ศพ – ตอนที่ 26 ศพผู้หญิงตายโหง

ผมพาชายวัยกลางคนเดินเข้ามาในร้าน จากนั้นก็รินน้ำให้กับเขา บอกให้เขานั่งรอสักครู่ จากนั้นผมก็เดินไปเรียกอาจารย์ที่อยู่ในบ้าน

อาจารย์พึ่งกินข้าวเสร็จ และกำลังดูทีวีอยู่ในบ้าน

เมื่อได้ยินว่ามีลูกค้า แถมยังตั้งใจมาหาเขาเป็นพิเศษ และยังเป็นเรื่องงานศพด้วย เขาจึงไม่รอช้า  รีบใส่เสื้อผ้าให้เรียบร้อย จากนั้นก็ตามผมออกมาจากบ้านทันที

หลังอาจารย์ออกมาจากบ้าน ก็เห็นชายวัยกลางคนกำลังถือแก้วน้ำรอเขาอยู่ ดูท่าทางหดหู่มาก

 

เมื่ออาจารย์เห็นเช่นนั้น เขาก็พูดกับชายวันกลางคน “คุณผู้ชายท่านนี้ ผมคือติงโย่วซานครับ ไม่ทราบว่าคุณชื่ออะไรครับ!”

อาจารย์พึ่งพูด “พรึบ” ชายวันกลางคนก็รีบลุกขึ้นทันที

เมื่อเห็นอาจารย์ของผม เขาก็ยิ้มออกมาเล็กน้อย จากนั้น “ปึก” เขาก็คุกเข่าลงกับพื้นทันที “ท่านนักพรตติง ลูกสาวของผมตายตาไม่หลับ ได้โปรดช่วยลูกสาวของผมด้วยครับ!”

เมื่ออาจารย์เห็นว่าจู่ๆชายวัยกลางคนก็คุกเข่า แถมยังร้องไห้อย่างเศร้าโศก เขาจึงแสดงสีหน้าตกใจ รีบพยุงชายวันกลางคนขึ้นมาทันที

 

“คุณชาย ค่อยๆพูดครับ! ถ้าผมช่วยได้ จะช่วยสุดความสามารถอย่างแน่นอนครับ!” อาจารย์พูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น

แต่ชายวัยกลางคนกลับเสียใจหนักกว่าเดิม หลังจากขึ้นมานั่งบนโซฟา ดวงตาของเขาก็กลายเป็นสีแดง มองหน้าอาจารย์เหมือนได้เห็นคนช่วยชีวิตอย่างนั้น

เขาหายใจช้าๆ จากนั้นก็พูดกับอาจารย์ว่า “ท่านนักพรตติง ข้าน้อยชื่อเหวินฮู่ ทำธุรกิจเล็กๆอยู่ในเมือง เมื่อสามวันก่อน ลูก ลูกสาวคนเดียวของผม เธอเสียชีวิตอย่างกะทันหัน และตอนนี้ก็ยังไม่สามารถเอาไปฝังได้เลยครับ……”

หลังจากนั้น ชายวัยกลางคนที่ชื่อเหวินฮู่ก็เล่าเรื่องที่เกิดขึ้น ตั้งแต่ต้นจนจบให้พวกเราฟังอย่างละเอียด

 

หลังจากที่เหวินฮู่เล่าจบ พวกเราก็พอเข้าใจสถานการณ์ของเขาคราวๆ

เมื่อสามวันก่อน จู่ๆลูกสาวของเขาก็เกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์

เย็นวันนั้นเธอกำลังขับรถกลับบ้าน แต่ไม่รู้ทำไมเธอก็ขับรถพุ่งชนรั้ว จากนั้นก็ตกลงไปในทะเลสาบของเขตเมือง

หลังจากยกรถขึ้นมา เธอก็เสียชีวิตไปแล้ว

ทางตำรวจเองก็ได้สืบสวนหาสาเหตุการตาย โดยการดึงวิดีโอที่อยู่ภายในรถออกมาดู

 

พบว่าลูกสาวของคุณเหวิน ไม่ได้เมาแล้วขับ แต่เธอกลับเสียชีวิตอย่างกระทันหัน

สาเหตุนั้นเป็นเพราะหัวใจหยุดเต้น และวิดิโอขณะที่เธอขับรถชนรั้วยังบอกว่า วินาทีก่อนที่ลูกสาวของคุณ

เหวินจะเกิดอุบัติเหตุ ดูเหมือนจู่ๆเธอก็เกิดตกใจกลัวขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ จากนั้นก็ไม่มีเสียงอะไรอีกเลย

หลังจากนั้นรถก็สูญเสียการควบคุม พุ่งชนรั้วทันที สุดท้ายก็ตกลงไปในทะเลสาบ

เรื่องนี้ดูแปลกมาก ลูกสาวของคุณเหวินเป็นคนที่มีการศึกษาระดับสูงของสังคม สภาพจิตใจและร่างกายก็ดีมากๆ

คืนที่เกิดเรื่องก็ไม่ได้ดื่มเหล้าหรือเสพอะไร ยิ่งไปกว่านั้นเธอยังไม่มีภาวะเครียดจากการทำงาน แต่ทำไมจู่ๆเธอก็กรีดร้องด้วยความตกใจละ

 

เมื่อคิดตามสิ่งที่เกิดขึ้น ลูกสาวของคุณเหวิน คงต้องตกใจจนสุดขีด ถึงทำให้เกิดภาวะหัวใจหยุดเต้น และสุดท้ายก็ดำเนินมาถึงการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางรถยนต์

คนตายไม่สามารถฟื้นคืนชีพได้ คุณเหวินจึงเจ็บปวดทรมานอย่างมาก แต่เขาก็อยากส่งวิญญาณของลูกสาว ให้เธอได้ถูกฝังอย่างสงบ

ดังนั้น คุณเหวินท่านนี้จึงจ่ายเงินไปจำนวนมาก เพื่อเชิญพระที่อยู่รอบๆเมืองมาทำพิธีกราบไหว้ฟ้าดินให้กับลูกสาวเป็นเวลาสามวัน

ผลลัพธ์ก็ช่างดีจริงๆ พวกพระเหล่านั้นทำพิธีได้ไม่ถึงชั่วโมง จู่ๆพวกเขาก็กระอักเลือด และสลบไปในทันที

 

หลังจากฟื้นขึ้นมา พวกเขากลับพูดว่าไม่กล้าทำพิธีให้คุณเหวินต่อ ส่วนเงินที่รับไปก่อนหน้านี้ ก็จะคืนให้คุณเหวินทั้งหมด

คุณเหวินจึงถามพระเหล่านั้นว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่พระเหล่านั้นกลับไม่ยอมพูด

พูดเพียงแค่ว่าเขาทำไม่ได้ บอกให้คุณเหวินไปหาคนที่เก่งกว่านี้จะดีกว่า

จากนั้น คุณเหวินก็ยังเชิญพระมาอีกสองรูป

ผลลัพธ์พระหนึ่งในนั้นไม่กล้าทำต่อ เมื่อมองไปที่ป้ายวิญญาณเขาก็ตกใจจนหน้าซีดขาว

ส่วนอีกรูปหนึ่งก็ยังทำพิธีต่อไป แต่ระหว่างทำพิธี หัวของเขาก็ชนเข้ากับฝาโลง จนตอนนี้ยังนอนอาการโคม่าอยู่ในโรงพยาบาลอยู่เลย

 

เมื่อคุณเหวินและภรรยาเห็นเรื่องเหล่านี้ พวกเขาก็เริ่มสงสัยว่าลูกสาวของตัวเองตายอย่างไม่ยุติธรรมรึป่าว มีบางสิ่งยังติดค้าง เลยไม่ยอมจากไป

หรือบางทีลูกสาวของคุณเหวินอาจเสียชีวิตเพราะสิ่งชั่วร้าย หรือเป็นการตายแบบผิดธรรมชาตินั้นเอง

ในเวลาเดียวกัน เพื่อนที่เป็นหุ่นส่วนทางธุรกิจของคุณเหวินก็พอรู้เรื่องแบบนี้อยู่บ้าง เขาจึงแนะนำให้

คุณเหวินมาหาอาจารย์ของผม

บอกว่าในละแวกนี้อาจารย์ของผมท่านค่อนข้างมีชื่อเสียง เป็นผู้ที่มีวิชาอาคมอย่างแท้จริง

ดังนั้นตั้งแต่เช้าตรู่คุณเหวินจึงขับรถมาถึงที่นี่ด้วยตัวเอง ก็เพื่อมาว่าจ้างอาจารย์ของผม ไปส่งวิญญาณให้ลูกสาวของเขา หรือบางทีอาจบอกได้ว่าทำไมลูกสาวของเขาถึงไม่ยอมจากไปเสียที

 

เมื่อผมได้ยินเรื่องเลวร้ายพวกนี้ ก็อยากลองไปดู ผู้หญิงที่ตายโหงคนนี้ ว่าจริงๆแล้วมันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ หรือเธอถูกทำร้ายจริงๆ

แต่ตัวผมนั้นไม่มีความสามารถในการตัดสินใจ จึงหันไปมองหน้าอาจารย์ เพื่อรอการตัดสินใจจากอาจารย์

อาจารย์ก้มหน้าลงเล็กน้อย จากนั้นก็พยักหน้าและพูดว่า “ลูกสาวของคุณเสียชีวิต ผมต้องแสดงความเสียใจด้วยจริงๆ ในเมื่อผมเองก็ทำงานด้านนี้ แน่นอนว่าต้องออกไปช่วยคุณอย่างสุดความสามารถ คุณรอสักครู่นะครับ ผมจะไปเก็บกระเป๋า และตามคุณไปทันที!”

หลังจากพูดจบ อาจารย์ก็หันมาคุยกับผม “เสี่ยวติง ไปเก็บของ! อีกเดี๋ยวแกต้องเดินทางไปกับฉัน”

เมื่อได้ยินอาจารย์พูดแบบนั้น ผมก็ดีใจทันที

 

พวกคุณคงรู้ว่าเมื่อก่อน อาจารย์ไม่ค่อยพาผมไปงานศพ อย่างมากเขาก็แค่ไปดูฮวงจุ้ยเท่านั้น

แต่ในตอนนี้อาจารย์กลับยอมให้ผมไปด้วย มันเลยเป็นธรรมดาที่ผมต้องดีใจมากๆ

“เย้!” ผมพูดออกมาตรงๆ จากนั้นก็เข้าไปในห้องเก็บสัมภาระและของที่จำเป็นต้องใช้ในงานทันที

ส่วนด้านของคุณเหวินนั้นตื่นเต้นมาก เมื่อได้ยินอาจารย์ตอบตกลง เขาก็รีบขอบคุณทันที

บอกว่าขอแค่อาจารย์สามารถส่งดวงวิญญาณลูกสาวของเขาได้ ทำให้นำไปฝังได้อย่างสงบ ไม่ว่าจะเป็นเงินเท่าไหร่เขาก็สามารถให้อาจารย์ได้

อาจารย์หัวเราะออกมาเท่านั้น สำหรับเรื่องเงิน อาจารย์ไม่ค่อยพูดถึง

 

ลูกค้าอยากให้เท่าไหร่ พวกเราก็รับเท่านั้น

หลังจากนั้นครึ่งชั่วโมง พวกเราก็เก็บสัมภาระทุกอย่างเรียบร้อย หลังจากปิดประตู ก็เดินขึ้นรถคุณเหวินทันที

คุณเหวินค่อนข้างใจร้อน จึงขับรถเร็วมาก ระหว่างทางไม่รู้ว่าเขาแซงรถไปแล้วกี่คัน

แต่ระยะทางค่อนข้างไกล ดังนั้นหลังจากที่พวกเรามาถึง ก็เป็นเวลาประมาณ 4 โมงเย็นแล้ว

คุณเหวินเป็นเศรษฐีคนหนึ่ง เขาพักอยู่ในหมู่บ้านวิลล่า และยังเป็นคฤหาสน์เดียวที่ตั้งอยู่ต่างหาก และมันยังเป็นคฤหาสน์ที่ใหญ่มากอีกด้วย

พวกเราพึ่งถึงหน้าประตูเท่านั้น ก็ถูกสถานที่แห่งนี้ดึงดูดความสนใจทันที

 

เพราะที่ประตูและลานหน้าบ้าน มีผ้าขาวและดอกไม้สีขาวแขวนเรียงรายเต็มไปหมด ที่หน้าประตูยังมีญาติพี่น้องยืนกันอย่างหนาแน่น

เมื่อเห็นคุณเหวินพาพวกเราเข้ามา ผู้หญิงวัยกลางคนคนหนึ่งก็รีบเข้ามาตอนรับทันที ดวงตาแดงก่ำ เห็นได้ชัดว่าเธอพึ่งร้องไห้มาหมาดๆ

เธอคือภรรยาของคุณเหวิน หลังจากที่คุณเหวินแนะนำให้พวกเรารู้จัก เขาก็พาพวกเราเข้าไปในห้องโถง

หลังจากที่พวกเราเข้ามาในบ้าน ก็พบกับเรื่องที่ไม่คาดฝันทันที

ในบ้านนอกจากโถงศพหนึ่งโลง ยังมีคนที่พวกเราสนิทอีกสองคน พวกเขาก็คือนักพรตตู๋และ

ลูกศิษย์เฟิงเฉ่วหาน

 

เมื่อนักพรตตู๋และเฟิงเฉ่วหานเห็นผมกับอาจารย์ พวกเขาก็อึ้งในทันที

ไม่รอให้พวกเราทั้งสองฝ่ายได้คุยกัน ภรรยาของคุณเหวินที่ยืนอยู่ข้างๆก็พูด “เหล่าฮู่ ท่านนักพรตติง นี่คือนักพรตตู๋ที่ฉันเชิญมาเองค่ะ พวกเขาเองก็มาส่งวิญญาณลูกสาวของฉัน หวังว่าพวกคุณจะเข้ากันได้ดีนะคะ!”

อาจารย์พูดออกมาเบาๆ บอกว่าพวกเรารู้จักกันอยู่แล้วครับ

เมื่ออาจารย์ได้พบกับนักพรตตู๋ เขาก็ทักทายกันตามมารยาท

เมื่อคุณเหวินและภรรยาเห็นว่าพวกเรารู้จักกัน พวกเขาก็ยิ่งดีใจเข้าไปใหญ่

 

ในเมื่อรู้จักกันอยู่แล้ว มันก็เป็นธรรมดาที่จะทำงานร่วมกันได้อย่างราบรื่น

ตราบใดที่สามารถช่วยส่งลูกสาวของเขาได้อย่างราบรื่น ทำให้ฝังศพได้อย่างสงบ ไม่ว่าจะเชิญนักพรตมากี่ท่าน หรือเสียเงินกี่บาทสำหรับคนอย่างพวกเขานั้น มันไม่ใช่ปัญหาเลยสักนิด

หลังจากทักทายกันเสร็จ อาจารย์ก็ถามว่านักพรตตู๋มาถึงที่นี่นานรึยัง มองเห็นเบาะแสอะไรบ้างไหม

นักพรตตู๋บอกว่าเขาเองก็พึ่งมาถึง พึ่งได้เริ่มทำงานเท่านั้น

 

อาจารย์พยักหน้าเล็กน้อย เขาไม่สนใจคนอื่นๆ ร่วมกับนักพรตตู๋จุดธูปในห้องโถงก่อน ไม่รีบทำพิธีแต่อย่างใด จากนั้นก็สังเกตตำแหน่งของห้องโถง และศพผู้หญิงที่อยู่ในโลง

ส่วนผมและเฟิงเฉ่วหาน ก็ดูเหมือนจะไม่มีอะไรให้ทำ

แต่จู่ๆเจ้าเฟิงเฉ่วหานนี้ ก็พูดขู่ผม “นายพลังหยางน้อยเกินไป ที่นี่พลังหยินแรงมาก ถ้านายยังอยู่ต่อ ยัยผู้หญิงนั้นต้องมาหานายแน่……”

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset