ศพ – ตอนที่ 264 ใช้น้ํามันทอด

ตอนที่ 264 ใช้น้ํามันทอด

น้ําเสียงของเจ้าผีบ้ากามตนมีร่องรอยของความหวาดกลัวเห็นได้อย่างชัดเจนว่ามันรู้สึกได้ถึงอันตราย

แต่ในขณะนี้ผมก็ไม่ได้สนใจอะไร ผมพูดอย่างเย็นชาว่า “ ทําอะไรเหรอ? ก็จะอาบน้ําให้แกไง !”

“ ฉันจะบอกนายนะว่าทําแบบนี้ก็ไม่มีประโยชน์อะไร วิธีที่ดีที่สุดสําหรับพวกเราคือการเจรจาต่อรองกัน ตราบใดที่พวกนายเห็นด้วยกับเงื่อนไขของฉัน ฉันสาบานว่าฉันจะไม่ ยุ่งกับ เสี่ยวเฉ่วอีกเลย ! ”

“ เหอะ เหอะ ! ตอนนี้นายยังอยากจะมีข้อตกลงกับพวกเราอีก ? ฉันจะบอกอะไรให้แกนะ มันสายไปแล้ว ! ”

พูดจบ ผมก็ไม่สนใจตุ๊กตาสีทองและเจ้าผีบ้ากามตนนั้น เพียงหันไปบอกให้ทุกคนนั่งลง หลังจากนั้นก็ดึงบุหรี่ออกมาให้เหล่าเฟิง

ต่อจากนั้นก็จ้องไปที่ตุ๊กตาสีทองในหม้อท่ามกลางน้ํามันที่กําลังเดือดจนร้อนผ่าวอย่างไม่ขาดสาย

เมื่อเวลาผ่านไปไม่กี่วินาที น้ํามันในหม้อก็ร้อนขึ้นและร้อนขึ้น

หลังจากนั้นไม่นาน ก็ได้ยินเสียง “ ซือซือซื้อ” ดังออกมา

เสี่ยงนี้คือน้ํามันที่กระเด็นออกมา เพราะความร้อนที่แผดเผาปะทะอย่างต่อเนื่อง

สําหรับตุ๊กตาสีทองที่ยืนอยู่ในหม้อ ในเวลานี้ตัวมันก็สั่นขึ้นมา

เส้นรัศมีวงกลมที่เล็กมากๆ แต่กลับสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าตุ๊กตาสีทองกําลังสั่น

ไม่เพียงแค่นั้น ภายในตัวตุ๊กตาสีทองก็ส่งเสียง ที่เจ็บปวดออกมาเป็นครั้งคราว “ ระ ร้อน ร้อนมาก..”

เมื่อเห็นอย่างนี้แล้วทั้งสามคนก็ค่อยสบายใจขึ้นมา ยกเว้นอู่ฮียฮุยและฉิงหมิงเฉิวที่ยังคงตึงเครียดอยู่

แต่พวกเราสามคนกลับนิ่งสงบจนดูผิดปกติ เก็บความรู้สึกเอาไว้ในใจและพ่นมันออกมาเป็นลมหายใจ

เจ้าผีบ้ากามตนนี้ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ําตา เมื่อสักครู่นี้ ยังพูดจาเย่อหยิ่ง คิดว่าพวกเราทําลายร่างทองของมันไม่ได้ และไม่ยอมรับผิด ตอนนี้ผมทําให้เจ้าผีบ้ากามนั้นได้รู้รสชาติของการโดนทอดในน้ํามันสักหน่อยว่ามันเป็นยังไง

หลังจากนั้นอีกไม่กี่นาที ตัวตุ๊กตาสีทองก็สั่นมากขึ้นอย่างรุนแรงจนส่งเสียงออกมาจากในหม้อ

ผมคืบบุหรี่ออกมา แล้วพูดกับตุ๊กตาสีทองในหม้อว่า “เป็นไง ? รู้สึกสบายดีไหม ? ”

หลังจากพูดจบ ผมก็ได้ยินเสียงเจ้าผีบ้ากามตนนั้นส่งเสียงออกมาด้วยความเจ็บปวด “ นัก นักพรตฉันผิดไปแล้ว ร้อน ร้อนมาก ! มันร้อนจนฉันจะทนไม่ไหวแล้ว ยกโทษให้ฉันเถอะ ! ”

“ ยกโทษให้แกเหรอ ? เมื่อกี้ไม่ใช่ว่าแกเพิ่งจะหยิ่งยโสไม่ใช่เหรอ ? ตอนนี้ไม่ลองหยิ่งยโสอีกล่ะ”

หยางเฉ่วพูดแทรกขึ้นมา เธอหยิบทัพพี่ข้างๆขึ้นมากน้ำมันเทราดลงไปบนตัวตุ๊กตาสีทองนั้นยกเว้นส่วนที่แปะยันต์เอาไว้

“ อ๊าก ! ”

ในทันทีทันใดเสียงกรีดร้องที่แสบแก้วหูก็ดังขึ้นมา “ ฮูฮู ร้อน ร้อน ร้อนจนฉันจะตายอยู่แล้ว……….”

หยางเฉ่วไม่สนใจและราดน้ํามันต่อไป !

น้ํามันที่เดือดพล่านราดลงไปเสียงดังซู่ซ่าๆ เจ้าผีบ้ากามตนนั้นก็ส่งเสียงร้องที่แสบแก้วหูออกมาอย่างต่อเนื่อง

“ สาว สาวสวย อย่าตักน้ํามันราดฉันอีกเลย ช่วยฉันหน่อย ปล่อยฉันไปเถอะ !” เจ้าผีบ้ากามสะอื้นร้องไห้ออกมา ดูเหมือนว่ามันโดนทอดในน้ํามันร้อนๆจนจะทนไม่ไหวแล้ว

“ ตอนนี้ยังจะพูดถึงเงื่อนไขอีกไหม ? ” ผมถามอย่างหลีกเลี่ยงที่จะช่วยมันขึ้นมาในตอนนี้

“ไม่ ไม่พูดแล้ว ! นัก นักพรตพูดอะไรฉันก็จะทําตามที่พูดเลย หลังจาก หลังจากนี้ฉันจะไม่มากวนเสี่ยวเฉ่วอีก…”

พวกเราก็ไม่ได้ต้องการที่จะรั้งเจ้าผีตนนี้เอาไว้ เมื่อเห็นเจ้าผีบ้ากามตนนี้หวาดกลัวก็เลยปิดไฟ แต่ก็ยังไม่ได้เอาตุ๊กตาสีทองขึ้นมาจากน้ํามัน

เพราะผมคิดว่าไม่นานเจ้าผีบ้ากามตนนี้ก็จะมาปรากฏตัวออกมาสําแดงเดชต่อหน้าฉิงหมิงเฉิว

ดังนั้นผมจึงต้องการเบาะแสที่เป็นประโยชน์จากปากของเจ้าผีบ้ากามตนนี้

ดังนั้นผมจึงต้องการเบาะแสที่เป็นประโยชน์จากปากของเจ้าผีบ้ากามตนนี้

“ นักพรต ร้อน ร้อนมาก ดึงฉันออกมาเถอะ ! ร้อนจนจะทนไม่ไหวแล้ว ! ” เจ้าผีบ้ากามยังคงแหกปากตะโกนไม่หยุด

แต่ผมกลับหัวเราะเยาะเย้ยและส่ายหัว “ไม่รีบ ฉันมีไม่ กี่คําถามที่อยากจะถามแก !”

“ ถ้า ถ้างั้นนักพรตได้โปรดถามฉันมาเลย !”

ผมยิ้มมุมปากและลากเสียงยาวถาม “ เมื่อก่อนแกทําอะไร ? ตายมานานหรือยัง ? ใครให้แกมาอยู่ในร่างตุ๊กตาสีทองกับแก ? ”

หลังจากที่นี่บ้ากามได้ยิน มันก็รีบตอบอย่างกระวนกระวาย “ฉัน ฉันชื่อเฉิงต้าจือ ตาย ตายมาห้าปีแล้ว

นัก นักพรตจางเป็นคนให้ร่างตุ๊กตาสีทองกับฉัน ! ต่อมาต่อมาฉันก็ถูกฉิงหมิงเฉิวอัญเชิญมาเซ่นไหว้ที่นี่ ”

“ นักพรตจาง ? เขามีความเป็นมายังไง ? ทําไมถึงทําร่างทองให้แก ? อีกอย่าง แกไม่มีสุสานหรือยังไง ?

แล้วเขาเรียกวิญญาณแกไปได้ยังไง ?”

ผมถามคําถามอีกไม่กี่คําถาม และเจ้าผีบ้ากามที่ชื่อเจิงต้าจือก็ไม่ลังเลรีบตอบอย่างรวดเร็ว “ฉัน ฉันเป็นเด็กกําพร้าไม่มีพ่อแม่ตั้งแต่เด็ก ในทุกๆวันฉันก็ทํางานอาชีพต่ําต้อยไร้ค่า วันหนึ่งฉันถูกท่อเหล็กตีเข้าที่หัว เพราะว่าฉันไม่มีบ้านดังนั้นจึงไม่มีใครทําสุสานให้ฉันอยู่ ฉันก็เลยกลายไปเป็นผีเร่ร่อน ”

“ ต่อมาฉันก็ได้พบกับนักพรตจาง เขาบอกว่าตราบใดที่ฉันฟังเขา ฉันต้องการอะไรก็จะได้! ฉันใช้ชีวิตมานานแล้วและฉันไม่มีภรรยา ฉันบอกว่าอยากได้ภรรยา นักพรตจางก็ตกลง หลังจากนั้นเขาก็ให้ร่างตุ๊กตาสีทองแก่ฉัน ผลสุดท้ายคือไม่กี่วันหลังจากนั้น ฉิงหมิงเฉ่วก็อัญเชิญฉันมาที่นี่นักพรตจางยังบอกอีกว่า

ฉิงหมิงเฉิวคือภรรยาที่เขาหาให้ฉัน ตราบใดที่ฉันทํางานสําเร็จตามเวลา ก็จะมีความสุขเหมือนเทพเจ้า

ส่วนที่มาของนักพรตจางฉันเองก็ไม่รู้หรอก แต่ว่าเขายังดูวัยรุ่นและช่วงอายุประมาณพวกนายนี่แหละ…”

หลังจากฟังคําพูดของผีบ้ากามแล้ว ผมก็เข้าใจที่มาของมัน

มันก็เป็นแค่ผีธรรมดาและไม่มีอะไรที่พิเศษ ทําไมนักพรตจางถึงเรียกวิญญาณของเขามาทําแบบนี้ ?

นี่เป็นภารกิจอะไร ?

นี่ทําให้ผมรู้สึกอยากรู้อยากเห็น นักพรตจางคนนี้ ทําไมเขาต้องทําแบบนี้ด้วย ?

เขาต้องการเอาผีบ้ากามตนนี้มาทําอะไร ? เพื่อสําเร็จภารกิจอะไรกันแน่

หรือเพียงแค่ต้องการที่จะซื้อและขายวิญญาณ ควบคุมวิญญาณหรือต้องการแสวงหาเงิน ?

เมื่อคิดถึงตรงนี้ เฟิงเฉิวหานที่เงียบไม่พูดไม่จาอยู่นานก็พูดแทรกขึ้นมา “ ถ้างั้นนักพรตจาง เรียกนายมาทําอะไร ? เขาให้แกมาทําภารกิจอะไร ? ”

“ เอ่อ มันคือ….”

เมื่อเห็นผีบ้ากามเจ๋งต้าจ๋อตะกุกตะกัก หยางเฉ่วก็ดุเสียง ดังออกมา “อย่ามานั่นๆคือๆ รีบพูดมาไม่อย่างนั้นฉันจะจุดไฟอีก ! ”

“ อย่าอย่าอย่า ฉันจะพูดแล้ว ฉันจะพูดแล้ว ! ฉันจะพูดให้พวกนายฟัง นักพรตจางให้สิ่งของบางอย่างกับฉัน ฉันจะให้พวกนายดู…..”

เราสามคนเหลือบมองกันและกัน “ ของมันคือของอะไร? ?”

ด้วยความอยากรู้อยากเห็นผมก็มองไปที่หยางเฉ่วและเฟิงเฉ่วหานอีกครั้ง ทั้งสองคนก็พยักหน้า

ทั้งสองคนก็ต้องการที่จะเห็นสิ่งของที่ผีบ้ากามตนนี้หยิบออกมาว่าเป็นอะไร

แน่นอนว่าทุกคนก็คิดว่าเจ้าผีบ้ากามตนนี้คงไม่เอาเล่ห์เหลี่ยมอะไรออกมาใช้หรอก

นอกจากนี้ยังเป็นเวลากลางวัน ในเวลานี้ประตูและหน้าต่างก็ถูกปิดผนึกด้วยคาถาและยันต์ เขาจะทําอะไรได้ ?

ดังนั้นผมจึงเดินไปที่หม้อน้ํามันและดึงยันต์บนหัวของตุ๊กตาออกมา

แต่ในตอนที่ผมดึงยันต์ออกมา ผมก็เห็นรอยยิ้มตุ๊กตาสีทองราวกับว่ามันเป็นคนจริงๆ และรอยยิ้มที่กลับกลอกก็ปรากฏออกมา

ก่อนที่ผมจะดึงสติกลับมา หมอกสีดําแห่งความชั่วร้ายก็พุ่งทะยานขึ้นมาตรงไปที่ด้านหน้าประตู

“ เหล่าพึงระวัง ! ”

“ ติงผ่านระวัง ! ”

เฟิงเฉ่วหานและหยางเนิ่วต่างก็ตกใจและดึงผมลงไปที่ด้านหลัง !

และหมอกสีดํานั้นก็เฉียดใบหน้าของผมแล้วลอยผ่านไป

ถึงแม้ว่าผมจะหลีกเลี่ยงมันอย่างรวดเร็ว แต่ฉิงหมิงเฉ่วและอู่ฮียฮุยที่อยู่ข้างๆกลับมึนงงและทําตัวไม่ถูก

หมอกสีดํานั้นกระทบเข้ากับใบหน้าของฉิงหมิงเฉ่วและหลังจากนั้นก็สลายหายไป

ต่อมาก็ได้ยินเสียง “ อ่า ” ของฉิงหมิงเฉ่ว เดิมที่ใบหน้าที่รู้สึกประหม่าและหวาดกลัว ต่อมาในขณะนั้นเธอกลายเป็นคนดุร้ายและเยือกเย็น

ทันทีที่เธอเงยหน้าขึ้นมา เธอก็สะบัดอู่ฮุ่ยฮุ่ยข้างๆลอยมาทางพวกเราสามคน

ในขณะเดียวกันมืออีกข้างของเธอก็คว้าไปที่ตุ๊กตาสีทองในหม้อน้ํามัน แล้วหลังจากนั้นก็วิ่งไปที่ประตู

เมื่อเห็นอย่างนี้ พวกเราทุกคนก็ตกใจและไม่ได้คาดหวังว่าจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้ เจ้าผีบ้ากามตนนี้ยังมีกลอุบายอยู่อีก

แต่พวกเขาต้องการจับฉิงหมิงเฉิวก็เลยไม่ได้สนใจอู่ฮุยฮุยจึงรีบลุกขึ้นยืนแล้วโจมตีเจ้าผีบ้ากามนั้นทันที

แต่ทั้งหมดนี้มันเกิดขึ้นรวดเร็วเกินไป เห็นได้ชัดว่าเจ้าผีบ้ากามตนนี้มันได้คิดไตร่ตรองเอาไว้หมดแล้วและใช้อู่ซุ่ยฮุย มาขวางกั้นพวกเราเพิ่ม

ก่อนที่พวกเราจะเข้าใกล้ที่ด้านหน้าของมัน เจ้าผีบ้ากามที่ควบคุมฉิงหมิงเฉ่วอยู่ก็พุ่งออกไปที่ประตูแล้ว

ในขณะเดียวกันมันก็คว้ายันต์ที่ประตูออกแล้วฉีกเพื่อที่จะได้หนีออกไป…..

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset