ศพ – ตอนที่ 266 ศาสตร์เข็มทิศติดตาม

ตอนที่ 266 ศาสตร์เข็มทิศติดตาม

 

เราเองก็เป็นคนปราบสิ่งชั่วร้าย แต่วันนี้กลับปล่อยให้ผีลามกตัวนึงหนีไปจากเงื้อมมือของเราได้

 

ถ้าเรื่องนี้แพร่ไปถึงหูคนในวงการ เราจะมีหน้าอยู่ในสายงานนี้ต่อไปได้ยังไง

 

ไม่ว่าจะทําเพื่อหน้าตัวเอง เพื่อฉิงหมิงเฉ่ว หรือเพื่ออย่างอื่นก็ตาม

 

ยังไงเราก็จะปล่อยผีตัวนี้หนีไปแบบนี้ไม่ได้ ไม่ว่ายังไงก็ต้องจับมันกลับมาให้ได้

 

แล้วก็ นักพรตจางอะไรนั่นที่เป็นคนอยู่เบื้องหลังผีลามกตัวนี้ ก็ต้องโดนด้วยเช่นกัน

 

หยางเฉ่วประคองฉิงหมิงเฉ่ว พร้อมทําหน้าขมวดคิ้ว “แต่ผีลามกนั้นหนีไปแล้วนะ และยังเอาตุ๊กตาสีทองไปด้วยอีก ตอนนี้เราจะไปจับมันจากที่ไหนละ ?”

 

“ ใช่แล้ว! ตุ๊กตาสีทองไม่อยู่ ผีลามกจะไปซ่อนที่ไหนก็ได้ถ้าเรายังอยากจับเจ้าหมอนั้นอีก งั้นก็ยากแล้วละ!” เหล่าเฟิงก็พูดเช่นกัน

 

แต่ผมกลับฉีกยิ้ม “ พวกนายจําโหลดําบนโต๊ะบูชาได้ไหม?”

 

“ โหลดํา ? ” หยางเจ่วบ่นพึมพํา ทําท่าครุ่นคิด

 

เฟิงเฉ่วหานก็คิดย้อนกลับไป หลังจากนั้นไม่กี่วิ หยางเฉ่วก็พูดขึ้นมาอีกครั้ง “ เหมือนจะมีโหลอยู่ใบหนึ่งจริงๆ !” 

 

“ เจ้าโหลใบนั้นมันช่วยเราตามหาผลามกนั่นได้เหรอ ?” เหล่าเฟิงพูดต่อทันที

 

ผมกลับพยักหน้าอย่างหนักแน่น “ ใช่ ในเมื่อโหลใบนั้นตั้งอยู่บนโต๊ะบูชาเหมือนกัน งั้นมันก็ต้องเกี่ยวข้องกับเจ้าผีลามก อาจารย์ของฉันกับท่านนักพรตต์ก็มีวิชาหนึ่ง ที่สามารถตามหาวิญญาณได้ ขอแค่เราใช้ประโยชน์จากเจ้าโหลใบนั้น แล้วให้พวกนายช่วยฉันอีกแรง ยังไงก็ต้องตามหาเบาะแสที่เจ้าผีลามกทิ้งเอาไว้เจอบ้างแหละ !”

 

เมื่อเหล่าเพิ่งได้ยินผมพูดแบบนั้น ก็พูดด้วยน้ําเสียงสงสัยทันที “ นี่นายกําลังพูดถึงศาสตร์เข็มทิศตามวิญญาณเหรอ ?”

 

ผมพยักหน้าเบาๆ “ใช่ ศาสตร์เข็มทิศตามวิญญาณ นั่นแหละ ! ”

 

แต่เหล่าเฟิงกลับเลิกคิ้ว “ มีแค่อาจารย์ของฉันเท่านั้นที่ ทําเป็น หรือว่า ? หรือว่านายก็ทําได้แล้วเหรอ ? ”

 

มุมปากผมยกยิ้มอย่างภาคภูมิใจ “ ใช่ ฉันใช้คาถานี้เป็นแล้ว ! ”

 

เหล่าเฟิงเห็นผมพูดแบบนั้น ก็ทําท่าตกใจทันที วิชานี้ไม่ได้เรียนง่ายๆ เขาเรียนมาปีกว่าแล้วก็ยังควบคุมมันไม่ได้เลย

 

แต่ผมเพิ่งเข้าสายงานมาได้เท่าไหร่กัน ? เพิ่งครึ่งปีเท่านั้น ถึงกับสามารถใช้วิชานี้ได้แล้ว จึงเป็นธรรมดาที่เขาจะตกใจสุดๆ

 

“ นายนี่มันจริงๆเลย ถึงกับเรียนจนใช้วิชานี้ได้แล้ว ! งั้นก็อย่ามัวชักช้าอยู่เลย ลงมือกันเลยเถอะ”

 

หลังจากตกใจแล้ว เหล่าเฟิงก็พูดด้วยความตื่นเต้น

 

“ไม่ได้ ฉันยังไม่พร้อม ต้องเตรียมของให้ครบก่อน หยางเฉ่วกับเหล่าเฟิงประคองฉิงหมิงเฉ่วกลับไปพักก่อน ฉันจะไปหาซื้อของหน่อย !”

 

หยางเฉ่วและเหล่าเฟิงก็ไม่ได้ลังเล พยักหน้ารับ แล้วบอกให้ผมรีบไปรีบกลับ

 

ต่อจากนั้น พวกเราก็แยกย้ายกัน

 

ผมตรงไปที่เมืองภาพยนตร์ เหล่าเฟิงและคนอื่นๆกลับไปที่ห้องเช่าของฉิงหมิงเฉิว

 

ที่นี่คือเมืองภาพยนตร์ มีอุปกรณ์ประกอบฉากเยอะแยะ มากมาย หรือจะเรียกได้ว่ามีของแทบทุกอย่าง

 

ของที่ผมจะซื้อ เป็นพวกกระดาษเหลือง ผงชาด เข็มทิศดูฮวงจุ้ยและดาบไม้

 

ขอแค่มีของพวกนี้อยู่ในมือ เราสามคนก็สามารถแสดงพลังออกมาได้อย่างเต็มที่แล้ว

 

ผ่านไปไม่นานผมก็ถามหาร้านที่ขายของพวกนี้เจอ แม้ของพวกนี้จะเป็นของประกอบฉากไม่ได้พิเศษอะไร ไม่ได้มีพลังปราบสิ่งชั่วร้ายมากกว่าอาวุธที่บ้าน

 

แต่ขอแค่มีของพวกนี้อยู่ จะมากหรือน้อยมันก็มีประโยชน์ทั้งนั้น

 

และสิ่งที่พวกเราสู้ด้วยก็เป็นแค่ผีธรรมดาตัวหนึ่งไม่ใช่เหรอ ? เพียงแค่ตอนนี้หาไม่เจอเฉยๆ ขอแค่ได้เจอหน้ากันถึงจะไม่ใช้ดาบไม้ พวกเราสามคนก็มั่นใจว่าจะต้องจัด การมันได้อย่างแน่นอน

 

ผ่านไปไม่นาน ผมก็เตรียมของทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว จึงรีบเดินตรงไปที่ห้องเช่าทันที

 

ตอนนี้เป็นช่วงหัวค่ําแล้ว ผมเลยหอบพวกอาหารกลับไปด้วย

 

เมื่อขึ้นมาข้างบนแล้ว ผมก็เห็นทุกคนอยู่ครบ ฉิงหมิงเฉ่ว เองก็ฟื้นแล้ว

 

เพียงแค่ก่อนหน้านี้เธอโดนผีสิง ตอนนี้ก็เลยยังมีนๆอยู่ๆ มีธาตุหยางค่อนข้างน้อย หน้าค่อนข้างซีด

 

พอทุกคนเห็นผมกลับมาแล้ว ก็หันมามองผมกันหมด 

 

อู่ฮียฮุยเป็นคนแรกที่เริ่มคุยกับผม “ติงฝาน นายหาซื้อของที่ต้องการได้ไหม ? ”

 

“ ซื้อมาแล้ว รอให้กินข้าวเสร็จแล้ว เราค่อยไปคิดบัญชีกับเจ้าผีลามกนั่น !” ผมพูดออกไปตรงๆ จากนั้นก็ยื่นกล่องข้าวให้ทุกคนทันที

 

อู่ฮุ่ยฮุ่ยและฉิงหมิงเฉ่วไม่มีอารมณ์กิน พวกเธอเลยกินไป แค่นิดเดียวเท่านั้น

 

เมื่อเห็นท่าทางขึ้นขมของพวกเธอ พวกเราก็พูดปลอบใจสองสามประโยค บอกให้เธอไม่ต้องกังวล

 

พวกเราจะเป็นคนจัดการเรื่องนี้เอง

 

ในเวลาเดียวกัน ผมก็ได้รู้จากปากหยางเฉ่วและเหล่าเฟิงว่าโหลดใบนั้น ใส่เส้นผมเอาไว้สองสามเส้น

 

และยังมีตุ๊กตาอีกหนึ่งตัว

 

เส้นผมไม่กี่เส้นนั้น ก็ผูกเอาไว้กับตุ๊กตาตัวนั้น

 

พวกเราเลยนั่งดูมันอยู่พักหนึ่ง แล้วลงความเห็นว่านี่คือ “สุสานอีก้วนจ่ง” ที่นักพรตจางคนนั้นทําเอาไว้ให้เจิงต้าจือ 

 

เพราะเพิ่งต้าจือไร้ญาติขาดมิตร และไม่มีสุสาน

 

นี่จึงทําให้หลังจากตายไปแล้วเขาก็กลายเป็นผีเร่ร่อนนักพรตจางคนนี้อยากจะสร้างร่างตุ๊กตาสีทองให้เขา

 

จึงต้องสร้าง “สุสานอีก้วนจ่ง” ให้ก่อน เพื่อให้เป็นที่ “รวบรวมดวงวิญญาณ ” และยังทําให้ผู้สร้างควบคุมวิญญาณ ได้สะดวกกว่าเดิม

 

ด้วยเหตุนี้ นักพรตจางจึงมองผ่านเพิ่งต้าจือ หาเส้นผมเจอเพียงไม่กี่เส้น

 

หลังจากนั้นก็ทําตุ๊กตา และยังมีสุสานอีก้วนจึงเป็นโหลดําใบนี้

 

เมื่อเป็นแบบนี้แล้ว นักพรตจางก็สามารถใช้สุสาน อีก้วนจ่งนี้ ควบคุมเพิ่งต้าจืออย่าง อ้อมๆ ทําให้เขาต้องทําตามทุกอย่าง

 

ส่วนเรื่องทําไมต้องควบคุมผีธรรมดาตัวนี้ พวกเราเองก็ไม่รู้เหมือนกัน

 

แต่โชคดีคือ ขอแค่มีตุ๊กตาและเส้นผมพวกนี้อยู่ พวกเราก็สามารถนําของพวกนี้ตั้งขึ้นโต๊ะบูชา

 

และหาเบาะแสของผีลามกตัวนี้ได้

 

เมื่อเติมท้องเรียบร้อยแล้ว พวกเราก็เตรียมตัวจะลงมืออีกครั้ง

 

สําหรับศาสตร์เข็มทิศผมยังไม่เคยใช้มาก่อน แต่ตัวคาถาผมเข้าใจมันแล้วแน่นอน

 

ผมตั้งโต๊ะบูชาก่อน หลังจากนั้นก็นําตุ๊กตาและเส้นผม ทําเป็นตัวนํา แล้วก็เริ่มร่ายคาถาทันที

หลังจากร่ายคาถาท่อนยาวออกมาแล้ว มือทั้งสองข้างก็ประสานเข้าด้วยกัน เป็นรูปดาบ แล้วตะโกนเสียงดังลั่นว่า “ ขอเชิญเทพลุ่ยลิ้ง เพี้ยง ! ”

 

หลังจากพูดจบ ผมก็ชี้ไปที่เข็มทิศฮวงจุ้ย

 

ทันใดนั้นเอง เข็มทิศก็เริ่มหมุนเสียง “ ติ๊ดติ๊ดติ๊ด ” ดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง

 

ทุกคนจ้องไปที่เข็มทิศตาไม่กระพริบ

 

ความเร็วของเข็มค่อยๆช้าลงมา และสุดท้ายก็หยุดลง มันชี้ไปข้างนอก ไม่กระดิกไปที่อื่นอีกเลย

 

เมื่อเห็นสิ่งนี้ ผมก็ดีใจในใจ สําเร็จแล้ว

 

“ ดีละ กําหนตําแหน่งเรียบร้อยแล้ว ขอแค่เราเดินตามเข็มทิศ จะต้องหาเจ้าผีลามกนั่นเจออย่างแน่นอน !” ผมรีบพูด

 

เหล่าเฟิงและหยางเนิ่วไม่รอช้า รีบหยิบอาวุธ หันไปบอกอู่ฮุ่ยฮุ่ยและฉิงหมิงเฉ่วว่าให้รออยู่ในห้อง

 

พวกเราไปเดี๋ยวเดียวเดี๋ยวก็กลับ

 

เพียงเท่านี้ พวกเราก็เดินลงจากตึก มองทิศทางให้แน่ชัดแล้วเดินไปตามที่เข็มทิศบอก

 

เข็มทิศชี้ไปทางเหนือตลอด และทิศเหนือของเมืองภาพยนตร์ก็คือป่าไผ่ผืนหนึ่ง

 

หลังจากเดินผ่านป่าไผ่มาแล้ว ผมก็กวาดตามองรอบๆ พบว่าดึกดื่นปานนี้ก็ยังมีกองถ่ายอยู่ที่นี่

 

แต่ก็ไม่ได้หยุดดูนานนัก หลังจากเดินอ้อมคนพวกนี้แล้ว พวกเราก็เดินต่อไปเรื่อยๆ

 

หลังจากเดินมาได้ 20 นาที พวกเราก็มาถึงภูเขาด้านหลัง

 

สถานที่แห่งนี้ไม่ค่อยมีใครเข้ามา เพราะไม่มีการพัฒนาใดๆทั้งสิ้น ในเวลาปกติจึงไม่ปล่อยให้กองถ่ายหรือแขกที่มาเยี่ยมชมเข้ามาที่นี่ ไม่มีทางเดินแบบเป็นรูปเป็นร่างให้ เห็นกันเลยทีเดียว

 

เพื่อให้หาผีลามกตัวนั้นได้เร็วๆ พวกเราสามคนจึงต้องทนทุกข์ เดินไปที่ภูเขาทั้งๆแบบนั้น

 

ไม่พูดไม่ได้ เจ้าผีลามกนี่ซ่อนตัวได้ไกลจริงๆ

 

แม้จะมาถึงภูเขาลูกนี้แล้ว พวกเราก็ยังต้องเดินไปอีกครึ่งชั่วโมง

 

โชคดีที่พวกเราเปิดตาแล้ว ไม่อย่างงั้นสถานที่ที่มืดมิดแบบนี้ การก้าวเดินต่อไปข้างหน้าจะต้องยากลําบากมากแน่ๆ

 

ตอนนี้พวกเราเข้ามาลึกมากแล้ว แต่ก็ยังหาเบาะแสของเจ้าผีลามกนั่นไม่เจอ

 

แต่ทุกคนก็ไม่แสดงท่าทีว่าจะยอมแพ้ ยังคงเดินตามที่เข็มทิศบอกต่อไป เดินไปข้างหน้าเรื่อยๆ

 

หลังจากนั้นประมาณห้านาที พวกเราก็เดินขึ้นมาบนเนินเล็กๆลูกหนึ่ง

 

และก็เป็นตอนที่พวกเราเดินขึ้นมาบนเนินนั้นเอง จู่ๆพวกเราก็ได้ยินเสียงบางอย่างเบาๆ

 

หัวใจของเราสามคนจึงเต้นแรง รีบหยุดเดิน ตื่นตัวขึ้นมาทันที จากนั้นก็มองสํารวจรอบๆอย่างเงียบๆ

 

ในเวลาเดียวกัน เสียงนั้นก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง “ พี่เก้า นี่ก็จะถึงเวลาที่ต้องส่งงานของเดือนนี้แล้ว แต่ข้าต้องทําไม่สําเร็จแน่ๆ พี่ต้องช่วยข้านะ ! ถ้าวันนี้ข้าไม่ฉลาดวิ่งหนีออกมาได้ทัน ปานนี้คงโดนเจ้านักพรตสามคนนั้นฆ่าตายไปแล้ว……”

 

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset