ศพ – ตอนที่ 251 กลับมาพร้อมความล้มเหลว

ตอนที่ 251 กลับมาพร้อมความล้มเหลว

 

เมื่อเห็นภาพแบบนี้ ในใจของผมและเฟิงเฉ่วหานก็มีเสียงดัง “ อึก ” แววตาเต็มไปด้วยความตกใจ

 

จิตใต้สํานึกของผมและเหล่าเฟิงบอกให้พุ่งเข้าไปทันที เมื่อพวกเรามาถึงปากบ่อ ก็พบว่าหมาดํากําลังกระพืออยู่ในน้ํา พร้อมกับส่งเสียงร้อง “ อึกอึกอึก ”

 

ผมอยากช่วยหมาดําขึ้นมา แต่บ่อน้ํานี้ลึกมาก และไม่มีเชือกหรือถังห้อยอยู่เลย ถ้าอยากช่วยหมาออกมาในเวลาอันสั้น มันแทบเป็นไปไม่ได้

 

ภายในสถานการณ์นี้ ถึงจะมีเชือกและหย่อนลงไปช่วยหมา หมาดําตัวนี้ก็อาจถูกเชือกรัดตายไปแล้ว

 

ถ้าหมาดําตาย มันก็จะไม่มีประโยชน์อีกต่อไป

 

และสิ่งที่สําคัญยิ่งกว่านั้นคือ พวกเราไม่มีเวลาเยอะขนาดนั้น

 

“ สมควรตาย แกโยนหมาลงไปได้ยังไง ? ” ผมตะคอกด้วยความโมโห

 

แต่คุณนายฉีกลับหัวเราะ “ ฮ่าฮ่าฮ่า ” “ นักพรตเสี่ยวติง ไม่มีหมาดําแล้ว ตอนนี้คุณทําได้แค่ช่วยฉัน

 

ทําให้เจ้าผีดิบสองตัวนั้นกัดฉีเหลยตาย ขอแค่มันไม่กลับไป ฉันจะให้พวกคุณ 3 ล้าน…”

 

เมื่อพูดถึงตรงนี้ จู่ๆน้ําเสียงของคุณนายฉีก็ฟังดูอ่อนโยนขึ้น เลิกคอเสื้อตัวเองออก เผยให้เห็นผิวที่ขาวเนียน “ ถ้านายช่วยฉัน ไม่ว่าท่านนักพรตทั้งสองจะเสนอเงื่อนไขอะไร ฉันก็รับได้ทั้งนั้น ! ”

 

หลังจากพูดจบ จู่ๆคุณนายฉีก็อ้าปาก ทําลิ้นเลียปากตัว เอง

 

ท่าทางแบบนั้นมันดูเย้ายวนสุดๆ และทําให้คนอยากคล้อยตามมากๆ

 

มันชัดเจน คุณนายฉีคิดจะฆ่าคน เธอกลัวว่าถ้า คุณฉีกลับไปแบบมีชีวิต หลังจากเธอกลับไปเรื่องอื้อฉาวของเธอ จะทําให้เธอต้องออกไปร่อนเร่ข้างนอก และกลัวสูญเสียทรัพย์สมบัติที่ตัวเองมีทั้งหมด

 

เมื่อเห็นพวกเราไม่โลภเรื่องเงินทอง ในเวลานี้เธอจึงคิดจะใช้วิธีอย่างหน้าไม่อาย

 

แม้ว่าเธอจะค่อนข้างหน้าตาดี แต่ในบรรดาผู้หญิงที่ผมรู้จัก ยังไม่ต้องพูดถึงหน้าตาที่งดงามจนล่มเมืองของมู่หลงเหยียน แค่หยางเฉ่ว เสียวม่าน อู่ฮียฮุยก็ไม่ใช่สาวงามชั้นแนวหน้าแล้วเหรอ ?

 

เมื่อเห็นเธอทําตัวเร้าร้อน ถ้าไม่ใช่เพราะเธอเป็นผู้หญิง ผมคงฆ่ายัยคุณนายนี้ไปแล้ว

 

แต่ผมเพิ่งคิดถึงตรงนี้ เหล่าเฟิงที่อยู่ข้างๆกลับตบเธอทันที ขณะเดียวกันยังพูดด้วยเสียงเย็นชา “ ยัยชั่ว !”

 

เหล่าเฟิงก็โมโหสุดๆ ลูกตบนี้ทําให้คุณนายฉีล้มกระแทกกับพื้นทันที

 

แต่คุณนายฉีกลับไม่โกรธ เธอฉีกยิ้มให้ ทันใดนั้นก็หัวเราะ “ ฮ่าฮ่าฮ่า ” ออกมา แต่มันเป็นเสียงหัวเราะที่ขมขื่น พร้อมกันนั้นน้ําตาไหลของเธอก็ค่อยๆออกมาอย่างไม่รู้ตัว

 

ผมไม่รู้ว่าคุณนายฉีกําลังคิดอะไรอยู่ แต่สิ่งที่ผมมั่นใจก็คือ เมื่อไม่มีเลือดหมาดําแล้ว การสู้กับผีดิบก็เป็นเรื่องยากแล้ว

 

ถึงอยู่ที่นี่ต่อไป มันก็ไม่มีความหมายอะไรอีกแล้ว เหล่าเฟิงก็ไม่หันไปสนใจเธอ เขาพูดกับผมตรงๆ

 

“ เหล่าติง พวกเรากลับ ! ”

 

ขณะที่พูด เหล่าเฟิงก็หมุนตัววิ่งออกไปข้างนอกทันที

 

ผมจ้องคุณนายฉี “ ทําตัวเอง !”

 

หลังจากนั้นผมก็วิ่งตามเหล่าเฟิงไปทันที พวกเราออกไปจากหมู่บ้านอย่างรวดเร็ว วิ่งตรงไปที่ภูเขาอีกครั้ง

 

เมื่อพวกเรากลับมา ก็พบว่าท่านนักพรตตู๋ยังคงพยายามควบคุมตาข่ายอยู่

 

อาจารย์บาดเจ็บ แต่ก็กําดาบไม้เอาไว้ เตรียมพร้อมสู้ตลอดเวลา

 

ไม่ใช่แค่นี้ แม้แต่คุณฉีก็มาอยู่ที่นี่ ตอนนี้กําลังกําดาบเหรียญเอาไว้ ยืนกล้าๆกลัวอยู่ข้างๆท่านนักพรตตู๋

 

ส่วนผีดิบทั้งสองตน ยังคงพยายามดิ้นรน คําราม “ โฮก โฮกโฮก” ไม่หยุด

 

ตาข่ายผืนนั้น มีรอยขาดหลายส่วนแล้ว เห็นได้ชัดว่ามันอาจใช้ได้อีกไม่นาน

 

“ อาจารย์ ท่านลุงตู๋ พวกเรากลับมาแล้ว !” ผมตะโกนวิ่งเข้ามาพร้อมกับเหล่าเฟิง ตรงไปที่ร่องดินทันที

 

อาจารย์และท่านนักพรตตู๋เห็นผมสองคนกลับมา จึงยันตัวทันที

 

อาจารย์รีบพูดว่า “ กลับมาพอดี เร็วรีบใช้เลือดหมาดํากําจัดพลังชั่วของผีดิบสองตัวนี้ ”

 

ผลลัพธ์เสียงของอาจารย์เฟิงเงียบลง เขาก็เห็นสิ่งผิดปกติ เพราะในมือของพวกเราไม่มีหมาดํา แถมยังไม่มีขวดหรือชามที่ใส่เลือดหมาดําเอาไว้เลย

 

“ อาจารย์ พวกเรา พวกเราไม่ได้เอาเลือดหมาดํามา. ” ผมพูดด้วยความท้อแท้

 

“ ไม่ได้เอามา ? หมาดําตัวนั้นหายไปเหรอ ? ” อาจารย์ทําหน้าสงสัย ตอนนี้พวกเขากําลังรอเลือดหมาดํามาชําระพลังชั่วอยู่ แต่ผมสองคนกลับไม่ได้นํามันกลับมาด้วย

 

“ ไม่ใช่ท่านลุงติง หมาดําตัวนั้นถูกคุณนายโยน ลงในบ่อน้ํา พวกเราเอากลับมาไม่ได้จริงๆ เลยกลับมาทั้งแบบนี้ !” เหล่าเฟิงพูดแบบนั้นออกมา

 

เมื่อคุณฉีที่อยู่ห่างออกไปได้ยิน สีหน้าก็เปลี่ยน พร้อมกับด่าออกมาทันที “ ยัยชั่ว รอให้กลับไปก่อนฉันจะฆ่ายัยนั้น”

 

อาจารย์และท่านนักพรตตูษก็อดไม่ได้ที่จะแสดงสีหน้าผิดหวัง แต่เรื่องมาถึงขนาดนี้แล้ว พวกเราจึงต้องหาวิธีอื่นเท่านั้น

 

ท่านนักพรตตู๋ที่ควบคุมตาข่ายอยู่ ตอนนี้มีเหงื่อไหลเต็มหน้า เขาพูดออกมาพร้อมกับมือที่สั่นเทา

 

“ ฉัน ฉันจะทนไม่ไหวแล้ว ในเมื่อไม่มีเลือดหมาดํา งั้นก็ต้องสู้กันซึ่งๆหน้าแล้วละ !”

 

อาจารย์สูดหายใจเข้าลึกๆ เขาด่าออกมาทันที “ บ้าเอ้ย ต้องทําแบบนั้นแหละ เสี่ยวเฟิง เสี่ยวฝาน

 

ฉันจะล่อความสนใจของผีดิบสองตัว พวกแกสองคนโจมตีมันจากข้างหลัง เล็งไปที่ประตูชีวิตของพวกมัน พลังชั่วของพวกมันจะได้ไหลออกมา ”

 

หลังจากพูดจบ อาจารย์ก็ไม่สนใจแผลที่ขา เขาพุ่งเข้าใส่ผีดิบสองตนทันที

 

แม้ผีดิบสองตนนั้นจะถูกตาข่ายรัดเอาไว้ แต่พวกมันก็ไม่ได้เสียความสามารถในการเคลื่อนไหวทั้งหมด

 

พวกมันยังคงกระโดดและโจมตีในพื้นที่แคบๆได้

 

ถ้าถูกกระแทกจนล้ม พวกมันยังสามารถกัดได้ และก่อนหน้านี้อาจารย์ก็พิสูจน์ให้เห็นว่ามันเป็นแบบนั้นจริงๆ

 

เมื่ออาจารย์พุ่งเข้าไปอีกครั้ง ผมและเพิ่งเฉ่วหานก็ไม่ได้ลังเล จับดาบไม้วิ่งตามไปติดๆ

 

ผีดิบสองตัวนั้นเห็นพวกเราสามคนพุ่งเข้ามา พวกมันจึงร้อง “ โฮกโฮกโฮก ” และกระโดดมาทางพวกเราเช่นกัน

 

เพราะผีดิบทั้งสองตนถูกขังเอาไว้ด้วยกัน การเคลื่อนไหวของพวกมันจึงไม่ค่อยราบรื่น ความเร็วจึงลดหย่อนตามไปด้วย

 

อาจารย์ที่อยู่หน้าสุด โจมตีก่อน แต่มันไม่มีประโยชน์อะไร และมันยังทําให้ผีดิบทั้งสองตนโกรธหนักกว่าเดิม

 

ผีดิบทั้งสองตนคําราม “ โฮกโฮก ” และพุ่งเข้าหาอาจารย์ทันที เพราะอยากกัดอาจารย์ให้ตายคาที่

 

หลังจากผมและเฟิงเฉิวหานอ้อมมาข้างหลังเรียบร้อย พวกเราก็คิดจะกําจัดผีดิบสองตนนี้จากช่องทาง “ ทานตะวัน” หรือช่องทางสีเหลือง แม้มันจะดูน่าเกลียดไปหน่อยก็เถอะ

 

แต่ผิวของผีดิบแข็งเหมือนเหล็ก พวกเราแทงไม่เข้า ถ้าคิดจะทําลายพลังชั่วของพวกมัน ก็ต้องใช้วิธีนี้เท่านั้น

 

แต่ผมและเหล่าเพิ่งลองหลายรอบแล้ว สุดท้ายพวกเราก็ล้มเหลวทุกครั้ง

 

ไม่ใช่แทงไม่เข้า ก็เป็นเพราะผีดิบสองตนนั้นรู้ล่วงหน้า และอีกนิดเดี๋ยวผมและเหล่าเฟิงก็เกือบบาดเจ็บแล้ว

 

ตอนนี้อาจารย์เหนื่อยจนหอบหายใจแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น เขายังติดพิษ จึงไม่สามารถออกแรงได้ดังใจคิด

 

ทางด้านของท่านนักพรตต์ก็คับขันเช่นกัน เพราะเขาจะควบคุมตาข่ายที่ใช้ขังผีดิบเอาไว้ไม่อยู่แล้ว

 

ทันใดนั้น พวกเราก็ได้ยินเสียงผีดิบคํารามดัง “ โฮก !”

 

ตาข่ายที่ใช้ขังผีดิบสองตนเอาไว้ ส่งเสียงขาดอย่างต่อเนื่อง “ แคักแคึกแควก ” ตาข่ายทั้งผืน ขาดออกเป็นชิ้นๆ

 

ส่วนผีดิบสองตัวนั้นก็หยุดจากพันธนาการ ในเวลานี้พวกมันเพิ่งได้รับอิสระ ผีดิบทั้งสองตนก็ยกแขนขึ้นอย่างรวดเร็ว กางกรงเล็บในมือออก กระโดดแยกกันโจมตีอาจารย์ที่อยู่ข้างหน้าและผมกับเฟิงเฉิวหานที่อยู่ข้างหลัง

 

ทุกคนตกใจ คุณฉีกลัวจนเข้าไปซ่อนหลังก้อนหินที่อยู่ข้างหลัง เขาตัวสั่น และไม่กล้าส่งเสียงใดๆออกมา

 

อาจารย์หายใจทางปาก แต่เมื่อเห็นผีดิบพุ่งเข้ามา เขาก็ยังฝืนตัวเอง จับดาบพุ่งเข้าไปต่อสู้กับมัน

 

ผมและเฟิงเฉ่วหานก็ตะโกนเสียงดัง “ ลงมือโจมตีพร้อมกัน ”

 

น่าเศร้าที่ผีดิบสองตัวนี้กลายเป็นผีดิบอย่างสมบูรณ์แล้ว พละกําลังจึงต่างจากก่อนหน้านี้มาก

 

ถึงแม้ผมและเฟิงเฉ่วหานจะร่วมมือกัน แต่ก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของผีดิบตัวนี้

 

ผลลัพธ์พวกเราเพิ่งเริ่มต่อสู้ ผีดิบตัวนี้ก็กวาดวงแขน

 

พละกําลังนั้นเยอะผิดปกติ และบวกกับผิวที่แข็งเหมือนเหล็ก ราวกับมี “ กล้ามเนื้อ ” อยู่เป็นมัดๆ

 

ผมและเฟิงเฉ่วหานจึงไม่หยุดมันเอาไว้ไม่ได้

 

“ ปังปัง ” ผมและเฟิงเฉ่วหานกระเด็นออกไป จากนั้นก็กระแทกลงกับพื้นของร่องดิน

 

ส่วนผีดิบตนนั้น กลับคํารามออกมาหนึ่งครั้ง หลัง จากนั้นก็กระโดดเข้ามาซ้ำทันที

ศพ

ศพ

อ่านนิยายเรื่องศพ
Status: Ongoing
โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset