ศพ – ตอนที่ 265 หนี

 

ตอนที่ 265 หนี

 

คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าเจ้าผีลามกนั่นจะยังมีลูกไม้นี้ซ่อนอยู่ คิดจะใช้ร่างของฉิงหมิงเฉ่ว ฉีกยันต์แล้วหนีไป

 

หลังจากพวกเรากลับมามีสติอีกครั้ง และเตรียมจะไล่ตามอีกฝ่ายไป พวกเราก็พบว่ามันสายไปแล้ว

 

เพราะเจ้าหมอนั้นทนความเจ็บปวดจากยันต์ และใช้ร่างของฉิงหมิงเฉ่ว ฉีกยันต์ทิ้งในที่เดียว

 

ยันต์เพิ่งจะล่วงลง เจ้าผีลามกตัวนั้นก็เปิดประตู แล้ววิ่งออกไปข้างนอกอย่างไม่คิดชีวิต

 

“ หยุดเดี๋ยวนี้นะ !” ผมตะโกนเสียงดังลั่น พร้อมกับไล่ตามไปในทันที

 

เฟิงเฉ่วหานและหยางเฉ่วก็โมโหจนพูดไม่ออก คิดไม่ถึงว่าวินาทีสุดท้าย จะถูกผีลามกสวมเขาให้

 

พวกเขาเองก็ไล่ตามไปอย่างรวดเร็ว วิ่งลงบันไดไปที่ชั้นล่าง

 

แม้ตอนนี้จะเป็นตอนกลางวัน แต่ผีลามกตัวนั้นก็ซ่อนอยู่ในร่างของฉิงหมิงเฉ่ว

 

แสงแดดที่เป็นภัยกับเขา จึงลดลงอยู่ในระดับต่ําสุด บวก กับตอนนี้เป็นเวลาห้าโมงเย็นแล้ว

 

หากยังเป็นอย่างนี้ต่อไป เมื่อพระอาทิตย์ตกดินแล้ว สถานการณ์ของฝั่งเราจะต้องเลวร้ายลงอย่างแน่นอน

 

ไม่เพียงเท่านั้น ตอนนี้ผมยังรู้สึกกังวลหน่อยๆ

 

นั่นก็คือถ้าเจ้าหมอนี่หนีเข้าไปในเมืองภาพยนตร์ หาคนที่มีพลังหยางน้อยเจอ แล้วเข้าสิงใครคนนั้น

 

หากเราคิดจะหาตัวเจ้าหมอนี่อีก ก็คงเป็นไปได้ยากแล้ว 

 

ดังนั้น ต้องจับตัวหมอนให้ได้ก่อนที่มันจะเข้าไปปะปนกับคนในกองถ่าย

 

ทางเดินบนตึกมีเสียงฝีเท้าที่ฟังดูรีบร้อนและน่าหดหูใจดังขึ้นไม่หยุด “ ตึกตึกตึก ”

 

ตาผีลามกนั่นควบคุมร่างฉิงหมิงเฉ่ววิ่งไปข้างหน้าไม่หยุด ระยะห่างไม่จัดว่าไกลมากนัก ประมาณห้าเมตรเห็นจะได้

 

ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็ตามมาถึงชั้นล่างแล้ว

 

ผีลามกไม่ลังเลเลยสักนิด เป็นดั่งที่ผมคาดเอาไว้ เจ้าหมอนั้นวิ่งไปทางเมืองภาพยนตร์

 

เราสามคนก็วิ่งไล่ตามไปอย่างสุดกําลัง เห็นได้ชัดๆว่าอู่ฮุ่ยฮุ่ยวิ่งไม่ทันเพื่อน เธอเพิ่งลงมาจากตึกก็หาคนอื่นไม่เจอแล้ว

 

เพราะสถานที่ที่เราอยู่คือย่านเก่าแก่ที่ยังไม่ได้รับการพัฒนา มีตรอกซอกซอยอยู่จํานวนมาก

 

หลังจากที่ผีลามกวิ่งมาได้สักพัก มันก็เข้าไปในซอยเล็กๆ ที่อยู่ข้างๆ

 

เมื่อเห็นแบบนั้น พวกเราสามคนก็ไม่ลังเล รีบวิ่งตามไปทันที

 

แต่ตอนที่พวกเราวิ่งเข้ามาถึงในซอยเล็กๆแห่งนั้น กลับพบว่าฉิงหมิงเฉ่วนอนสงบอยู่บนพื้นแล้ว

 

และกุมารทองที่เธอถืออยู่ในมือก่อนหน้านี้ ก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยแล้ว

 

เมื่อมาถึงตรงหน้าฉิงหมิงเฉ่ว ผมก็ตรวจดูเธอพักหนึ่ง ผมพบว่าผีลามกตนนั้นออกจากร่างฉิงหมิงเฉ่วไปแล้ว และพาร่างตุ๊กตาสีทองหนีหายเข้ากลีบเมฆไปแล้ว

 

“ เสี่ยวเฉ่ว เสี่ยวเฉ่ว !” หยางเฉ่วตะโกนเรียกอยู่ข้างๆ ในเวลาเดียวกันเธอก็เขย่าตัวฉิงหมิงเฉ่วไปมา

 

ที่นี่คือสามแยก ทั้งสองด้านว่างเปล่า ใช้วี่แววของผีลามกตนนั้น

 

ผมกวาดสายตามองแวบหนึ่ง แล้วพูดกับเหล่าเฟิงว่า “ เหล่าเฟิง นายไปทางนั้น ฉันจะไปทางนี้ ! ”

 

เฟิงเฉ่วหานไม่มัวพูดไร้สาระ เขาพยักหน้ารับ แล้วแยกย้ายตามที่ผมบอก วิ่งไปตามทางนั้นทันที

 

แต่การที่ไม่ได้เตรียมการล่วงหน้า จู่ๆก็เดินลุ่มๆตามหาผีในสถานที่แบบนี้ มันก็ได้แต่พูดง่ายแต่ทํายากเท่านั้นแหละ

 

สุดท้ายเดินอยู่ในซอยเก่าๆพวกนี้อยู่นานสองนาน ก็ยังไม่เห็นเงาของผีตัวนั้นสักที

 

ผมรู้ดี 80% จะต้องหาไม่เจออย่างแน่นอน

 

คิดอยากจะหาเจ้าหมอนั้นให้เจอในฝูงคนจํานวนมากแบบนี้ เป็นไปได้ยากจริงๆ

 

“สมควรตาย ! ” ผมด่าออกมาเบาๆ พร้อมเอาเท้าเตะไปที่ต้นไม้ครั้งหนึ่ง

 

คิดไม่ถึงว่าในสถานการณ์แบบนั้น การเดินหมากพลาดแค่ตัวเดียว ก็ทําให้ผีลามกตัวนั้นหนีไปได้แล้ว

 

และเรายังประเมินความสามารถของผีตนนี้ต่ําเกินไป ในระดับหนึ่ง เราเองก็ประมาทศัตรูไปหน่อย

 

ตอนแรกคิดว่าเจ้าผีลามกตัวนี้มีพลังไม่เยอะมาก มันไม่มีทางทําลายยันต์ของเราได้อยู่แล้ว นี่จึงทําให้มันได้คว้าโอกาสสุดท้าย ใช้ร่างคน ทําลายยันต์แล้วหนีไป

 

ในขณะที่ผมกําลังเซ็งสุดๆ จู่ๆเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น

 

เมื่อหยิบขึ้นมาดู ก็พบว่าหยางเฉ่วเป็นคนโทรมา

 

เมื่อเห็นว่าเป็นหยางเนิ้ว ผมก็ตกใจขึ้นมาอีกครั้ง หรือว่าหยางเฉ่วจะหาเงื่อนงําอะไรเจอ ?

 

ผลลัพธ์เพิ่งกดรับโทรศัพท์ ผมก็ได้ยินหยางเฉ่วพูดด้วยความร้อนรน “ ติงฝานเกิดเรื่องแล้ว นายรีบมาที่นี่เร็วเข้า !”

 

“ เกิดเรื่อง ? เกิดอะไรขึ้น ?” ในใจผมมีเสียงดัง “ ตึก ”

 

เห็นได้ชัดว่าหยางเฉ่วดูกังวลผิดปกติ หลังจากนั้นเธอก็ตอบกลับมาอีกครั้ง “ มีใครบางคนกําลังพยายามจะเอาวิญญาณของฉิงหมิงเฉ่วไป นายรีบกลับมาเร็ว……”

 

“ อะไรนะ เอาวิญญาณไป ” ผมหน้าเปลี่ยนสีทันที ผีลามกยังจับไม่ได้ ตอนนี้ยังมาเกิดเรื่องกับฉิงหมิงเฉ่วอีก

 

ผมจะกล้าอืดอาดอยู่ได้ยังไง หลังจากร้องเสียงหลงหนึ่งครั้ง ผมก็รีบพูดว่า “ ได้ได้ได้ ฉันจะรีบกลับไปทันที เธอใช้ยันต์ผนึกเอาไว้ก่อนนะ อย่าให้เอาวิญญาณไปได้สําเร็จ เชียว ! ”

 

ขณะพูด ผมก็วิ่งออกไปแล้ว

 

พอผมมาถึงสถานที่เมื่อกี้อีกครั้ง ก็พบว่าฉิงหมิงเฉ่วตาเหลือก กําลังนอนตัวกระตุกอยู่บนพื้น

 

ส่วนหยางเฉ่ว กําลังกดยันต์แผ่นหนึ่งเอาไว้ตรงหน้าอกของฉิงหมิงเฉ่ว ในเวลาเดียวกันก็ประสานมือข้างหนึ่งชี้ไปข้างบน

 

ภายใต้สถานการณ์คลุมเครือ ผมสัมผัสได้ว่าจิตวิญญาณของฉิงหมิงเฉ่วกําลังจะออกจากร่าง แต่เนื่องจากโดนคาถาของหยางเฉ่วสะกดเอาไว้ตลอดเธอเลยไปไหนไม่ได้สักที

 

หยางเฉ่วเห็นผมกลับมาแล้ว จึงรีบว่า “ ติงผ่านนายกลับมาพอดีเลย รีบเอายันต์ออกมากดประตูวิญญาณของฉิงหมิงเฉ่วเอาไว้ จะปล่อยให้เจ้าหมอนั้นทําสําเร็จไม่ได้ !”

 

“ คือ ได้ ได้ ! ” ผมรีบตกปากรับคํา มัวมาถามรายละเอียดไม่ได้แล้ว

 

แต่ตอนออกมาจากบ้าน ผมเอายันต์ติดตัวมาแค่ไม่กี่แผ่นเท่านั้น

 

แล้วตอนนี้จะไปเอายันต์สะกดวิญญาณมาจากที่ไหนละ ? ไม่มีทางเลือก ผมทําได้แค่กัดนิ้ว และเขียนขึ้นมาด้วยเลือดตรงนั้น

 

เวลาเร่งด่วน การเคลื่อนไหวของผมรวดเร็วมาก เมื่อยันต์ถูกวาดเสร็จแล้ว ผมก็เอื้อมมือไปจะเอาไปกดไว้ที่ประตูวิญญาณบนหัวฉิงหมิงเฉิว

 

ขอแค่กดตรงนี้เอาไว้ ก็สามารถรักษาไฟทั้งสามของฉิงหมิงเฉ่วได้แล้ว ตราบใดที่ไฟทั้งสามไม่ดับ

 

สามวิญญาณเจ็ดจิตก็จะไม่ออกจากร่างคน

 

“ ติงฝาน พอฉันนับถึงสามก็แปะยันต์พร้อมกันเลยนะ เราต้องทําให้จิตวิญญาณของเสี่ยวเฉวเสถียรก่อน ! ” หยางเฉ่วขมวดคิ้ว พูดด้วยความร้อนรน

 

“ ได้ ! ฉันจะนับ หนึ่ง สอง สามเองนะ ”

 

หยางเฉ่วไม่ได้พูดอะไร เพียงพยักหน้ารับเท่านั้น

 

“หนึ่ง สอง สาม…”

 

เราสองคนประสานมือข้างเดียว ขณะที่มาถึงคําว่า “ สาม ” ปากของผมและหยางเฉ่ว ก็ตะโกนออกมาพร้อมกัน “ ขอเชิญเทพลุ่ยลิ้ง เพี้ยง! ”

 

เมื่อคําพูดนี้ดังขึ้น ก็รู้สึกได้แค่ว่ายันต์ในมือซ้าย เริ่มร้อนขึ้นยันต์สะกดวิญญาณในมือของผมและหยางเฉ่ว เริ่มทํางานแล้ว

 

ตอนนี้คนร่ายคาถาไม่ได้มีพลังสูงมาก หลังจากผมและหยางเฉ่วร่วมมือกัน ฉิงหมิงเฉ่วที่ตาเหลือกอยู่

 

ก็กลับมาสงบอีกครั้ง

 

เมื่อเห็นสิ่งนี้ ผมและหยางเฉ่วก็อดถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกไม่ได้

 

แม้ฉิงหมิงเฉ่วจะยังไม่ฟื้นขึ้นมา แต่ไฟทั้งสามดวงของเธอก็สงบนิ่งและหายใจเป็นปกติแล้ว

 

ตอนนี้ก็แค่สลบไปชั่วคราวเท่านั้น ขอแค่พักสักหน่อยเดี๋ยวเธอก็จะดีขึ้นแล้ว

 

ในเวลานี้เอง เฟิงเฉ่วหานก็วิ่งกลับมา “ เป็นยังไงบ้าง ?”

 

เมื่อได้ยินเสียงของเหล่าเฟิง ผมก็ถอนหายใจยาวๆ “ ดึงกลับมาได้แล้ว ตอนนี้ไม่มีปัญหาอะไรแล้ว เพียงแค่ปล่อยให้ไอ้ผีลามกนั่นหนีไปได้ก็เท่านั้น !”

 

“ ค… !” เหล่าเฟิงอดด่าไม่ได้ เห็นได้ชัดว่าเขารู้สึกผิดหวังหน่อยๆ

 

เมื่อก่อนดวงวิญญาณที่พวกเราจัดการ ล้วนเป็นพวกผีร้ายวิญญาณโฉดที่บําเพ็ญจนแข็งแกร่งทั้งนั้น

 

แต่วันนี้ กลับโดนวิญญาณลูกกระจ๊อกตัวนึกหลอกซะได้

 

ผมกัดฟันแล้วกัดฟันอีก “ เราประมาทเจ้าผีลามกนั่นเกินไป ผีตัวนี้จะต้องมีพลังพอตัวอย่างแน่นอน เรื่องดึงวิญญาณเมื่อกี้ ก็ต้องเกี่ยวกับมันแน่ๆ มันคงทําเพื่อจะดึงพวกเรากลับมาที่นี่ ขัดขวางไม่ให้เราไล่ตามมันต่อ ! ถ้าวันนี้มันทําสําเร็จ จะต้องหลุดจากการตามล่ามันแน่ๆ ถ้าอยากจะใช้วิธีนี้ไล่จับมันอีก ก็คงเป็นไปได้ยากแล้ว ”

 

“ งั้นเราจะปล่อยให้เรื่องนี้ผ่านไปอย่างงี้เหรอ ? ” เหล่าเฟิงพูดด้วยความโมโห

 

แต่ผมกลับเค้นเสียงดัง ฮึ “ ปล่อยงั้นเหรอ ? จะเป็นไปได้ยังไง ? ถ้าไม่จับเจ้าหมอนั้น แล้วเราจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนได้..”

 

ศพ

ศพ

อ่านนิยายเรื่องศพ
Status: Ongoing
โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset