ศพ – ตอนที่ 258 องค์กรชั่วเคลื่อนไหว

ตอนที่ 258 องค์กรชั่วเคลื่อนไหว

 

ในระยะเวลา 2 เดือนที่มู่หลงเหยียนหายไป เธอไม่เพียงไม่ยอมรับธูปของผม เธอยังไม่ออกมาปรากฏตัวอีกด้วย

 

ตอนนี้เมื่อเห็นเธอปรากฏตัวอีกครั้ง ผมก็ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไรไป เพราะผมกําลังมีความสุขสุดๆ

 

ไม่ยอมเจอผม ไม่สนใจผม ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตามต่างถูกโยนออกจากสมองของผมทันที

 

และตอนนี้ ผมก็ไม่สนใจคําพูดเธอเลยสักนิด กลับกันผมยังยิ้มยิงฟันอย่างมีความสุข “ น้อง น้องศพ ทําไมจู่ๆเธอก็มาหาละ ?”

 

“ ทําไม ? ฉันมาไม่ได้รึไง ? ” มู่หลงเหยียนมุ่ยปากพร้อมพูดด้วยน้ําเสียงโมโหเล็กน้อย

 

“ ไม่ได้หมายความแบบนั้น เธอมาได้ตลอดเวลา คือใช่สองสามวันนี้ฉันออกไปย้ายหลุมศพข้างนอก

 

แล้วนี่ก็เพิ่งกลับมาถึงบ้าน ดังนั้นเลยเพิ่งจุดธูปให้เธอใช่แล้ว เรื่องเมื่อคราวก่อน ที่เธอช่วยฉันเอาไว้

 

ฉันยังทําให้เธอโมโหอยู่ ถ้าเธอยังไม่หายโกรธ เธอที่ฉันยกหนึ่งก็ได้นะ !”

 

ขณะที่พูด ผมก็เดินมาอยู่หน้ามู่หลงเหยียนแล้ว

 

เมื่อมู่หลงเหยียนได้ยินคําพูดนี้ ทันใดนั้นเธอก็ส่งเสียงดังฮึ แล้วลุกขึ้น และทําท่าจะตบผมทันที

 

แต่ครั้งนี้ผมไม่หลบเลยสักนิด ยืนตัวตรงให้เธอตบตามสบาย

 

แต่มือที่ยกขึ้นของมู่หลงเหยียน กลับไม่ลดลงมา สุดท้ายเธอก็พูด ฮึ อีกครั้ง “ชั่งเถอะ เดี๋ยวนายจะตายเพราะฉันตบเปล่าๆ !”

 

ขณะพูด มู่หลงเหยียนก็ค่อยๆลดมือลง

 

มันชัดเจน ความโมโหที่มู่หลงเหยียนมีต่อผม ได้หายไปเจ็ดแปดส่วนแล้ว

 

เมื่อเห็นสิ่งนี้ ผมก็หัวเราะ “ แฮะแฮะแฮะ ” “ ไม่เป็นไร ฉันหน้าด้าน ! ”

 

เมื่อมู่หลงเหยียนได้ยินผมพูดแบบนั้น เธอก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะดัง “ ฮ่าๆ ”

 

แต่เธอก็ปิดปากอีกครั้ง แกล้งทําเป็นเคร่งขรึม “ ก็จริง นายมันหน้าด้าน ”

 

“ งั้นเธอยังจะตบอยู่ไหม ?”

 

มู่หลงเหยียนกรอกตาใส่ผม “ ตบกะผีนะซิ ? วันนี้ฉันมาหานาย เพราะมีเรื่องจะบอก ! ”

 

ระหว่างพูด มู่หลงเหยียนก็เผยท่าทางหนักใจ

 

เมื่อเห็นมู่หลงเหยียนเป็นแบบนั้น ผมก็เครียดขึ้นมาทันที “ มีเรื่องอะไร ? ”

 

“ เรื่องเกี่ยวกับองค์กรตาผี ! ”

 

องค์กรตาผี ? ผมตัวแข็งทือ เพราะมันเป็นศัตรูตัวฉกาจของพวกเราในตอนนี้ และเป็นองค์กรที่ชั่วร้าย

 

“ ว่ายังไงนะ ?” ผมพูดเสียงเข้ม ไม่ได้ดีด้าอีกต่อไป

 

เมื่อมู่หลงเหยียนเห็นผมเป็นแบบนั้น เธอก็รีบพูดออกมาทันที “ สองสามวันมีข่าวว่า กองกําลังขององค์กรตาผีกําลังเคลื่อนไหวอยู่แถวนี้ และมีสมาชิกมารวมตัวมากขึ้น เรื่อยๆ องค์กรตาผีอาจเคลื่อนไหวครั้งใหญ่

 

ฉันมาบอกให้นายรู้เอาไว้ ถ้าครั้งหน้าเจอคนขององค์กรตาผี จะต้องระวังตัวให้ดี ห้ามทําอะไรสุ่มสี่สุ่มห้าเด็ดขาด ช่วงนี้อยู่เงียบๆดีที่สุด ถ้าตกเป็นเป้า ก็อาจจะดึงดูดหมอผีจํานวนมากจากองค์กรตาผี ถึงเวลานั้นนายอาจได้หายไปตลอดกาล แม้แต่ฉันเองก็ช่วยนายไม่ได้นะ ”

 

เมื่อได้ยินมู่หลงเหยียนพูดถึงขนาดนั้น ผมก็รู้สึกซาบซึ้งใจสุดๆ คิดไม่ถึงว่ามู่หลงเหยียนจะมาเตือนผมเป็นพิเศษบอกให้ผมระวังตัว

 

“ วางใจได้ ! เรื่องนี้ฉันระวังอยู่ตลอด ว่าแต่เธอเถอะ พวกมันไล่จับเธอมาตั้งหลายปี ถ้าเธอปรากฏตัว

 

เธออาจตกอยู่ในอันตรายมากกว่าฉันอีกนะ ! ”

 

มู่หลงเหยียนกลับยิ้มออกมาเล็กน้อย “ สบายใจได้ ! ฉันไม่มีทางปล่อยให้พวกมันจับตัวฉันได้หรอก โอเค

 

จําคําของฉันเอาไว้นะ ดูเหมือนนายจะเหนื่อยแล้ว ฉันกลับก่อนก็แล้วกัน…”

 

ในใจของผมกําลังกระวนกระวาย อยากให้เธออยู่ต่ออีกหน่อย ผมจึงรีบพูดว่า “ เอ่อคือน้องศพ….”

 

มู่หลงเหยียนหยุดลอย “ นายมีอะไรอีกรึเปล่า ?”

 

แต่เมื่อได้ยินมู่หลงเหยียนถามแบบนั้น ผมก็ไม่รู้จะพูดยังไงต่อ

 

ผลลัพธ์ผมลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นพ่นออกมาว่า “ ไม่ ไม่มีอะไร!”

 

“ เอ่อ ! งั้นฉันไปก่อนนะ…”

 

หลังจากพูดจบ มู่หลงเหยียนก็สะบัดแขนเสื้อ ทันใดนั้นเธอก็กลายเป็นควัน และจางหายไปภายในบ้าน

 

ผมมองจุดที่มู่หลงเหยียนหายไป ในใจก็รู้สึกว่างเปล่า

 

ผมเป็นอะไรกันแน่ ? เห็นชัดๆอยู่ว่าผมเกลียดมู่หลงเหยียนจะตาย แต่ทําไมตอนนี้ถึงเอาแต่คิดถึงเธอละ ?

 

ผมส่ายหัวไปมา ทําให้ตัวเองสลัดความคิดบ้าๆออกไป

 

เช้าวันรุ่งขึ้น ผมไปตั้งของเซ่นไหว้ที่ศาลเจ้าหลักเมืองเพื่อขอบคุณที่ปูหลิวไปช่วย

 

แต่ตอนที่ผมไปถึง ปู่หลิ่วไม่อยู่ หูเหมยเป็นคนเห็นผม หูเหมยทําหน้าเย็นชา เธอมองผมเหมือนเป็นไม้ตําตา

 

เธอบอกให้ผมวางของเอาไว้ก็พอ ถึงเจ้าบ้านจะไม่ต้อนรับ แต่ผมก็ไม่ได้ใส่ใจ หลังจากบอกลา ผมก็ออกมาทันที

 

หลังออกมาจากศาลเจ้าหลักเมือง ผมก็เล่าเรื่องที่มู่หลงเหยียนเล่าให้ฟังเมื่อคืน ให้อาจารย์ เหล่าเฟิงและ

 

หยางเฉ่วฟังที่ละคน เพราะพวกเขาก็มีความแค้นกับองค์กรตาผีชั่ว และบอกให้พวกเขาระวังตัวด้วย

 

ส่วนเรื่องที่มาของข้อมูล ผมไม่ได้พูดถึง และพวกเขาเองก็ไม่ได้ถาม

 

เนื่องจากองค์กรตาผีมีอํานาจมหาศาล ใครจะไปยอมแหย่พวกเขาเล่นๆละ

 

ถึงแม้พวกเราจะเป็นคนปราบสิ่งชั่วร้าย คอยขับไล่สิ่งชั่วร้าย ผดุงคุณธรรม แต่ก็รู้จักประเมินตนเอง

 

ไม่คิดจะไปหาเรื่องตายฟรี พวกเราก็ไม่โง่ขนาดนั้น

 

และในสองสามวันนี้ พวกเรายังโฟกัสกับค่าตอบแทนที่คุณจะส่งมาถึงวันไหนมากกว่า

 

ตอนแรกคุณฉีบอกว่าจะส่งมาอีกสองวัน แต่ผ่านไปแค่พริบตาเดียว เวลาก็ล่วงเลยมาห้าวันแล้ว

 

แต่ค่าตอบแทนก็ยังมาไม่ถึง

 

ผมค่อนข้างร้อนใจ ตอนกินข้าวเที่ยง ผมจึงถามอาจารย์ว่าเราจะโทรศัพท์ไปกระตุ้นเขาดีไหม ?

 

แต่อาจารย์กลับทําหน้าเข้ม “กินข้าวของแกไป คุณฉีรับปากแล้ว เขาต้องให้อยู่แล้ว และเราก็ไม่ได้ขาดเงิน แกจะรีบร้อนทําไมฮะ ? ”

 

เมื่อได้ยินอาจารย์พูดแบบนั้น ผมก็อารมณ์เสียทันที

 

อาจารย์ไม่ขาด แต่ผมขาดนิ !อีกอย่างเงินนี้ก็ใช้ชีวิตผมแลกมา ไม่ได้ขโมยใครมาสักหน่อย

 

ผมก็ต้องร้อนใจอยู่แล้วซิ !

 

เมื่อคิดถึงเรื่องพวกนี้ ผมก็กําลังจะเถียงอาจารย์ แต่ทันใดนั้นเองจู่ๆเสียงผู้ประกาศข่าวหญิงในทีวีก็ดังขึ้น

 

ฉีเหลยชายที่รวยที่สุดในเมือง ต้องสงสัยว่าติดสินบนเจ้าหน้าที่บริษัทพัฒนาต้าเหลยจึงถูกสงสัยว่ามีการทุจริตกักขังคนโดยมิชอบ ทําให้คนบาดเจ็บสาหัส เลี่ยงภาษี บังคับให้รื้อถอนไม่จ่ายค่าแรงพนักงาน

 

ปกปิดอุบัติเหตุ ฯลฯ ถูกแจ้งโดยบุคคลนิรนาม ตอนนี้ฝ่ายที่เกี่ยวข้องได้เข้าไปตรวจสอบแล้ว กิจการทุกอย่างของบริษัทพัฒนาต้าเหลยได้ถูกสั่งหยุดแล้ว ตัวต้าเหลยเองก็ถูกควบคุมตัวตั้งแต่เมื่อสามวันก่อน ถ้าทุกข้อหามีความผิดจริง เขาจะได้รับโทษจําคุก 3 ปีถึง 30 ปีเป็นอย่างต่ำและ ได้รับการลงโทษอย่างหนัก

 

เมื่อได้ยินเรื่องนี้ และเห็นภาพคุณฉีถูกตํารวจจับ ผมก็ตกตะลึงในทันที

 

พระเจ้า ! ถึงว่าหลายวันมานี้พวกเราเลยไม่ได้ค่าตอบแทนซะที

 

จบกัน คุณฉีโดนจับ งั้นเงิน 500,000 ของพวกเราก็ลอยไปกับน้ํานะซิ ?

 

ก่อนย้ายหลุมศพ คุณฉีบอกแล้วว่า เขาทําเรื่องไม่ดีเอาไว้เยอะ แม้แต่เงินค่ารักษาพยาบาลที่คนงานบาดเจ็บเขาก็ไม่ให้สักแดง มันสามารถอธิบายได้ว่าชายคนนี้ทําเรื่องน่ารังเกียจขนาดไหน

 

ครั้งนี้เขาถูกบุคคลนิรนามแจ้งเบาะแส และมันอาจเป็นจริงถึง 9 ใน 10 ส่วน

 

ครั้งนี้เมื่อคุณฉีเข้าไป การออกมาอีกครั้ง อาจเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ด้วยซ้ำ

 

“ จบกัน ค่าตอบแทนของพวกเราหายไปแล้ว ! ” ผมผิดหวังอย่างหนัก

 

แต่อาจารย์กลับเหมือนใจลอย “ นี่มันเรื่องปกติไม่ใช่เหรอ ! ทุกอย่างล้วนมีกรรมเป็นของตัวเอง หลายปีก่อนโชคของคุณฉีดีเด่นกว่าใครเพื่อน ถึงทําเรื่องผิดศีลธรรม ก็ไม่ ได้รับกรรม ตอนนี้โชคหมดแล้ว

 

จึงเป็นธรรมดาที่จะต้องจ่ายมากขึ้นสําหรับสิ่งที่เขาทํามาก่อน ! ”

 

แม้ว่าจะผิดหวังสุดๆ แต่อาจารย์ก็พูดถูก

 

ถึงคุณจะมีเงิน แต่เงินของเขา ล้วนได้มาด้วยวิธีสกปรก หรือเรียกว่าเงินจากการทําชั่ว

 

ตอนนี้เขาถูกตรวจสอบแล้ว และได้รับโทษตามที่ควรโดนมันถึงเวลาที่เขาต้องได้รับกรรมแล้ว…

 

ถึงจะไม่ได้ค่าตอบแทน แต่เรื่องของคุณฉี ก็มาถึงจุดจบแล้ว

 

ผ่านไปอีกสองสามวัน ในที่สุดหนังพยาบาลตามหาผีที่อู่ฮุ่ยฮุ่ยแสดง ก็อัพลงในอินเตอร์เน็ต ผม หยางเฉ่ว และ เหล่าเฟิงที่รอดูอยู่ก็เข้าไปกดดูทันที

 

แม้ว่าจะเป็นหนังออนไลน์ฟอร์มยักษ์ แต่ก็ต้องพูดจริงๆ ว่าพวกเขาถ่ายออกมาได้ดีสุดๆ

 

ไม่ว่าจะเป็นเนื้อเรื่องหรือการแสดง ต่างได้รับการยอมรับอย่างเป็นเอกฉันท์จากผู้ชม และถูกชมอย่าง ล้นหลาม

 

ตัวละครที่อู่ฮียฮุยแสดง ได้รับคําชมจากทุกคน

 

หรืออาจเป็นเพราะหน้าตาที่ดูไร้เดียงสา ทําให้ชื่ออู่ฮุ่ยฮุ่ย ติดอันดับฮอตฮิตที่ผู้คนค้นหา

 

และอู่ฮุ่ยฮุ่ยยังไม่ลืมพวกเรา หลังจากหนังอัพได้สี่วัน

 

อู่ฮุ่ยฮุ่ยก็โทรศัพท์มาหา บอกว่าจะตอบแทนเรื่องเมื่อตอนนั้น เธอเลยอยากเลี้ยงข้าวพวกเรา…

 

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset