ศพ – ตอนที่ 262 หักม้านั่งด้วยมือเปล่า

ตอนที่ 262 หักม้านั่งด้วยมือเปล่า

 

เหตุการณ์ในเวลานี้ค่อนข้างวุ่นวาย และผู้คนในเหตุการณ์ตอนนี้ต่างก็เดากันไปต่างๆนาๆถึงตัวตนของพวกเรา ถึงขนาดที่เจ้าชายแห่งหลงฟากรุ๊ปไม่กล้าสู้ด้วย ประวัติและเบื้องหลังความเป็นมาจะต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน

 

แต่ในเวลานี้เหล่าเฟิงก็ปรากฏตัวออกมา

 

หลังจากเขาพูดจบก็บิดคอไปมาจนเสียงดัง “ กร็อบ กร็อบ ”

 

ภายนอกของเหล่าเฟิงนั้นเย็นยะเยือก ตลอดทั้งปีเขาสู้กับภูตผีปีศาจ ทําให้เขานํามาซึ่ง “ รัศมีแห่งความตายและน่ากลัว” โดยเฉพาะดวงตาทั้งสองข้างที่มีพลังสยบทุกสิ่งทุกอย่าง ทําให้ผู้คนรู้สึกเย็นชาและหวาดกลัว

 

จ้องมองไปที่ไอ้คุณหนูลูกคนรวยด้วยสายตาถมึงทึง ทําให้เขาหวาดกลัวในใจก็สั่นไหว

 

ไม่เพียงแค่นั้น เฟิงเฉ่วหานยังจับเก้าอี้ด้วยมือเดียวและใช้พลังอย่างลับๆ

 

เพียงแค่ได้ยินเสียง “ แควก ” พนักพิงของเก้าอี้ไม้ ตัวนั้นก็ถูกเขาดึงออกไป

 

ไอ้คุณหนูลูกคนรวยที่ทุกๆวันใช้ชีวิตอยู่บนความฟุ่มเฟือยและหรูหรา ร่างกายไม่ได้ใช้งานอะไร

 

ในวันธรรมดาที่ยกกระสอบข้าวยังบ่นว่าเหนื่อยแล้ว ไม่ต้องพูดถึงมือเปล่าที่สามารถฉีกม้านั่งได้

 

ฉากนี้เกือบทําให้พวกเขาร่วงลงไปกองอยู่ที่พื้น ใบหน้าเต็มไปด้วยความตื่นตระหนกและหวาดกลัว

 

มือของเจ้าชายแห่งหลงฟายังเจ็บจนจะทนไม่ไหวแล้ว เมื่อเห็นความรุนแรงของเหล่าเฟิงที่นั่งเก้าอี้ด้วยมือเปล่าข้างเดียว

 

ลูกสมุนที่ติดตามเขาไม่กี่คนนี้จะสามารถเป็นคู่ต่อสู้ได้เหรอ ? ถ้าหากส่งออกไป เกรงว่าจะถูกตีจนพิการแน่ๆ

 

เขากัดฟันและพูดอย่างดุเดือด “ เรื่องนี้มันยังไม่จบ พวกเราจะจับตาดูพวกแก !ไปส่งฉันไปโรงพยาบาล ! ”

 

ผู้ติดตามสองสามคนที่ได้ยินแบบนั้นก็รีบพยักหน้า ประคองเจ้าชายแห่งหลงฟาออกไปจากโรงแรม

 

หลังจากเจ้าชายแห่งหลงฟาออกไป โรงแรมก็กลับสู่ความสงบและเพลิดเพลินไปกับการกินดื่ม

 

เพิ่งจะผ่านเหตุการณ์ที่คิดว่าเป็นเรื่องสนุกครึกครื้น แต่ก็เป็นแค่บทแทรกเล็กๆและไม่ได้ทําให้คนอื่นได้รับบาดเจ็บ

 

ในเวลานี้เสี่ยวม่านก็พูดอย่างตื่นเต้น “ ติงฝาน เฟิงเฉ่วหานทําไมพวกนายถึงมาอยู่ที่นี่ได้ละ ?”

 

ผมยิ้มและตอบว่า “ ไม่ใช่แค่ฉันนะ หยางเฉ่วก็มาที่นี่ด้วย พวกเรามาทานข้าวกันหลังจากนั้นก็มีธุระนิดหน่อย สุดท้ายก็เลยมาเจอเข้ากับเธอพอดิบพอดีเลย ! ”

 

เสี่ยวม่านได้ยินผมพูดว่ามากันทั้งสามคน เธอก็ดีใจแล้ว ถามว่าหยางเฉ่วอยู่ไหน ?

 

เหล่าเฟิงพูดว่าเธอลงไปส่งอู่ฮุ่ยฮุ่ยข้างล่าง ถึงยังไงก็ตาม อู่ฮุ่ยฮุ่ยนั้นเป็นบุคคลสาธารณะคงไม่เหมาะกับการปรากฏตัวในเหตุการณ์แบบนี้

 

ท้ายที่สุดเธอก็มองหาหยางเฉวอย่างกระตือรือร้น ถ้าหากว่าเรื่องนี้เกิดการต่อยตีกันขึ้นมา ผลกระทบมันคงเลวร้ายมาก

 

“ ใช่แล้ว เธอมาเจอพวกอันธพาลแบบนี้ได้ยังไง ? ” ผมถามด้วยความสงสัย

 

เสี่ยวม่านถอนหายใจ “ อย่าไปพูดถึงมันเลย ฉันที่เพิ่งขึ้นลิฟต์ก็เจอเขาแล้วแถมเขายังอวดรวยไม่หยุดต่อหน้าฉัน ไล่ตามให้ฉันไปเป็นแฟนของเขาให้ได้และพูดประโยค ที่น่ารังเกียจจนฉันรําคาญมากๆ

 

เรื่องเมื่อกี้ขอบคุณนายมากเลยนะ !”

 

“ ฮ่าๆ” ผมหัวเราะสองสามครั้ง “ ไม่เป็นไร ต่อไปเธอต้องระวังตัวให้มากขึ้น ถ้ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นก็โทรหาฉัน ! ฉันมีเรื่องที่ต้องไปทํา งั้นฉันไปก่อนนะ ”

 

เสี่ยวม่านที่ได้ยินผมบอกว่าจะไปแล้ว เธอก็รีบเอ่ยปาก “ พวกเราเพิ่งจะเจอกันเอง นายก็จะไปแล้วเหรอ ? ฉันยังไม่ได้ขอบคุณนายสําหรับเรื่องเมื่อกี้เลยนะ !”

 

“ ขอบคุณอะไรกันและฉันก็ไม่เป็นอะไรนี่ ? รอฉันว่างแล้วค่อยนัดเธอก็แล้วกัน ! ” ผมพูดแล้วหัวเราะฮ่าฮ่าออกมา

 

และเสี่ยวม่านก็เห็นว่าผมมีเรื่องที่ต้องไปจริงๆ เธอจึงไม่รั้งผมเอาไว้

 

ผมบอกเธอว่าจะโทรหาหลังจากที่เสร็จธุระ เมื่อเธอได้ยินแบบนั้นเธอก็บอกว่าเธอจะเชิญผมไปเที่ยวที่บ้านของเธอ

 

เมื่อผมได้ยินแบบนั้น ใบหน้าของผมก็อดไม่ได้ที่จะกระตุกสองที

 

ผมยังจําได้ว่าครั้งสุดท้ายที่ไปบ้านของเธอในฐานะแขก ผลสุดท้ายคือผมถูกบังคับให้กระโดดออกจากตึก จนเกือบจะตายแล้ว

 

เมื่อเสี่ยวม่านเห็นใบหน้าที่อับอายของผม เธอก็ดูเหมือนว่าเธอจะนึกอะไรออก เธอยิ้มแล้วร้อง “ อ๋อ ” ออกมา “ แม่ของฉันไปต่างประเทศ เดือนหน้าถึงจะกลับมา ครั้งนี้ฉันจะทําอาหารให้นายกินเป็นการขอโทษดีไหม ? ”

 

ผมยิ้มอย่างเก้อเขิน และพูดอย่างขอไปที หลังจากนั้นก็ลงไปข้างล่างพร้อมกับเหล่าเฟิง

 

ในขณะที่กําลังอยู่ในลิฟต์ เหล่าเฟิงก็โพล่งคําพูดออกมาอย่างทันทีทันใด “ นายกับเธอเป็นคู่รักกันเหรอ ?

 

ถึงถูกแม่ของเธอโยนออกจากบ้าน ?”

 

ทันทีที่ผมได้ยินคําพูดของเหล่าเฟิง ผมก็มองค้อนใส่เขาทันที คู่รับกับผีน่ะสิ ! ผมไปเป็นแขกของเธอต่างหาก

 

ผมจ้องมองไปที่เฟิงเฉ่วหาน “ พูดอะไรไร้สาระ ฉันแค่ไปเที่ยวบ้านของเธอในฐานะแขก !”

 

“ ไปเป็นแขกยังต้องกลัวแม่ของเธอด้วยเหรอ ? ชายหญิงที่ทั้งคู่โสด หรือว่านายไม่ได้ทําอะไรเลย ?”

 

เหล่าเฟิงพูดอีกครั้ง

 

บ้าเอ๊ย จะเรียกว่าผมพูดไม่ออกเลยก็ได้

 

สําหรับเฟิงเฉ่วหาน หมอนี้ในวันธรรมดาแบบนี้ชอบคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างชายหญิงแบบสุ่มสี่สุ่มห้าซ่อนอยู่ลึกๆ 

 

ผมขี้เกียจที่จะอธิบายไปมากกว่านี้ “ พวกเราเป็นเพื่อนกันเฉยๆ อย่าคิดไปเรื่อยแบบสุ่มสี่สุ่มห้า !”

 

หลังจากพูดจบ ประตูลิฟต์ก็เปิดออกพอดี ผมไม่สนใจเจ้าหมอนั้นและ เดินตรงออกจากลิฟต์ทันที

 

เหล่าเฟิงยิ้มน้อยยิ้มใหญ่และเดินตามอย่างรวดเร็ว

 

เมื่อเดินไปถึงประตูเรา ก็พบกับหยางเฉ่วและอู่ฮุ่ยฮุ่ย อีกครั้ง

 

ต่อจากนี้ เราจะไปที่บ้านของฉิงหมิงเฉ่ว เพื่อเจอกับผีตนนั้นสักหน่อย

 

ดูว่าเจ้านั้นมันจะมีความอดทนได้สักเท่าไหร่ ถึงยังไงความบ้ากามของมันก็อยากจะลงมือกับคนเป็น

 

เนื่องจากการทํางาน บ้านที่ฉิงหมิงเฉิวเช่าอยู่จึงไม่ไกล จากโรงถ่ายทําภาพยนตร์นัก มันสะดวกสําหรับการพักผ่อนและประหยัดเวลาในการมารับค่าตอบแทนในการแสดง

 

อย่างไรก็ตามโรงถ่ายทําภาพยนตร์ถูกสร้างขึ้นในเขตชานเมือง ออกจากที่นี่ไปตอนนี้ รถก็ติดมาก

 

กว่าจะไปถึงที่นั่นก็ปาเข้าไปบ่ายสามโมงแล้ว

 

ถึงแม้ว่าบริษัทภาพยนตร์และโทรทัศน์ของเมืองเราจะถูกสร้างขึ้นมาเป็นเวลานานแล้ว แต่ในวันธรรมดาก็มีทีมงานภาพยนตร์จํานวนมากทําฉากหรือถ่ายหนังและเป็นโรง ถ่ายทําภาพยนตร์ที่ใหญ่ที่สุดในเขตของพวกเราแล้ว

 

ทันทีที่มาถึง ก็เห็นนักแสดงงิ้วสวมเสื้อผ้าที่แปลกประหลาดอยู่ เหมือนกําลังรอเข้าฉากหรือรอทีมงานปิดถนนกั้นนักท่องเที่ยวที่มาเยี่ยมชม

 

มันช่างมีชีวิตชีวามากและก็รู้สึกแปลกใหม่มาก

 

หลังจากเดินไปตามถนนไม่เท่าไหร่ พวกเราก็เดินมาถึงอาคารเก่าแก่อีกฝั่งหนึ่งของโรงถ่ายทําภาพยนตร์

 

อาคารเก่าแห่งนี้สร้างมา 80 ปีแล้ว กําแพงและผนังเต็มไปด้วยไม้เลื้อย เมื่อก่อนมันเคยเป็นหอพักของโรงงานเก่า แต่ตอนนี้กําลังรอการรื้อถอนและในขณะเดียวกันก็ปล่อยให้บุคคลภายนอกมาเช่า

 

อาคารมีทั้งหมดสิบเอ็ดชั้น แต่ว่าไม่มีลิฟต์

 

ฉิงหมิงเฉ่วอยู่ชั้นที่สิบเอ็ด เธอเดินขึ้นๆลงๆทุกวันจนไม่รู้สึกเหนื่อยแล้ว

 

เวลากลางวันแทบจะไม่มีคนอยู่ในตึก ตึกจะว่างเปล่าเพราะผู้คนส่วนใหญ่จะออกไปข้างนอกเพื่อถ่ายทําหนัง

 

เมื่อเดินขึ้นไปที่ชั้นสิบเอ็ด ก็ได้ยินฉิงหมิงเฉ่วพูดว่า “ ทางนี้ ห้องที่ฉันเช่าอยู่ตรงนั้น !”

 

หลังจากพูดจบ ฉิงหมิงเฉ่วก็ชี้นิ้วไปทางนั้น ในขณะเดียวกันก็ทําท่าทางหวาดกลัวไปด้วย

 

เมื่อเห็นท่าทางแบบนั้นของเธอ ผมก็ยิ้มและปลอบใจเธอ “ อย่าไปกลัว ฉันมาแล้ว ไม่ว่ามันจะเป็นอะไร วันนี้ฉันจะต้องจัดการมันให้สิ้นซาก !”

 

ในขณะที่ให้ฉิงหมิงเฉ่วนําทางไป

 

เมื่อเดินมาถึงประตู ฉิงหมิงเฉ่วก็หยิบกุญแจออกมาด้วยท่าทางงกๆเงินๆ แล้วมองกลับมาที่พวกเรา

 

พวกเราทั้งสามคนพยักหน้าเล็กน้อย บอกใบ้เธอว่าอย่าไปกลัว

 

ฉิงหมิงเฉ่วลังเลอีกครั้งและในที่สุดเธอก็เปิดประตู

 

ทันทีที่ประตูเปิดออก ผมก็รู้สึกได้ถึงพลังด้านมืดของภูตผีปีศาจ มันให้ความรู้สึกเย็นยะเยือก ทําให้ผู้คนรู้สึกไม่สบายมากๆ

 

ไม่มีใครพูดอะไร แต่ก็เดินเข้าไปข้างในพร้อมกับฉิงหมิงเฉ่ว

 

ทันทีที่ผมเข้าไปในห้อง ประตูก็ปิดดัง “ บัง” มันปิดเองและดังมากๆ

 

อู่ฮุ่ยฮุ่ยและฉิงหมิงเฉ่วตกใจจนกระโดดตัวลอย พวกเราทั้งสามคนกลับยิ้มเยาะเย้ยออกมา ดูเหมือนไอ้เจ้านั้นมันจะไม่ดีใจที่พวกเรามา

 

บ้านนี้มีเสียงฮมฮัมดังมากและผ้าม่านก็ถูกปิดจนไม่มีแสงเลย

 

ผมเหลือบมองไปรอบๆ และพบว่านี่เป็นหนึ่งห้องนอนซึ่งมีพื้นที่ขนาดเล็ก

 

และที่มุมห้องมีโต๊ะเครื่องเซ่น บนโต๊ะมีไหสีดํา มีตุ๊กตาเด็ก “ สีทอง” ตั้งอยู่ตรงกลาง และถูกเซ่นไหว้ด้วยตะเกียงไฟและธูป นอกจากนี้ด้านหน้ายังมีจานเซ่นไหว้ที่มี แอปเปิ้ลอยู่สองสามลูก

 

ฉิงหมิงเฉ่วมองไปที่โต๊ะเครื่องเซ่น ดูเหมือนว่าเธอจะประหม่าและหวาดกลัวมาก เธอชี้นิ้วไปที่โต๊ะเครื่องเซ่นนั่น ในขณะเดียวกันก็พูดว่า “ ของที่ฉันอัญเชิญกลับมา ก็คือของสิ่งนั้น !”

 

หลังจากพูดจบ เธอก็จับแขนของอู่ฮียฮุยเอาไว้

 

ผมไม่รีบพูดอะไรแต่หยิบบุหรี่ขึ้นมาจุดและสูดลมหายใจ เข้าไปหนึ่งฟอด หลังจากนั้นก็เดินไปที่โต๊ะเครื่องเซ่นแล้วพูดว่า “ ฉันจะไม่พูดไร้สาระ วันนี้เสี่ยวเฉ่วเชิญให้เรามา ! เพราะอยากจะให้นายออกไป”

 

ถ้านายยินยอมล่ะก็ ฉันจะทําลายรูปปั้นกุมารสีทองนี่ซะ แล้วจะไปไหนก็ไป ถ้าหากนายไม่ยินยอม !

 

งั้นฉันก็ไม่รังเกียจที่จะฆ่านายทิ้งไปซะ…”

 

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset