู่ที่หน้าป้ายวิญญาณอาจารย์ปู่ด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึม
เมื่อเขาเห็นผมออกมา ก็รีบพูดกับผมด้วยเสียงทุ้มต่ำ “คุกเข่าที่หน้าป้ายวิญญาณอาจารย์ปู่!”
ผมไม่กล้าชักช้า รีบเข้ามาคุกเข่าทันที
เมื่ออาจารย์เห็นผมคุกเข่าเรียบร้อย เขาก็จุดธูปสามดอก พูดกับป้ายวิญญาณอาจารย์ปู่ “ลูกศิษย์ติงโย่วซาน ต่อหน้าท่านอาจารย์ผมขอรับติงฝานเป็นลูกศิษย์อีกครั้ง ทำภารกิจของอาจารย์ปู่ให้สำเร็จ เก็บศพด้วยหัวใจ!”
หลังจากพูดจบ อาจารย์ก็ไหว้ป้ายวิญญาณอาจารย์ปู่สามครั้ง
แต่เมื่อผมได้ยินคำพูดของอาจารย์ กลับรู้สึกอึดอัดใจนิดหน่อย อะไรคือ “รับติงฝานเป็นลูกศิษย์อีกครั้ง”
หรือว่าก่อนหน้าผม อาจารย์เคยรับศิษย์มาก่อนงั้นเหรอ
แต่ตอนนี้ผมกำลังดีใจ ความคิดนี้จึงหายไป และไม่คิดมากอีก
หลังจากอาจารย์ไหว้ครบสามครั้ง ก็หยิบมีดขึ้นมาเฉือนนิ้วของผม ที่เป็นการหยดเลือดสาบาน และยังเป็นวิธีกำจัดความชั่วร้าย รักษาความยุติธรรมอะไรทำนองนั้น
จากนั้นอาจารย์พูดอะไร ผมก็พูดตาม
หลังจากสาบานเสร็จ ผมก็ไหว้อาจารย์ปู่สองสามครั้ง จากนั้นก็ถือว่าเสร็จพิธีแล้ว
เมื่ออาจารย์เห็นผมยืนขึ้น เขาก็พูดกับผมว่า “เสี่ยวติง ในเมื่อหยดเลือดสาบานต่อหน้าอาจารย์ปู่แล้ว อาจารย์ก็จะถ่ายทอดวิชาที่แท้จริงให้กับแก!”
หลังจากพูดจบ อาจารย์ก็พาผมไปห้องเล็กๆ
บอกว่าวิชาที่ดีที่สุดของพวกเรา ก็คือยันต์
ดังนั้นวิชาแรกที่อาจารย์จะสอนให้กับแกก็คือการขับไล่วิญญาณชั่วร้าย และยันต์สามแผ่น
ชื่อยันต์ แบ่งออกเป็นยันต์แปดทิศปราบมารร้าย ยันต์ดาวไถทำลายความชั่วและยันต์อัญเชิญเทพติงเจี่ย 12 องค์มาลงโทษวิญญาณร้าย
ส่วนวิธีในการใช้มีการวาด การทำมือ และการกระตุ้น อาจารย์ยังบอกอย่างละเอียดมาก
เมื่อเรียนเรื่องพวกนี้เสร็จ อาจารย์ก็ไม่สนใจผมอีก
บอกว่าการฝึกต้องพึ่งพาตัวเอง ส่วนเรื่องที่ผมจะเข้าใจมากน้อยขนาดไหนนั้น อาจารย์บอกว่าเข้าใจเท่าไหร่ก็เท่านั้นแหละ หลังจากพูดจบอาจารย์ก็เดินออกไปดื่มชาที่ด้านนอก
เนื่องจากติดตามอาจารย์มาหลายปี ผมจึงเคยเห็นยันต์สามแผ่นนี้มาก่อน แต่ผมไม่รู้ว่าเวลาใช้มันจะต้องทำการวาดและการใช้ด้วยมือ
สำหรับเรื่องการกระตุ้นและเรื่องโชคชะตานั้น ผมกลับไม่เคยรู้มาก่อน
เหมือนวันนี้อาจารย์จะสอนทุกอย่าง ผมไม่เพียงรู้สึกดีใจเท่านั้น ยังตั้งใจเรียนอย่างมากด้วย
ผมเข้ามาอยู่ในสายงานนี้ก็หลายปี วิธีวาดจึงไม่ใช่เรื่องยากสำหรับผม หรือพูดได้ว่ายันต์สิบแผ่น ยังสามารถทำให้กลายเป็นแผ่นเดียวได้สบายๆ
ส่วนการทำผสมกับกระบวนท่าทำมือนั้น มันยังเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยากสำหรับผม
ผมฝึกตั้งแต่เช้า จนถึงตอนดึกแต่ก็ยังไม่สามารถทำได้ทุกอย่าง
ดีที่เจ้าผีชั่วนั้นถูกกำจัดไปแล้ว ดังนั้นสองสามวันหลังจากนั้น ผมเลยไม่มีอะไรทำ จึงเอาแต่หมกตัวฝึกวิชาอยู่ในห้องอย่างเดียว
จนกระทั้งสามวันผ่านไป ผมถึงสามารถใช้ยันต์แผ่นแรกได้ มันคือยันต์แปดทิศปราบมารร้ายนั้นเอง
ส่วนอีกสองแผ่นนั้น กระบวนท่าทำมือซับซ้อนเกินไป ผมจึงยังไม่สามารถเข้าใจมันได้
เมื่อถึงเวลาอาหารกลางวัน ผมพูดกับอาจารย์ว่า ตอนนี้ผมสามารถใช้ยันต์แผ่นแรกได้แล้วนะครับ เมื่อได้ยินแบบนั้นอาจารย์ถึงกับตกตะลึงในทันที
ใช้สีหน้าตกใจมองมาที่ผมและพูดว่า “อะไรนะ แกสามารถใช้ยันต์แผ่นแรกได้แล้วอย่างงั้นเหรอ”
เมื่อผมเห็นอาจารย์ตกใจ จึงพูดด้วยน้ำเสียงที่ประหลาดใจเล็กน้อย “อาจารย์ ผมทำได้เร็วหรือช้าไปเหรอครับ”
ทันใดนั้นอาจารย์กลับสูดลมหายใจเข้าลึกๆ จากนั้นก็พูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่แปลกใจเล็กน้อย “ไม่ ไม่ใช่ ตอนนั้น ตอนนั้นอาจารย์ ใช้เวลาทั้งหมด ทั้งหมดสี่วันเลยนะ……”
ที่จริงในใจของอาจารย์กำลังพูดว่า บ้าเอ้ย ตอนนั้นฉันใช้เวลาถึงสี่เดือนเลยนะ
แน่นอน ว่าเสียงเล็กๆเหล่านี้ไม่สามารถลอดสายตาผมได้
แม้ว่าจะไม่เคยเจอกับตัว แต่ก็เคยเห็นมาบ้าง!
ผมอยู่กับอาจารย์มานานขนาดนี้ ผมเลยมองออกอยู่พอสมควร แต่สิ่งที่ขาดหายไปคือเคล็ดวิชากระบวนท่าทำมือ
หลังจากกินข้าวเสร็จ ผมก็ไม่ได้กลับไปฝึกที่ห้อง แต่ยืนอยู่หน้าประตูและหายใจเข้าๆออกๆ
แต่ในตอนนั้นเอง กลับมีรถลีมูซีนมาจอดที่หน้าประตูร้านของผม
จากนั้น ก็มีชายวัยกลางคนลงมาจากรถ
ชายคนนั้นมีสีหน้าหมองคล้ำ เห็นได้ชัดว่าเขากำลังเครียดและหดหู่
หลังจากลงมาจากรถ เขาก็มองสำรวจร้านผมสองสามรอบ เหมือนกับเป็นลูกค้าที่มาเข้าร้าน
เมื่อผมเห็นมีคนมาซื้อของ ก็รีบเดินเข้าไปทันที ผมพูดกับชายวัยกลางคนนั้นว่า “คุณชาย ต้องการมาซื้อของหรือมาขอคำปรึกษาครับ”
เมื่อชายวัยกลางคนได้ยินเสียงของผม เขาก็ยิ้มออกมาเล็กน้อยตามมารยาท จากนั้นก็พูดกับผมว่า “ที่บ้านมีงานศพครับ ผมเลยมาหาติงโย่วซาน เอ่อท่านนักพรตติงครับ ไม่ทราบว่าเขาอยู่ที่นี่ใช่ไหมครับ!”
เมื่อได้ยินว่าเขามาหาอาจารย์ และยังขับรถหรูขนาดนั้น เห็นได้ชัดว่าเขาต้องเป็นลูกค้ารายใหญ่แน่
พวกเราเปิดร้านเพื่อหารายได้ ดังนั้นจึงไม่กล้าลีลา
“นั้นเป็นอาจารย์ของผมครับ เชิญด้านในก่อน เดี๋ยวผมจะไปเรียกมาให้ครับ!” ผมพูดด้วยน้ำเสียงที่สุภาพ แต่การแสดงออกนั้นดูจริงจังมาก
เมื่อบ้านของลูกค้ามีคนตาย แถมยังยิ้มให้ด้วยความยินดี 80% จะต้องพาเคราะห์ร้ายมาหาตัวเองอย่างแน่นอน
ผู้ชายคนนั้นพยักหน้า จากนั้นก็ตามผมเข้าไปในบ้าน
ตอนแรกผมคิดว่า นี่จะเป็นงานศพธรรมดาๆ
แต่ผมไม่รู้อะไรเลยสักนิด ว่าเบื้องหลังของงานนี้ กลับไม่มีอะไรง่ายอย่างที่คิด
มันยุ่งยากมาก จนเกือบเอาชีวิตผมไปเลยละ……