ศพ – ตอนที่ 257 กลับมา

ตอนที่ 257 กลับมา

 

หลังจากฟังเหล่าเฟิงพูดจบ ผมก็เรียบเรียงเรื่องราวทั้งหมด และคิดว่ามีเพียงทางแก้เดียวเท่านั้น

 

คิดไม่ถึงว่า ระหว่างเหล่าเฟิงและพี่เฟิง จะมีข้อตกลงส่วนตัวแบบนี้อยู่ด้วย

 

ถ้าหาแก่นหยินแดงนี้ไม่เจอภายใน 3 เดือนข้างหน้า พี่เฟิงจะต้องไม่รามือ เขาต้องคอยหาโอกาสกดเหล่าเฟิงเอาไว้แล้วยึดร่างมาเป็นของตัวเองแน่ๆ

 

แม้พี่เฟิงจะช่วยผมเอาไว้หลายครั้ง และนอกจากเขาจะเอาแต่ใจไปบ้าง แต่เขาก็เป็นคนดีคนหนึ่ง

 

แต่ ผมก็ยังเทใจให้เหล่าเฟิงมากกว่า

 

เพราะร่างกายนี้ เดิมทีก็เป็นของเหล่าเฟิง

 

ถึงแม้ตอนนี้วิญญาณของพวกเขาจะอยู่ด้วยกัน ใช้ประโยชน์ร่วมกัน แต่เหล่าเฟิงเป็นเจ้าของร่างอย่างชอบธรรม

 

ส่วนเรื่องที่พี่เฟิงคิดจะมาเป็นเจ้าของซะเอง ผมไม่เห็นด้วยเท่าไหร่

 

แต่ผมเข้าไปยุ่งกับเรื่องนี้ไม่ได้ ตอนนี้สิ่งที่เอาใจพี่เฟิงได้ก็คือต้องหาแก่นหยินแดงให้เจอ

 

เฟิงเฉิวหานกลับถอนหายใจ เขาพูดต่อ “ พี่ฉันอยู่กับฉันมาตั้งแต่เด็ก แถมเคยช่วยฉันเอาไว้เยอะมาก

 

แต่เขาชอบคิดว่าฉันอ่อนแอเกินไป ไม่สิ โคตรอ่อนแอเลยต่างหาก ดังนั้นพี่เลยอยากเป็นคนคุมร่างแทน

 

ทําให้พวกเราแข็งแกร่งยิ่งกว่าเดิม แต่ นี่เป็นร่างกายของฉัน ฉันเลยไม่อยากให้เขาเป็นคนคุม ! ”

 

เมื่อเหล่าเฟิงพูดคํานี้ออกมา ถึงน้ำเสียงของเขาจะฟังดูหนักแน่น แต่มันก็ฟังดูค่อนข้างผิดหวังด้วย

 

เนื่องจากแก่นหยินแดงไม่ใช่ผักกาดขาว ที่จะหาซื้อจากไหนก็ได้ แถมพี่เฟิงยังแข็งแกร่ง ถ้าเขาคิดจะแย่งร่างจริงๆ เหล่าเฟิงอาจควบคุมไม่อยู่ก็ได้

 

ผมตบไหล่ของเฟิงเฉิวหานเบาๆ “ เหล่าเฟิง ยังมีเวลาอีก 3 เดือนไม่ใช่เหรอ ? ในช่วง 3 เดือนนี้พวกเราก็ออกไปหาด้วยกัน ไม่แน่อาจได้เจอผีชุดแดง แล้วได้แก่นหยินแดงมาครองก็ได้นะ ! ”

 

เป็นธรรมดาที่เฟิงเฉิวหานจะรู้ว่าผมกําลังปลอบใจเขาอยู่ แต่เขาก็ยังยิ้มให้ผม “ ชั่งมันเถอะ ! ถึงจะไม่มีแก่น

 

หยินแดง ฉันก็ไม่มีทางให้พี่ทําสําเร็จ ”

 

หลังจากพูดจบ เฟิงเฉิวหานก็สูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วพูดออกมาว่า “ พอเถอะ ฟ้าจะสว่างแล้ว พวกเรานอนกันหน่อยเถอะ !”

 

ขณะที่พูด เหล่าเฟิงก็ล้มตัวลงนอน เห็นได้ชัดว่าเขาไม่อยากพูดถึงมันอีก

 

สําหรับเหล่าเฟิง เขามีความลับอยู่เรื่องหนึ่ง นั่นก็คือเรื่องในอดีตของเขา

 

เรื่องนี้ แม้แต่ท่านนักพรตตู๋เองก็ไม่รู้

 

เหล่าเฟิงไม่เคยเล่าให้ใครฟังมาก่อน ดังนั้นพวกเราทุกคนจึงไม่รู้ที่มาของเหล่าเฟิง

 

ว่ามีอะไรเกิดอะไรขึ้น กับเขาและพี่เฟิง แล้วอะไรกันที่ทําให้วิญญาณของพวกเขามาอยู่ด้วยกัน

 

เหล่าเฟิงไม่ยอมพูด ผมเองก็ไม่เคยถามมาก่อน

 

เมื่อเห็นเหล่าเฟิงนอนหลับ ผมก็กลับไปนอน หลังจากนั้นไม่นานผมก็หลับไป

 

เมื่อลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ก็เป็นเวลาเที่ยงของวันใหม่แล้ว

 

ในห้องเหลือแค่ผมคนเดียว เหล่าเฟิงตื่นแล้ว เขาออกไปยืดเส้นยืดสาย ผมถึงได้แต่งตัวแล้วออกไปข้างนอก

 

เมื่อออกมาจากห้อง ก็พบว่าอาจารย์และคนอื่นๆอยู่กันครบ แต่คนที่หายไปคือครอบครัวคุณ

 

ตอนนี้ท่านนักพรตตู๋กําลังทําแผลให้อาจารย์ พันแผลที่ขาของเขา

 

“ เสี่ยวฝาน ตื่นแล้วเหรอ ! ” อาจารย์ทักผม

 

“ ตื่นแล้ว อาจารย์ ขาดีขึ้นบ้างรึยังครับ ? ” ผมพูดด้วยความเป็นห่วง

 

“ ยังพอได้อยู่ เช้านี้เหล่าตู้ล้างพิษให้ฉันอีกรอบ ใช้ขี้เถ้าหญ้าทาซ้ำ อีกไม่กี่วันก็คงดีขึ้นแล้วละ !”

 

เมื่อได้ยินคําพูดนี้ ผมก็อดถอนหายใจไม่ได้ อาจารย์เป็นญาติคนเดียวของผม ขอแค่เขาไม่เป็นอะไร

 

ผมก็สบายใจแล้ว

 

“ คือใช่ ทําไมไม่เห็นคุณฉีละ ? แล้วเมื่อไหร่พวกเราจะกลับกัน ? ” ผมพูดต่อ

 

ท่านนักพรตตู๋กลับตะโกน “ พวกเขากลับกันตั้งแต่เช้าตรู่แล้ว ฉันเห็นทุกคนเหนื่อยมาก เลยบอกพวกเขาว่าจะไม่กลับด้วย พวกเราจะพักผ่อนกันก่อนแล้วค่อยกลับไป ”

 

ที่แท้ก็เป็นแบบนี้ ผมสงสัยที่คุณฉีกลับตั้งแต่เช้าตรู่ ก็คงเพราะอยากสะสางเรื่องสวมเขาของตัวเอง

 

แถมเรื่องนี้ ยังไม่ใช่เรื่องที่พวกเราจะเข้าไปยุ่งได้

 

ผลลัพธ์จะเป็นอะไรได้ละ ? ภรรยาคุณฉีก็ได้แต่ยอมรับกรรมที่ตัวเองก่อ เพราะคนทําสวรรค์เห็น

 

เวรกรรมหมุนเวียน เรื่องที่เคยทํา สักวันมันก็จะกลับมาเข้าตัวเอง

 

แม้คุณฉีจะกลับไปแล้ว แต่เขายังเตรียมการทุกอย่างหลังจากนี้ เอาไว้ให้พวกเราอย่างดี

 

หลังจากกินข้าวเช้าเสร็จ ทุกคนก็เก็บของออกจากบ้าน

 

เมื่อมาถึงหน้าหมู่บ้าน พวกเราก็พบว่าคนขับรถสองคนที่วิ่งหนีไปเมื่อคืน กําลังยืนรอพวกเราอยู่

 

ตอนนี้เมื่อเห็นพวกเราเดินเข้ามา พวกเขาก็รีบเข้ามาต้อนรับ พูดยกย่อความสามารถของพวกเราทันที

 

บอกว่าเมื่อคืนพวกเขาตกใจ เลยวิ่งหนีแบบไม่คิดชีวิต ต่อมาคุณฉีก็โทรศัพท์มาหาพวกเขา

 

พวกเขาถึงได้กลับมา หลังจากนั้นก็รออยู่หน้าหมู่บ้านเพื่อขับรถพาพวกเรากลับไป

 

เนื่องจากทั้งสองเป็นแค่คนขับรถธรรมดา พวกเราจึงไม่ได้ต่อว่าอะไร

 

พวกเขาเป็นแค่ชาวบ้านคนธรรมดา เมื่อคืนเห็นผีดิบ การตกใจจนวิ่งหนี ก็เป็นสัญชาตญาณปกติอยู่แล้ว

 

หลังจากคุยกันแป๊บนึง พวกเราก็ออกจากหมู่บ้าน

 

เมื่อกลับมาถึงตัวตําบล ทุกคนก็นั่งรถยนต์กลับมาที่ตําบลชิงฉือ

 

พวกเราหาอะไรกินที่ตําบลนิดหน่อย หลังจากนั้นก็แยกกลับร้านใครร้านมัน

 

ระหว่างนั้นพวกเรายังได้รับโทรศัพท์จากคุณฉี คุณฉีพูดเรื่องค่าตอบแทน เขาบอกว่าอีกสองวันจะส่งมาให้พวกเราเป็นจํานวนเงิน 1 ล้านหยวน

 

ถึงพวกเราจะเป็นคนปราบสิ่งชั่วร้าย แต่ก็ต้องใช้เงิน

 

ออกไปคราวนี้ ได้เงินถึง 1 ล้าน พวกเราสองครอบครัวแบ่งกันคนละ 500,000 ผมดีใจสุดๆเพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ผมไม่เคยคิดฝันมาก่อน

 

เนื่องจากอาหารที่กินที่อยู่การเดินทางต่างๆ ล้วนต้องใช้เงินทั้งหมด

 

และเมื่อผมลองคํานวณดูแล้ว ตามส่วนแบ่งกําไรที่ร้านเราได้ในเงิน 500,000 นี้ผมยังได้เงินตั้ง 50,000

 

เมื่อคิดถึงเงิน 50,000 ในมือ ผมก็ตื่นเต้นสุดๆ

 

ถึงเวลานั้นผมก็เอาโทรศัพท์เน่าๆนี่ ไปซื้อ “ ไอโพน 10 ” ตอบแชทคุยกับเพื่อน แค่คิดผมก็มีความสุขแล้ว

 

หลังกลับมาถึงร้าน ฟ้าก็มืดแล้ว แต่ร่างกายของผมกลับรู้สึกดีสุดๆ

 

สองวันนี้ผมเกือบเอาชีวิตไปทิ้งไว้ข้างนอก โชคดีที่เรื่องร้ายกลายเป็นดี และได้ค่าตอบแทนที่เลิศสุดๆ

 

ไม่อยู่บ้านสองสามวัน ตอนนี้กลับมาแล้ว จึงเป็นธรรมดาที่ผมจะจุดธูปให้มู่หลงเหยียนและตระกูลหู

 

อาจารย์ไม่สนใจ เขาทิ้งสัมภาระลงดื้อๆ จากนั้นก็ไปแปรงฟันแล้วนอนทันที

 

หลังจากพักมาครู่หนึ่ง ผมก็จุดธูปให้ตระกูลหูก่อน หลังจากนั้นค่อยจุดให้มู่หลงเหยียน

 

ผมไม่รู้ว่าเธอยังโกรธอยู่รึเปล่า ผมกลัวว่ามันจะเป็นเหมือนเมื่อก่อนจริงๆ ที่จุดธูปแล้วไม่ติด

 

ผมทําอย่างระมัดระวัง ค่อยๆจุดธูปและเทียนให้เธอ

 

แต่ครั้งนี้ผมพบว่า ไม่ว่าจะเป็นธูปหรือเทียน มันก็ดูราบรื่นทั้งนั้น แถมยังไม่มีสัญญาณว่าจะดับก่อนด้วย

 

เมื่อเห็นสิ่งนี้ ผมก็อดดีใจไม่ได้

 

ดูเหมือนมู่หลงเหยียน จะหายโกรธแล้ว

 

แต่ผมเพิ่งคิดถึงตรงนี้ ทันใดนั้นเปลวไฟของเทียนหน้าป้ายวิญญาณมู่หลงเหยียนก็สบัดสองสามครั้ง

 

“ พรึบพรึบพรึบ ”

 

เมื่อเห็นสิ่งนี้ “ พรึบ” สีหน้าของผมก็เปลี่ยนไป พูดในใจด้วยความหวาดกลัว อย่าดับ อย่าดับ…..

 

ขณะที่พูด ผมก็เอื้อมมือไปป้องไฟ

 

แต่มือของผมเพิ่งเข้าไปป้องไฟเอาไว้ ทันใดนั้นเสียง ฮึ ก็ดังขึ้นมาจากทางด้านหลัง “ ไอ้กาก สองสามวันผ่านไปถึงจุดธูปให้ฉันเหรอฮะ ? อยากตายรึไง ?”

 

เมื่อได้ยินเสียงนี้ ใจผมก็เต้นแรง และแอบดีใจ

 

ผมหันไปมองอย่างรวดเร็ว ตอนนี้บนโซฟาที่อยู่ห่างออกไป มีสาวสวยคนหนึ่งกําลังนั่งอยู่

 

เธอใช้ชุดสีขาว ดวงตาเป็นประกาย สวยเหมือนนางฟ้า

 

ผู้หญิงที่สวยขนาดนี้ จะมีเทพหรือผีตัวไหนเข้ามาที่นี่ ? นอกจากมู่หลงเหยียนแล้ว เธอจะเป็นใครได้อีก ?

 

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset