ตอนที่ 252 อัญเชิญเซียน
ในสายตาของผีดิบ พวกเราก็คืออาหารเลิศรส เลือดสดๆ ที่ไหลอยู่ในร่างกาย ก็คือเครื่องดื่มอันโอชะ
แม้ตอนนี้ผมจะโดนผีดิบทําให้กระเด็นออกไปจากตัวมัน แต่เมื่อเห็นอีกฝ่ายพุ่งเข้ามา ผมก็ไม่สนอะไรอีกต่อไป ใช้เท้าถีบเฟิงเฉ่วหานอย่างแรง ในเวลาเดียวก็ตะโกนว่า “ เหล่าเฟิงระวัง ! ”
เหล่าเฟิงเองก็ตกใจ แต่ก็ไม่กล้ารอช้า ใช้แรงถีบของผมกลิ้งไปด้านข้างสองสามตลบ
เจ้าผีดิบตัวนั้นพุ่งเข้าหาอากาศ มันจึงระเบิดความโมโหออกมาทันที
ร่างกายหยุดนิ่ง ลุกขึ้นอีกครั้ง จากนั้นก็กระโดดเข้ามาหาผม
แต่เจ้าผีดิบตัวนี้เลือกผิดคน มันมาหาที่ตาย
ผมรีบลุกขึ้น แล้ววิ่งไปบนเนินเขาด้วยความรวดเร็ว
เนินเขาลูกนี้เป็นพื้นที่ลาดชัน ผมทําได้เพียงใช้ประโยชน์จากพื้นที่ จากบนลงล่าง ชะลอการต่อสู้ทั้งหมดเอาไว้ อาจารย์และท่านนักพรตตู๋เครียดน้อยลง เพราะพวกเขาสร้างโอกาสฆ่าผีดิบอีกตัวได้แล้ว
ผีดิบตนนั้นไม่สนใจ เมื่อเห็นผมวิ่งไปบนเนินเขา มันก็กระโดดตามมาทันที
แต่บนเนินเขา ความเร็วของมันถูกจํากัดอย่างมาก และมันยังลื่นหลายต่อหลายครั้ง จนตัวเองเกือบล้มด้วยซ้ำ
ตอนนี้มันจ้องผมที่อยู่ตรงหน้า พร้อมคํารามออกมาด้วยความโกรธอย่างต่อเนื่อง “ โฮกโฮกโฮก ”
หลังจากทิ้งระยะห่างจากผีดิบได้ และเห็นมันคํารามออกมาไม่หยุด ผมก็หาข้าวเหนียวในกระเป๋ามหาสมบัติ จากนั้นก็เล็งและโยนเข้าไปในปากผีดิบที่กําลังคําราม “ โฮกโฮก ” ออกมา
ต้องรู้ว่าข้าวเหนียวมีผลต่อสิ่งชั่วร้าย ทันใดนั้นข้าวเหนียวครึ่งหนึ่งก็เข้าไปในปากผีดิบอย่างแม่นยํา
ข้าวเหนียวพวกนั้นเพิ่งเข้าไปในปากผีดิบ เสียง “ ซ่าซ่าซ่า ” ก็ดังขึ้นทันที พร้อมกับควันสีดําที่โพยพุ่งออกมาไม่หยุด
ผีดิบตัวนั้น เจ็บปวดสุดๆ ทรมานจนเกินจะรับไหว ช่วงเวลานั้นมันร้อง “ โฮกโฮกโฮก ” ออกมาไม่หยุด
ข้าวเหนียวแต่ละเม็ดกลายเป็นสีดํา และถูกพ่นออกมาอย่างต่อเนื่อง
วินาทีนั้นเห็นได้ชัดว่า ผีดิบโมโหยิ่งกว่าเดิม มันทําท่าเหมือนถ้าไม่กัดผมให้ตายมันจะไม่รามืออย่างแน่นอน
ส่วนทางด้านเหล่าเฟิง เขาลุกขึ้นแล้ว และตอนนี้เขาก็หยิบขวดยาสีดําออกมาแล้ว
“ ติงฝาน นายถ่วงเวลามันเอาไว้นะ ฉันจะให้เขาออกมาช่วย ! ”
หลังจากพูดจบ เฟิงเฉ่วหานก็กินยาเม็ดสีดําเข้าไป แล้วประสานมือสองข้างเข้าด้วยกัน
กระแทกเท้าซ้ายกับพื้น จากนั้นก็พูดออกมาเบาๆ “ เพี้ยง!”
เมื่อคําพูดนี้หลุดออกมา เหล่าเฟิงที่ยังดีๆอยู่เมื่อกี้ ก็ตาเหลือก “ ปัก ” ล้มลงกับพื้น ปากพ่นฟองน้ำลายสีขาวออกมา ร่างกายชักดิ้นชักงอ เหมือนคนเป็นลมบ้าหมู
เมื่อเห็นเหล่าเฟิงกินยาเข้าไปแล้ว จิตใต้สํานึกของผมก็บอกให้หันไปมองไฝดําบนข้อมือซ้าย ผมคิดจะเรียก
มู่หลงเหยียนออกมาช่วย
แต่เมื่อคิดได้ว่าเธอกําลังโกรธผมอยู่ ผมก็ยกเลิกแผนการนี้ทันที
จากนั้น ผมก็เริ่มคิดจะต่อสู้กับผีดิบตรงหน้า เพื่อถ่วงเวลาให้ได้มากที่สุด
ผีดิบตนนี้ร้ายกาจมาก ถึงผมจะยืนอยู่ในทําเลที่ดีกว่าและต่อกรกับมันได้ แต่ผมก็ยังโดนมันฟาดจนล้มลงกับพื้นหลายครั้ง หรือแม้แต่เกือบโดนมันกัดคอ โชคยังดีที่ผมสามารถเปลี่ยนร้ายกลายเป็นดี ไม่ทิ้งชีวิตเอาไว้ตรงนั้น
ฝั่งของอาจารย์ เขาเองก็กําลังต่อสู้อย่างดุเดือด จนไม่ได้พักหายใจ
ท่านนักพรตตู๋และอาจารย์ร่วมมือกัน แต่ก็ยังจัดการผีดิบตัวนี้ได้อย่างลําบาก เพราะทั้งสองฝ่ายมีระดับพลังคู่คี่สูสีกัน จึงไม่สามารถบอกได้ทันทีว่าฝ่ายไหนจะเป็นฝ่ายชนะ
ขณะที่ผมกําลังจะสู้ไม่ไหวแล้ว วิญญาณอีกดวงที่กําลังหลับลึกอยู่ในตัวของเฟิงเฉ่วหาน
พี่ชายของเฟิงเฉ่วหาน หานเฉ่วเฟิงก็ค่อยๆตื่นขึ้นมา
พี่เฟิงส่ายหัวไปมา ค่อยๆลุกขึ้นยืน จากนั้นก็พูดออกมาตามสไตล์ของตัวเอง “ เจ้าขยะนี้ หาเรื่องปวดหัวให้ฉันอีกแล้ว ! ”
เมื่อเห็นพี่เฟิงตื่นแล้ว ผมก็รีบตะโกนบอกเขาทันที “ พี่เฟิง พี่เฟิงรีบมาช่วยผมหน่อย ! ”
หานเฉ่วเฟิงหันมามอง เมื่อเห็นผมกําลังสู้กับผีดิบบนเนินเขา ท่านนักพรตตู๋และอาจารย์กําลังสู้กับผีดิบอีกตัว เขาก็อดเลิกคิ้วขึ้นไม่ได้ “ สมควรตาย พวกนายไปทําอะไรให้ผีดิบสองตัวนี้อีกละ ?”
พี่เฟิงอารมณ์ไม่ดี แต่ก็ยังหยิบดาบไม้ที่พื้นขึ้นมาทันที หลังจากนั้นก็พุ่งมาหาผม
ในฐานะที่หานเฉ่วเฟิงเป็นพี่ชายของเฟิงเฉ่วหาน และเป็นวิญญาณที่อาศัยอยู่ร่วมกันในร่างเดียว แต่พลังของพี่เฟิงกลับเยอะกว่ามาก หรืออาจจะเยอะกว่าอาจารย์ด้วยซ้ำ บางที่อาจอยู่ในระดับเดียวกันกับท่านนักพรตตู๋
ตอนนี้เมื่อเขามาเพื่อบดขยี้ เขาจึงแสดงพลังที่เกรงขามออกมา
เพิ่งเข้ามาใกล้ เขาก็โยนยันต์สามแผ่นออกมาเสกคาถา ด้วยมือข้างเดียวอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็พูดออกมาว่า “ ขอเชิญเทพลุ่ยลิ้ง ทําลาย !”
ยันต์สามแผ่นนั้นระเบิดในทันที “ ตูมตูมตูม” ความร้อนจากพลังหยาง ทําให้ผีดิบตัวนั้นช็อกชั่วคราว
เสี้ยววินาทีต่อมาผีดิบตัวนั้นก็คําราม “ โฮก ” ออกมาอีกครั้ง มันกระโดดไปข้างหลังหนึ่งก้าว เห็นได้ชัดว่ามันไม่ถูกกับพลังหยางที่ถูกปล่อยออกมาจากยันต์
แต่พี่เฟิงยังตามมาติดๆ เขากระโดดลอยตัว ใช้ดาบไม้ในมือแทงเข้าไปที่หน้าผากของผีดิบอย่างจัง “ ปัก”
แต่ผีดิบมีหนังหนากระดูกแข็งเหมือนเหล็ก แม้ดาบนี้จะทรงพลังมาก แต่มันก็ไม่สามารถทําร้ายผีดิบเฒ่าได้
กลับกันยังทําให้ผีดิบโมโหยิ่งกว่าเดิม มันกางกรงเล็บออกและแทงไปที่พี่เฟิงทันที
“ พี่เฟิงระวัง !” ผมรีบลงมือ แยกทั้งสองออกจากกันทันที
พี่เฟิงขมวดคิด “ เจ้าผีดิบตัวนี้ร้ายกาจจริงๆ มันคงเปลี่ยนเป็นสายดําแล้วซินะ !”
สายดํา คือหนึ่งในระดับของผีดิบที่คนปราบสิ่งชั่วร้ายอย่างพวกเราตั้งให้
ผมเคยได้ยินอาจารย์พูดว่า ผีดิบมีสามชนิด ศพตายโหง ผีเงา และศพเดินได้
ในสามประเภทนี้ ยังแบ่งออกเป็น 18 ชนิด แต่เราจะไม่ลงรายละเอียดตรงนี้
แต่พวกมันมีการแบ่งระดับพลัง จากต่ำไปหาสูงคือ สายขาว สายดํา สายเขียว สายแดง และสายม่วง ทั้งหมด 5 ระ ดับ
โดยมองจากสีผมและเส้นขนของพวกมัน แค่นี้เราก็จะสามารถแยกระดับความแข็งแกร่งและความอ่อนแอของพวกมันได้แล้ว
แต่โดยปกติแล้ว แค่มีสายขาวออกมาผู้คนก็หวาดกลัวแล้ว จึงไม่ต้องพูดถึงสายดําเลย
ส่วนสายเขียว สายแดง หรือสายม่วงที่อยู่ข้างหลัง มีเพียงเรื่องเล่าที่ได้ยินผ่านหูเท่านั้น เพราะผีดิบระดับนี้ ต่างเป็นราชาของพวกผีดิบแล้ว
ถ้าย้อนกลับไป นั้นก็คือตํานานเกี่ยวกับ “ ปีศาจ ” ที่สามารถเดินทางได้หลายพันล้ำในดินแดนรกร้างว่างเปล่า ทั้งเหาะและบุกน้ำลุยไฟได้
ตอนนี้เมื่อได้ยินพี่เฟิงพูดว่าเจ้านี้กลายเป็นสายดํา ผมก็อึ้งในทันที
เจ้านี้เพิ่งลุกออกมาไม่นาน มันก็กลายเป็นสายดําแล้วเหรอ ? นี่มันเว่อร์เกินไปแล้วมั้ง !
ผมลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็รีบพูดออกมาว่า “ พี่เฟิง แล้วเราจะสู้ได้ไหม ? ”
“ พูดยาก ถ้าสู้ด้วยพลังของฉันตอนนี้ แล้วร่วมมือกับอาจารย์นายและตาเฒ่านั้น แล้วสู้กันแค่ตัวนี้ก็อาจเป็นไปได้ แต่ถ้าคิดจะสู้สองตัวมันยากมาก ! ” ขณะที่พี่เฟิงกําลังสู้กับผีดิบ เขาก็พูดออกมาด้วยน้ำเสียงหนักใจ
เมื่อได้ยินคําพูดนี้ ผมก็อดสูดหายใจเข้าไม่ได้ ผมคิดว่าสถานการณ์ตึงมือมาก และจัดการยากสุดๆ
แต่ในตอนนั้นเอง จู่ๆอาจารย์ก็ตะโกนมาทางผมว่า “ เสี่ยวฝาน ตอนนี้ เราต้องอัญเชิญเซียนมาเท่านั้น !”
เมื่อได้ยินอาจารย์พูดแบบนั้น ผมก็แสดงสีหน้าหนักใจออกมา
ตอนนี้ผมเป็นชูหม่า สามารถอัญเชิญเซียนจากการ “ อุ่นเชียว ” ได้ หรือก็คือให้มาสถิตร่างนั้นเอง
ก่อนหน้าผมก็เคยคิดว่าจะใช้วิธีนี้ แต่ปัญหาคือ เมื่อวานตอนออกจากบ้าน ผมไม่คิดว่าจะต้องมาเจอผีดิบ
คิดว่าเป็นการย้ายหลุมศพธรรมดา ดังนั้นจึงไม่ได้นํา “ ป้ายเซียน” มาด้วย หรือแผ่นป้ายสีดํา
ถ้าผมอยากจะอัญเชิญเซียน ก็ต้องใช้แผ่นป้าย ถึงจะติดต่อกับพวกเขาได้
ไม่อย่างนั้นจะต้องกลับบ้านไปเชิญที่ป้ายวิญญาณ หรือไปหาปู่หูลิ่วที่ศาลเจ้าหลักเมือง
ผมแสดงสีหน้าอึดอัดใจ แล้วพูดกับอาจารย์ว่า “ อาจารย์ ผมลืมเอาป้ายเซียนมา !”
เมื่ออาจารย์ได้ยินผมพูดแบบนั้น จู่ๆเขา ก็ถอยหลังหลายก้าว จากนั้นก็ล้วงเข้าไปในกระเป๋ามหาสมบัติ
หยิบแผ่นไม้สีดํารูปหัวจิ้งจอก ที่มีอักษรคําว่าจิ้งจอกสลักเอาไว้ออกมา
“ อาจารย์หยิบมาเพื่อแกแล้ว รับไป ! ” หลังจากพูดจบอาจารย์ก็โยนแผ่นป้ายมาทางผม
เมื่อเห็นป้ายเซียน ผมก็ดีใจ ขณะเดียวกันก็วิ่งเข้าไปรับเอาไว้ทันที
ตอนนี้มีป้ายเซียนแล้ว ผมจึงไม่รอช้า และไม่พูดพร่ำทําเพลง
บอกให้พี่เฟิงต้านไปพักหนึ่ง หลังจากนั้นผมก็ถอยหลังอย่างรวดเร็ว
มือหนึ่งถือป้ายเซียนเอาไว้ อีกมือเสกคาถา เอาขาคุกเข่ากับพื้นข้างหนึ่ง หลังจากท่องคาถาเสร็จ
ผมก็พูดออกมาดังๆ “ ข้าติงฝานลูกศิษย์และชูหม่าของเจ้าแม่เย่เสี่ยวซีแห่งเผ่าจิ้งจอก วันนี้เจอภัยร้าย
ไม่อาจปกป้องตัวเองได้ ขออัญเชิญเซียนมาสถิตเพื่อช่วยเหลือด้วย ”