ศพ – ตอนที่ 253 ปลิวสถิตร่าง

ตอนที่ 253 ปลิวสถิตร่าง

 

หลังจากพูดจบ ผมก็ยกแผ่นไม้สีดําขึ้นอย่างรวดเร็ว เพื่อเชิญเซียนมาสถิตร่าง

 

แต่ผมเพิ่งเคยทําเรื่องนี้ครั้งแรก จึงเครียดมาก ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นหลังจากนี้

 

และไม่รู้ว่าแผ่นป้ายสีดํานี้จะใช้ได้ไหม หรือเรียกเซียนมาได้จริงๆรึเปล่า แม้แต่ตัวผมเองก็ยังไม่แน่ใจ

 

แต่ผมเพิ่งคิดถึงตรงนี้ ทันใดนั้นเหตุการณ์แปลกประหลาดก็เกิดขึ้น

 

จู่ๆแผ่นป้ายในมือของผม ก็เย็นขึ้นเล็กน้อย มีแสงส่องประกาย ทันใดนั้นเองพลังเวทย์มหาศาลก็หลั่งไหลออกมาจากแผ่นป้าย

 

ต่อจากนั้น ผมก็ได้ยินเสียงของชายชราคนหนึ่งดังก้องอยู่ในหัวของผม “ ผู้อาวุโสลําดับที่หกแห่งเผ่าจิ้งจอก หูลิ่วมาช่วย…. ”

 

เมื่อได้ยินเสียงนี้ ผมก็ช็อกทันที

 

จิ้งจอกหก ก็คือปู่หูลิ่วที่อยู่ที่ศาลเจ้าหลักเมืองในตอนนี้

 

คิดไม่ถึงว่าแผ่นป้ายนี้จะสามารถใช้ได้จริงๆ นี่เพิ่งผ่านไปแป๊บเดียว ผมก็ได้รับการตอบกลับจากเซียนแล้ว

 

ขณะที่เสียงนี้เงียบลง ทันใดนั้นเงาจิ้งจอกตัวหนึ่งก็ออกมาจากแผ่นป้าย แล้วพุ่งใส่หัวของผมทันที

 

ไม่รอให้ผมได้มองเห็นอย่างชัดเจน เงามัวๆนั้นก็เข้าไปอยู่ในร่างกายของผมแล้ว

 

เพียงเสี้ยววินาที ผมก็รู้สึกว่ามีพลังแปลกๆกําลังไหลเวียนอยู่ในร่างกายของผม

 

ร่างการของผมแข็งที่อ พลังเข้ามารวมกันที่หัวใจ

 

นอกจากนี้ ทันใดนั้นผมก็รู้สึกปั่นป่วนเหมือนโลกกําลังกลับหัว

 

ผมอยากคงสติของตัวเองไว้ แต่ความรู้สึกนี้มาเร็วเกินไป ผมไม่สามารถต้านทานได้ สุดท้ายตัวผมก็สั่น “ ปั่ก ” และล้มลงไปทันที

 

หลังจากที่ผมล้มลง ผมก็หมดสติอย่างสมบูรณ์ และรู้สึกว่าในร่างกายของผมมี “ คน ” เพิ่มมาอีกหนึ่งคน

 

ใครคนนั้นกําลังควบคุมร่ายกายผมอยู่ ตอนนี้ร่างกายไม่ยอมฟังที่ผมพูดอีกต่อไป

 

ถึงผมจะรู้ว่ามีเวลาเซียนอยู่ในร่าง ผลลัพธ์จะออกมาเป็นแบบนี้ ต้องยกร่างให้เซียน หลังจากนั้นพวกเขาก็จะช่วยเรากําจัดศัตรู

 

แต่ตอนนี้เมื่อได้เผชิญกับสถานการณ์นั้นจริงๆ ผมกลับรู้สึกกลัว หรือแม้แต่ปฏิเสธมันด้วยซ้ํา

 

แต่ในเวลาเดียวกัน ในหูของผมกลับมีเสียงของปู่หูลิวดัง ขึ้น “ ชูหม่า ไม่ต้องกังวล คุณแค่ปล่อยตัวไปตามสบาย ข้าจะไม่ทําร้ายร่างของคุณอย่างแน่นอน ยิ่งคุณผ่อนคลายการสถิตร่างของเราก็จะยิ่งดี

 

และจะยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้น!”

 

เมื่อได้ปู่หูลิ่วพูดแบบนั้น ผมก็พยายามทําจิตใจให้สงบ ผ่อนคลายหรือไม่ไปควบคุมร่างกายของตัวเอง

 

ผมเองก็รู้สึกได้ว่า ร่างกายค่อยๆหลุดจากการควบคุมของตัวเอง จนกระทั่งถูกอีกฝ่ายครอบครองโดยสมบูรณ์

 

ความรู้สึกแบบนั้นมันแปลกมาก ผมรู้สึกได้ว่าในร่างกายมีใครอีกคนเพิ่มเข้ามา แต่กลับไม่สามารถมองหรือจับต้องได้

 

และตอนนี้ประสาทสัมผัสของผม ก็กลายเป็นเหมือนหมอกจางๆ

 

สายตา ประสาทรับกลิ่น การได้ยินต่างอยู่ในระดับต่ํา ความสามารถในการพูดก็หายไปเช่นกัน

 

ผมเข้าใจดี ตัวเองถูกปหลิวสถิตร่างอย่างสมบูรณ์แล้ว

 

ขณะนั้นผมเห็นตัวเองยกมือขึ้น ขยับคอไปมา หลังจากนั้นก็เห็นผีดิบสองตนอยู่ตรงหน้า

 

ทันใดนั้น ผมก็ได้ยินปู่หูลิ่วพูดกับผมอีกครั้ง “ ชูหม่า ! วันนี้มาจัดการผีดิบสองตัวนี้ใช่ไหม? ”

 

“ ใช่ ใช่ครับ…

 

” ผมรีบตอบกลับในขณะที่กําลังมึน

 

แต่ผมกลับไม่ได้ยิน คําพูดของตัวเองเลยสักนิด แต่ดูเหมือนปู่หูลิ่วจะได้ยินอย่างชัดเจน “ ได้! ในเมื่อผู้อาวุโสลําดับที่หกอย่างข้าออกมาแล้ว งั้นก็ต้องช่วยชูหม่ายุติเรื่องนี้ให้ได้ ?

 

หลังจากพูดจบ ผมก็ได้ยินเสียงจิ้งจอกคําราม ขณะที่ปู่หูลิ่วกําลังควบคุมร่างกายผมอยู่ เขาก็วิ่งเข้าไปหาผีดิบอย่างบ้าคลั่ง

 

ผมเห็นทุกอย่างมัวๆ สามารถมองเห็นคนสองคน

 

แต่หลังจากวิเคราะห์แล้ว ผมก็พบว่าน่าจะเป็นพี่เฟิงกับผีดิบตัวนั้น หลังจากปู่หูลิ่วควบคุมร่างกายผมให้เข้าไปใกล้พวกเขาแล้ว ทันใดนั้นปู่หูลิ่วก็พูดว่า “ เฮ้” แล้วง้างมือตบเข้าไปทันที

 

มันเร็วสุดๆ ผีดิบตัวนั้นไม่มีทางหลบทัน

 

“ ปัง ” ฝ่ามือตบโดนหน้าผีดิบอย่างจัง

 

แม้ว่าผีดิบตนนี้จะร้ายกาจ แต่เมื่อถูกปู่หูลิ่วตบแล้ว มันก็กลิ้งไปตามพื้น พร้อมกับส่งเสียงร้องโหยหวนออกมา

 

เมื่อพี่เฟิงที่อยู่ด้านข้างเห็นสิ่งนี้ เขาก็อดหันมามองไม่ได้

 

ในเวลาเดียวกันก็พูดว่า “ ไม่ได้เจอกันนาน คิดไม่ถึงว่าติงฝานจะกลายเป็นชูหม่าของสํานักหูแล้ว

 

ในเมื่อผู้ที่มาคือจิ้งจอกเฒ่าแห่งสํานักหู งั้นพวกเราก็โจมตีซ้ายขวา จัดการไอ้ผีดิบตัวนี้ด้วยกันดีไหมละ!”

 

ปู่หูลิ่วก็มองพี่เฟิง ทันใดนั้นเขาก็พูดเหมือนกัน เปล่งน้ําเสียงแก่ๆของตัวเองออกมา “ ครั้งที่แล้วมองผิดไป หนึ่งร่างสองวิญญาณ หาดูยากอย่างที่คิด! ดี ข้าโจมตีซ้าย เจ้าโจมตีขวา ! ”

 

หลังจากทั้งสองคนตกลงกันเรียบร้อย พวกเราก็ไม่ลังเล แต่ละคนต่างเค้นเสียงดัง ฮี เล็งที่ผีดิบหลังจากนั้นก็พุ่งเข้าใส่ผีดิบอีกครั้ง

 

เมื่อพี่เฟิงและปู่หูลิ่วร่วมมือกัน มันก็โครตพ่อโครตแม่สุดยอดเลยละ

 

นอกจากผีดิบจะร้อง “ โฮกโฮกโฮก ” ออกมาสองสามครั้งแล้ว มันก็ไม่สามารถทําอะไรได้อีก

 

ทั้งสองคนเริ่มโจมตีทั้งซ้ายและขวา โจมตีกันอย่างไม่วางมือ ช่วงเวลานั้นผีดิบถูกโจมตีจนหมดอารมณ์

 

มันโดนรุมซ้ายขวา และไม่สามารถหลบได้เลยสักนิด

 

ไม่ใช่แค่นั้น ผ่านไปไม่ถึง 5 นาที พี่เฟิงก็คว้าโอกาสได้ เขาเอื้อมมือออกไปแปะยันต์

 

การโจมตีนี้เร็วมาก และเป็นจุดที่อีกฝ่ายคิดไม่ถึง

 

ผีดิบตนนั้นไม่สามารถหลบได้เลย เมื่อมันได้สติกลับมา ยันต์ก็แปะลงบนหน้าผากของมันแล้ว

 

พี่เฟิงกระโดดถอยหลังหนึ่งครั้ง ประสานมืออย่างรวดเร็ว “ ขอเชิญเทพลุ่ยลิ้งทําลาย! ”

 

“ ตูม ! ” เสียงระเบิดดังขึ้น พลังของยันต์แพร่กระ จายออกมาทันที

 

เนื่องจากมันกลายเป็นผีดิบสายดําแล้วมันจึงไม่เป็นอะไร มาก ถึงแม้จะโดนยันต์เข้าไปหนึ่งแผ่น แต่มันยังไม่ตาย เพียง แค่ถูกทําลายพลังชั่วไปไม่น้อย

 

มันคํารามออกมาหนึ่งครั้ง พุ่งเข้ามาหาพี่เฟิง เห็น ได้ชัดว่ามันกําลังโมโหสุดๆ แยกเขี้ยวยิงฟัน

 

คิดจะกัดพี่เฟิงให้ตายคาที่

 

แต่ปหลิ่วเล็งข้างหลังของผีดิบเอาไว้แล้ว เขายกดาบไม้ขึ้น แล้วแทงเข้าไปทันที

 

ดาบนี้เต็มไปด้วยพลังอันแข็งแกร่งของปู่หูลิ่ว มันทรงพลังผิดมนุษย์

 

บวกกับผีดิบตนนี้เพิ่งถูกยันต์ทําลายพลังชั่วของพี่เฟิง เมื่อกี้ร่างกายที่แข็งเหมือนเหล็กจึงไม่ได้แข็งแกร่งเหมือนก่อนหน้านี้ มันอ่อนแอลงไม่รู้กี่เท่า

 

ดาบส่องประกาย ผมได้ยินแค่เสียงดัง “ ฉีก ”

 

ดาบเล่มนั้น แทงทะลุร่างของผีดิบทันที มันทะลุออกทางหน้าอก

 

จู่ๆผีดิบที่กําลังกระโดดไปข้างหน้าก็แข็งทื่อ ร่างกายหยุดอยู่กับที่ ในตัวเริ่มมีพลังชั่วร้ายไหลทะลักออกมาอย่างรวดเร็ว

 

ในเวลาเดียวกัน ขนสีขาวที่อยู่บนตัวของมันก็เริ่มแห้งเหี่ยว และหลุดร่วง ลงมาตามพลังชั่วร้ายที่ไหลออกมา

 

เมื่อพี่เพิ่งเห็นพลังชั่วร้ายของผีดิบถูกทําลาย เขาก็ไม่ลังเล พูดกับปู่หูลิ่วทันที “ จัดการได้แล้วหนึ่ง ต่อไปก็ไปจัดการอีกตัวเถอะ! ”

 

หลังจากพูดจบ พี่เฟิงก็หมุนตัวพุ่งไปหาผีดิบอีกตัว

 

ปู่หูลิ่วเองก็ไม่รอช้า เขาดึงดาบออกอย่างรวดเร็ว

 

ขณะเดียวกันเลือดสีดําก็สาดกระเซ็น ผีดิบกรีดร้องออกมาเป็นครั้งสุดท้าย เพราะพลังชั่วร้ายในร่างของมันหายไปแล้ว มันจึงไม่ตกอยู่ภายใต้การควบคุมอีกต่อไป

 

“ ปัก ” เสียงล้มลงกับพื้น มันดิ้นไปมาสองสามครั้ง หลังจากร้อง “ คาคาคา ” ออกมา ดวงตาของมันก็หยุดนิ่ง…

 

หลังจากนั้น พี่เฟิงและปู่หูลิ่วก็ตรงไปหาผีดิบตัวสุดท้าย ผีดิบตัวนั้นกําลังสู้กับอาจารย์และท่านนักพรตต์อย่างดุเดือด

 

เดิมที่เป็นการสู้ที่คู่คี่สูสี แต่จู่ๆก็มีพี่เฟิงและปู่หูลิ่วเข้ามาร่วม แล้วผีดิบตัวนั้นจะสู้ไหวได้ยังไง ?

 

เพิ่งเผชิญหน้า ผีดิบตนนั้นก็ถูกโจมตีจนต้องเป็นฝ่ายถอย

 

ใช้เวลาไม่ถึง 3 นาที มันก็ถูกกดดันจนไม่มีทางสู้กลับ ห่างไกลจากความตายเพียงแค่พลิกฝ่ามือ

 

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset