ศพ – ตอนที่ 252 อัญเชิญเซียน

ตอนที่ 252 อัญเชิญเซียน

 

ในสายตาของผีดิบ พวกเราก็คืออาหารเลิศรส เลือดสดๆ ที่ไหลอยู่ในร่างกาย ก็คือเครื่องดื่มอันโอชะ

 

แม้ตอนนี้ผมจะโดนผีดิบทําให้กระเด็นออกไปจากตัวมัน แต่เมื่อเห็นอีกฝ่ายพุ่งเข้ามา ผมก็ไม่สนอะไรอีกต่อไป ใช้เท้าถีบเฟิงเฉ่วหานอย่างแรง ในเวลาเดียวก็ตะโกนว่า “ เหล่าเฟิงระวัง ! ”

 

เหล่าเฟิงเองก็ตกใจ แต่ก็ไม่กล้ารอช้า ใช้แรงถีบของผมกลิ้งไปด้านข้างสองสามตลบ

 

เจ้าผีดิบตัวนั้นพุ่งเข้าหาอากาศ มันจึงระเบิดความโมโหออกมาทันที

 

ร่างกายหยุดนิ่ง ลุกขึ้นอีกครั้ง จากนั้นก็กระโดดเข้ามาหาผม

 

แต่เจ้าผีดิบตัวนี้เลือกผิดคน มันมาหาที่ตาย

 

ผมรีบลุกขึ้น แล้ววิ่งไปบนเนินเขาด้วยความรวดเร็ว

 

เนินเขาลูกนี้เป็นพื้นที่ลาดชัน ผมทําได้เพียงใช้ประโยชน์จากพื้นที่ จากบนลงล่าง ชะลอการต่อสู้ทั้งหมดเอาไว้ อาจารย์และท่านนักพรตตู๋เครียดน้อยลง เพราะพวกเขาสร้างโอกาสฆ่าผีดิบอีกตัวได้แล้ว

 

ผีดิบตนนั้นไม่สนใจ เมื่อเห็นผมวิ่งไปบนเนินเขา มันก็กระโดดตามมาทันที

 

แต่บนเนินเขา ความเร็วของมันถูกจํากัดอย่างมาก และมันยังลื่นหลายต่อหลายครั้ง จนตัวเองเกือบล้มด้วยซ้ำ

 

ตอนนี้มันจ้องผมที่อยู่ตรงหน้า พร้อมคํารามออกมาด้วยความโกรธอย่างต่อเนื่อง “ โฮกโฮกโฮก ”

 

หลังจากทิ้งระยะห่างจากผีดิบได้ และเห็นมันคํารามออกมาไม่หยุด ผมก็หาข้าวเหนียวในกระเป๋ามหาสมบัติ จากนั้นก็เล็งและโยนเข้าไปในปากผีดิบที่กําลังคําราม “ โฮกโฮก ” ออกมา

 

ต้องรู้ว่าข้าวเหนียวมีผลต่อสิ่งชั่วร้าย ทันใดนั้นข้าวเหนียวครึ่งหนึ่งก็เข้าไปในปากผีดิบอย่างแม่นยํา

 

ข้าวเหนียวพวกนั้นเพิ่งเข้าไปในปากผีดิบ เสียง “ ซ่าซ่าซ่า ” ก็ดังขึ้นทันที พร้อมกับควันสีดําที่โพยพุ่งออกมาไม่หยุด

 

ผีดิบตัวนั้น เจ็บปวดสุดๆ ทรมานจนเกินจะรับไหว ช่วงเวลานั้นมันร้อง “ โฮกโฮกโฮก ” ออกมาไม่หยุด

 

ข้าวเหนียวแต่ละเม็ดกลายเป็นสีดํา และถูกพ่นออกมาอย่างต่อเนื่อง

 

วินาทีนั้นเห็นได้ชัดว่า ผีดิบโมโหยิ่งกว่าเดิม มันทําท่าเหมือนถ้าไม่กัดผมให้ตายมันจะไม่รามืออย่างแน่นอน

 

ส่วนทางด้านเหล่าเฟิง เขาลุกขึ้นแล้ว และตอนนี้เขาก็หยิบขวดยาสีดําออกมาแล้ว

 

“ ติงฝาน นายถ่วงเวลามันเอาไว้นะ ฉันจะให้เขาออกมาช่วย ! ”

 

หลังจากพูดจบ เฟิงเฉ่วหานก็กินยาเม็ดสีดําเข้าไป แล้วประสานมือสองข้างเข้าด้วยกัน

 

กระแทกเท้าซ้ายกับพื้น จากนั้นก็พูดออกมาเบาๆ “ เพี้ยง!”

 

เมื่อคําพูดนี้หลุดออกมา เหล่าเฟิงที่ยังดีๆอยู่เมื่อกี้ ก็ตาเหลือก “ ปัก ” ล้มลงกับพื้น ปากพ่นฟองน้ำลายสีขาวออกมา ร่างกายชักดิ้นชักงอ เหมือนคนเป็นลมบ้าหมู

 

เมื่อเห็นเหล่าเฟิงกินยาเข้าไปแล้ว จิตใต้สํานึกของผมก็บอกให้หันไปมองไฝดําบนข้อมือซ้าย ผมคิดจะเรียก

 

มู่หลงเหยียนออกมาช่วย

 

แต่เมื่อคิดได้ว่าเธอกําลังโกรธผมอยู่ ผมก็ยกเลิกแผนการนี้ทันที

 

จากนั้น ผมก็เริ่มคิดจะต่อสู้กับผีดิบตรงหน้า เพื่อถ่วงเวลาให้ได้มากที่สุด

 

ผีดิบตนนี้ร้ายกาจมาก ถึงผมจะยืนอยู่ในทําเลที่ดีกว่าและต่อกรกับมันได้ แต่ผมก็ยังโดนมันฟาดจนล้มลงกับพื้นหลายครั้ง หรือแม้แต่เกือบโดนมันกัดคอ โชคยังดีที่ผมสามารถเปลี่ยนร้ายกลายเป็นดี ไม่ทิ้งชีวิตเอาไว้ตรงนั้น

 

ฝั่งของอาจารย์ เขาเองก็กําลังต่อสู้อย่างดุเดือด จนไม่ได้พักหายใจ

 

ท่านนักพรตตู๋และอาจารย์ร่วมมือกัน แต่ก็ยังจัดการผีดิบตัวนี้ได้อย่างลําบาก เพราะทั้งสองฝ่ายมีระดับพลังคู่คี่สูสีกัน จึงไม่สามารถบอกได้ทันทีว่าฝ่ายไหนจะเป็นฝ่ายชนะ

 

ขณะที่ผมกําลังจะสู้ไม่ไหวแล้ว วิญญาณอีกดวงที่กําลังหลับลึกอยู่ในตัวของเฟิงเฉ่วหาน

 

พี่ชายของเฟิงเฉ่วหาน หานเฉ่วเฟิงก็ค่อยๆตื่นขึ้นมา

 

พี่เฟิงส่ายหัวไปมา ค่อยๆลุกขึ้นยืน จากนั้นก็พูดออกมาตามสไตล์ของตัวเอง “ เจ้าขยะนี้ หาเรื่องปวดหัวให้ฉันอีกแล้ว ! ”

 

เมื่อเห็นพี่เฟิงตื่นแล้ว ผมก็รีบตะโกนบอกเขาทันที “ พี่เฟิง พี่เฟิงรีบมาช่วยผมหน่อย ! ”

 

หานเฉ่วเฟิงหันมามอง เมื่อเห็นผมกําลังสู้กับผีดิบบนเนินเขา ท่านนักพรตตู๋และอาจารย์กําลังสู้กับผีดิบอีกตัว เขาก็อดเลิกคิ้วขึ้นไม่ได้ “ สมควรตาย พวกนายไปทําอะไรให้ผีดิบสองตัวนี้อีกละ ?”

 

พี่เฟิงอารมณ์ไม่ดี แต่ก็ยังหยิบดาบไม้ที่พื้นขึ้นมาทันที หลังจากนั้นก็พุ่งมาหาผม

 

ในฐานะที่หานเฉ่วเฟิงเป็นพี่ชายของเฟิงเฉ่วหาน และเป็นวิญญาณที่อาศัยอยู่ร่วมกันในร่างเดียว แต่พลังของพี่เฟิงกลับเยอะกว่ามาก หรืออาจจะเยอะกว่าอาจารย์ด้วยซ้ำ บางที่อาจอยู่ในระดับเดียวกันกับท่านนักพรตตู๋

 

ตอนนี้เมื่อเขามาเพื่อบดขยี้ เขาจึงแสดงพลังที่เกรงขามออกมา

 

เพิ่งเข้ามาใกล้ เขาก็โยนยันต์สามแผ่นออกมาเสกคาถา ด้วยมือข้างเดียวอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็พูดออกมาว่า “ ขอเชิญเทพลุ่ยลิ้ง ทําลาย !”

 

ยันต์สามแผ่นนั้นระเบิดในทันที “ ตูมตูมตูม” ความร้อนจากพลังหยาง ทําให้ผีดิบตัวนั้นช็อกชั่วคราว

 

เสี้ยววินาทีต่อมาผีดิบตัวนั้นก็คําราม “ โฮก ” ออกมาอีกครั้ง มันกระโดดไปข้างหลังหนึ่งก้าว เห็นได้ชัดว่ามันไม่ถูกกับพลังหยางที่ถูกปล่อยออกมาจากยันต์

 

แต่พี่เฟิงยังตามมาติดๆ เขากระโดดลอยตัว ใช้ดาบไม้ในมือแทงเข้าไปที่หน้าผากของผีดิบอย่างจัง “ ปัก”

 

แต่ผีดิบมีหนังหนากระดูกแข็งเหมือนเหล็ก แม้ดาบนี้จะทรงพลังมาก แต่มันก็ไม่สามารถทําร้ายผีดิบเฒ่าได้

 

กลับกันยังทําให้ผีดิบโมโหยิ่งกว่าเดิม มันกางกรงเล็บออกและแทงไปที่พี่เฟิงทันที

 

“ พี่เฟิงระวัง !” ผมรีบลงมือ แยกทั้งสองออกจากกันทันที

 

พี่เฟิงขมวดคิด “ เจ้าผีดิบตัวนี้ร้ายกาจจริงๆ มันคงเปลี่ยนเป็นสายดําแล้วซินะ !”

 

สายดํา คือหนึ่งในระดับของผีดิบที่คนปราบสิ่งชั่วร้ายอย่างพวกเราตั้งให้

 

ผมเคยได้ยินอาจารย์พูดว่า ผีดิบมีสามชนิด ศพตายโหง ผีเงา และศพเดินได้

 

ในสามประเภทนี้ ยังแบ่งออกเป็น 18 ชนิด แต่เราจะไม่ลงรายละเอียดตรงนี้

 

แต่พวกมันมีการแบ่งระดับพลัง จากต่ำไปหาสูงคือ สายขาว สายดํา สายเขียว สายแดง และสายม่วง ทั้งหมด 5 ระ ดับ

 

โดยมองจากสีผมและเส้นขนของพวกมัน แค่นี้เราก็จะสามารถแยกระดับความแข็งแกร่งและความอ่อนแอของพวกมันได้แล้ว

 

แต่โดยปกติแล้ว แค่มีสายขาวออกมาผู้คนก็หวาดกลัวแล้ว จึงไม่ต้องพูดถึงสายดําเลย

 

ส่วนสายเขียว สายแดง หรือสายม่วงที่อยู่ข้างหลัง มีเพียงเรื่องเล่าที่ได้ยินผ่านหูเท่านั้น เพราะผีดิบระดับนี้ ต่างเป็นราชาของพวกผีดิบแล้ว

 

ถ้าย้อนกลับไป นั้นก็คือตํานานเกี่ยวกับ “ ปีศาจ ” ที่สามารถเดินทางได้หลายพันล้ำในดินแดนรกร้างว่างเปล่า ทั้งเหาะและบุกน้ำลุยไฟได้

 

ตอนนี้เมื่อได้ยินพี่เฟิงพูดว่าเจ้านี้กลายเป็นสายดํา ผมก็อึ้งในทันที

 

เจ้านี้เพิ่งลุกออกมาไม่นาน มันก็กลายเป็นสายดําแล้วเหรอ ? นี่มันเว่อร์เกินไปแล้วมั้ง !

 

ผมลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็รีบพูดออกมาว่า “ พี่เฟิง แล้วเราจะสู้ได้ไหม ? ”

 

“ พูดยาก ถ้าสู้ด้วยพลังของฉันตอนนี้ แล้วร่วมมือกับอาจารย์นายและตาเฒ่านั้น แล้วสู้กันแค่ตัวนี้ก็อาจเป็นไปได้ แต่ถ้าคิดจะสู้สองตัวมันยากมาก ! ” ขณะที่พี่เฟิงกําลังสู้กับผีดิบ เขาก็พูดออกมาด้วยน้ำเสียงหนักใจ

 

เมื่อได้ยินคําพูดนี้ ผมก็อดสูดหายใจเข้าไม่ได้ ผมคิดว่าสถานการณ์ตึงมือมาก และจัดการยากสุดๆ

 

แต่ในตอนนั้นเอง จู่ๆอาจารย์ก็ตะโกนมาทางผมว่า “ เสี่ยวฝาน ตอนนี้ เราต้องอัญเชิญเซียนมาเท่านั้น !”

 

เมื่อได้ยินอาจารย์พูดแบบนั้น ผมก็แสดงสีหน้าหนักใจออกมา

 

ตอนนี้ผมเป็นชูหม่า สามารถอัญเชิญเซียนจากการ “ อุ่นเชียว ” ได้ หรือก็คือให้มาสถิตร่างนั้นเอง

 

ก่อนหน้าผมก็เคยคิดว่าจะใช้วิธีนี้ แต่ปัญหาคือ เมื่อวานตอนออกจากบ้าน ผมไม่คิดว่าจะต้องมาเจอผีดิบ

 

คิดว่าเป็นการย้ายหลุมศพธรรมดา ดังนั้นจึงไม่ได้นํา “ ป้ายเซียน” มาด้วย หรือแผ่นป้ายสีดํา

 

ถ้าผมอยากจะอัญเชิญเซียน ก็ต้องใช้แผ่นป้าย ถึงจะติดต่อกับพวกเขาได้

 

ไม่อย่างนั้นจะต้องกลับบ้านไปเชิญที่ป้ายวิญญาณ หรือไปหาปู่หูลิ่วที่ศาลเจ้าหลักเมือง

 

ผมแสดงสีหน้าอึดอัดใจ แล้วพูดกับอาจารย์ว่า “ อาจารย์ ผมลืมเอาป้ายเซียนมา !”

 

เมื่ออาจารย์ได้ยินผมพูดแบบนั้น จู่ๆเขา ก็ถอยหลังหลายก้าว จากนั้นก็ล้วงเข้าไปในกระเป๋ามหาสมบัติ

 

หยิบแผ่นไม้สีดํารูปหัวจิ้งจอก ที่มีอักษรคําว่าจิ้งจอกสลักเอาไว้ออกมา

 

“ อาจารย์หยิบมาเพื่อแกแล้ว รับไป ! ” หลังจากพูดจบอาจารย์ก็โยนแผ่นป้ายมาทางผม

 

เมื่อเห็นป้ายเซียน ผมก็ดีใจ ขณะเดียวกันก็วิ่งเข้าไปรับเอาไว้ทันที

 

ตอนนี้มีป้ายเซียนแล้ว ผมจึงไม่รอช้า และไม่พูดพร่ำทําเพลง

 

บอกให้พี่เฟิงต้านไปพักหนึ่ง หลังจากนั้นผมก็ถอยหลังอย่างรวดเร็ว

 

มือหนึ่งถือป้ายเซียนเอาไว้ อีกมือเสกคาถา เอาขาคุกเข่ากับพื้นข้างหนึ่ง หลังจากท่องคาถาเสร็จ

 

ผมก็พูดออกมาดังๆ “ ข้าติงฝานลูกศิษย์และชูหม่าของเจ้าแม่เย่เสี่ยวซีแห่งเผ่าจิ้งจอก วันนี้เจอภัยร้าย

 

ไม่อาจปกป้องตัวเองได้ ขออัญเชิญเซียนมาสถิตเพื่อช่วยเหลือด้วย ”

 

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset