ศพ – ตอนที่ 27 โลงปลอม

จู่ๆเฟิงเฉ่วหานก็พูดขู่ผม ผมจึงตกใจทันที

รีบหันหน้าไปมองเจ้าเด็กนี้ แต่ก็ยังเห็นใบหน้าตายด้าน กำลังมองศพที่อยู่ในโลงอย่างสงบ

“เฟิงเฉ่วหาน นายแน่ใจได้ยังไงว่าเธอจะมาหาฉัน” ผมอดไม่ได้ที่จะพูดออกมา

แต่เฟิงเฉ่วหานยังเป็นคุณชายผู้เย็นชา “นายห่วยขนาดนี้ ไม่มาหานายแล้วจะไปหาใครละ”

เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ผมก็แทบโมโหจนกระอักเลือด คิดไม่ถึงว่าคุณชายเย็นชา จะสามารถพูดเยาะเย้ยคนอื่นได้

แต่ไม่รอให้ผมได้พูด เฟิงเฉ่วหานก็พูดต่อ “คืนนี้นายรับหน้าที่เฝ้าศพ ส่วนฉันจะจุดธูป รับประกันได้เลยนายไม่เป็นอะไรแน่!”

 

ผมทำหน้าเอือมระอา เจ้าเฟิงเฉ่วหานนี้ คิดจะเรียกร้องความสนใจจากผมซินะ

ในฐานะที่พวกเราเป็นลูกศิษย์ คืนนี้จึงต้องรับหน้าที่เป็นคนเฝ้าศพ

เฟิงเฉ่วหานคิดอย่างช่ำชอง ผมเป็นคนเฝ้าส่วนเขาเป็นคนจุดธูป

การจุดธูปหนึ่งครั้งจะต้องใช้เวลาเท่าไหร่กันเชียว ตอนเย็นพวกเราก็ยังใช้ธูปดอกเดิม ผ่านไป 2 ชั่วโมงเขาถึงมีการจุดอีกครั้ง

แต่ตอนเฝ้าศพ จะต้องลืมตาตลอดเวลา และทุกๆครึ่งชั่วโมงก็จะต้องเผากระดาษเงินกระดาษทองหนึ่งครั้ง

งานนี้ใครทำงานหนักงานเบา ทุกคนคงจะมองออก

เป็นธรรมดาที่ผมจะไม่เห็นด้วย จึงด่าออกไปตรงๆ “ไปไกลๆตีน!”

 

เมื่อเฟิงเฉ่วหานได้ยินคำตอบจากผม เขาก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา แต่ก็ไม่พูดอะไร คงมีแค่สวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่าเจ้านี้กำลังคิดอะไรอยู่ แต่ก็ไม่รู้ว่าเขากำลังนินทากับผมอยู่ในใจรึป่าว

ในเวลานี้ นักพรตตู๋และอาจารย์ก็ตรวจสอบเสร็จเรียบร้อย

สีหน้าทั้งสองคนค่อนข้างหมองหม่น พวกเขากลับมายืนตรงหน้าของคุณเหวินและภรรยาอีกครั้ง จากนั้นผมก็ได้ยินอาจารย์พูดว่า “คุณเหวิน คุณผู้หญิง ลูกสาวของคุณไม่สามารถไปได้ เป็นเพราะเหตุผลบางอย่าง!”

เมื่อสามีภรรยาได้ยิน สีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที ภรรยาของคุณเวินรีบพูด “ท่านนักพรตติง มัน มันคือเหตุผลอะไร! ลูกสาวของฉัน ลูกสาวของฉันตายอย่างไม่เป็นธรรมใช่ไหม”

 

อาจารย์ส่ายหัวเล็กน้อย “ไม่ใช่ไม่เป็นธรรม ผมเองก็ยังไม่รู้ แต่โลงศพนี้มีปัญหาครับ!”

ขณะที่พูด อาจารย์ก็ชี้ไปที่โลงไม้ชิงชันที่คุณหนูเวินกำลังนอนอยู่

เมื่อได้ยินสิ่งนี้ ผมและเฟิงเฉ่วหานก็หันไปมอง พวกเราต่างเผยสีหน้าที่สงสัยออกมา

ถ้าพูดในความเป็นจริง การนำไม้ชิงชันมาทำโลงศพ ก็ถือเป็นการเลือกวัสดุชั้นดี

วัสดุนี้ไม่เพียงหายากและราคาแพง หากนำมาทำโลงศพ จะมี “ผล” ทำให้วิญญาณสงบสุข

ไม่ว่าจะเป็นอดีตหรือปัจจุบัน การที่คนในครอบครัวสามารถนำไม้ชิงชันมาทำโลงศพได้ ก็มักจะมีแค่คนรวย หรือคนชนชั้นสูงเท่านั้น

 

โลงศพที่ต่อหน้านี้ ไม่ว่าจะเป็นสีหรือฝีมือ ต่างประณีตมาก

แต่โลงที่ดีขนาดนี้ จะมีปัญหาได้ยังไงละ

ท่าทางของคุณเหวินเปลี่ยนไปเล็กน้อย “อะไร ปัญหาอะไร นี่เป็นโลงไม้ชิงชันทองที่ผมซื้อมาด้วยเงินจำนวนมากเลยนะครับ ผมยังเชิญคนมาดูแล้วด้วย ด้านบนสลักนกฟีนิกซ์ เป็นโลงศพสำหรับผู้หญิงอย่างไม่ต้องสงสัย และยังไม่ผิดข้อห้ามใดๆนิครับ!”

เสียงพึ่งตกลง นักพรตตู๋ที่อยู่ข้างๆกลับพูดขึ้น “คุณเหวิน คุณอย่าพึ่งใจร้อน ถ้ามองจากภายนอก โลงไม้ชิงชันสีทองที่สลักนกฟีนิกซ์ลูกนี้เป็นของที่ดีจริงๆ แต่สิ่งที่ผมจะพูดคือ มันเป็นโลงไม้ชิงชันจริงๆเหรอครับ……”

เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ผมก็เข้าใจความหมายทันที นักพรตตู๋และอาจารย์อยากบอกว่า ไม้ที่ทำโลงนี้มันผิด

 

แต่ก็ไม่ผิดนิ! หลังจากเข้ามาในห้อง ผมยังได้สัมผัสกับโลงลูกนั้นอยู่เลย มันเป็นไม้ชิงชันอย่างไม่ต้องสงสัย

เพราะของที่ร้านของพวกเรา ก็ยังมีเทวรูปมากมายที่ทำมาจากไม้ชิงชัน สิ่งที่ผมคิดคงไม่ผิดหรอกมั้ง

แม้ว่าจะสงสัย แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา และยังยืนฟังอยู่ข้างๆต่อไป

“ท่านนักพรตตู๋ ท่านนักพรตติง สิ่งที่พวกคุณต้องการจะบอกก็คือ โลงนี้เป็นของปลอมอย่างนั้นเหรอครับ” คุณเหวินเผยสีหน้าตกใจ เขาไม่เชื่อ

แต่อาจารย์และนักพรตตู๋กลับพยักหน้า แสดงให้เห็นว่ามันเป็นแบบนั้นจริงๆ

คุณเหวินขมวดคิ้วเล็กน้อย “เป็นไปไม่ได้ ผมซื้อโลงนี้มาในราคาหลายแสนเลยนะครับ จะเป็นของปลอมไปได้ยังไง!”

 

หลังจากพูดจบ เขาก็รีบเดินไปที่โลงทันที จากนั้นก็ลูบไปที่โลงเบาๆ มองดูอีกสองสามครั้ง

อาจารย์เดินไปที่หน้าโลงช้าๆ จากนั้นก็พูดว่า “คุณเหวิน โลงนี้ทำขึ้นมาอย่างดี แม้ด้านนอกจะดูไร้ที่ติ แต่ ถ้าคุณลองดูดีๆ คุณก็จะรู้ความจริง!”

หลังจากพูดจบ อาจารย์ก็หยิบมีดหั่นศพออกมา เขาฟันลงที่มุมด้านหนึ่งของโลง

เสียง “บึก” ดังขั้น มุมหนึ่งของโลงถูกตัดออก

ทันใดนั้นมุมที่ถูกตัดออก ก็ทำให้ทุกคนตกใจทันที

เห็นได้ชัดว่า ไม้ชิงชันที่ถูกตัดออก มีด้วยกันสองสี

 

ทั้งสองข้างมีสีบานเย็น แต่ด้านในกลับเป็นสีขาว

ไม้ชิงชัน จะมีเนื้อสีขาวได้ยังไง

เมื่อคุณเหวินเห็นสิ่งนี้ เขาก็พูดออกมาทันที “ประกอบกัน!”

“ถูกต้องครับ โลงไม้ชิงชันนี้ถูกคนทำปลอมขึ้นมา ใช้วิธีประกบกันเป็นชั้น ด้านนอกใช้ไม้ชิงชันของจริง แต่ด้านในกลับใช้ไม้ฮวงตาน”

“ไม้ชนิดนี้เป็นของธาตุหยิน มักใช้เป็นเสาคานบ้าน น้ำหนักและกลิ่มไม่ต่างอะไรกับไม้ชิงชันมากนัก แต่คุณสมบัติไม่เหมือน มันไม่ควรเอามาทำโลงศพ”

“ถ้าคุณให้คนตายนอนในโลงที่ทำจากไม้ชนิดนี้ ก็เหมือนกับการนำไปวางในซึ้งนึ่ง แล้วเธอจะรู้สึกสบายได้ยังไงละครับ” อาจารย์พูด

 

ตอนนี้คุณเหวินโกรธจนพูดอะไรไม่ออก แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ด่าออกมา “แม่…ซิ ฮึกล้ามาหลอกขายให้ฉัน ทำร้ายลูกสาวสุดที่รักของฉัน เรื่องนี้มันไม่จบง่ายๆแน่ ฉันจะทำให้มันต้องทุกข์ทรมาน!”

“คุณเหวินอย่าพึ่งโกรธ เธอตายอย่างกระทันหัน และวิญญาณยังไม่สงบ ดังนั้นผมคิดว่าวันนี้ ควรเปลี่ยนโลงศพก่อน ไม่อย่างนั้นเธอคงไม่สงบได้ง่ายๆ!” นักพรตตู๋พูด

แม้คุณเหวินจะโกรธ แต่เห็นได้ชัดว่าเขาเองก็เป็นพ่อที่รักลูกสาวมาก

เขาตบหน้าผากของตัวเอง จากนั้นก็รีบโทรศัพท์ สั่งให้คนไปจัดการ

ส่วนโลงไม้ชิงชันปลอมตรงหน้าที่คุณเหวินเสียเงินไปกว่าหลายแสนนั้น ก็ไม่อาจใช้ต่อไปได้แล้ว

 

ดังนั้นทุกคนจึงร่วมมือกัน ย้ายศพของคุณหนูเหวินออกมาจากโลง

คุณหนูเหวินยังเด็กมาก และสวยมาก

แม้ว่าจะตายไปแล้ว แต่เนื่องจากการแต่งหน้า

ดังนั้นในตอนนี้ เธอจึงดูเหมือนกับคนที่กำลังนอนหลับคนหนึ่ง

หลังจากย้ายศพของคุณหนูเหวินเสร็จ โลงไม้ชิงชันปลอมลูกนั้นก็ถูกโยนไปที่ลานจากนั้นก็ราดน้ำมันเบนซินและเผามันในทันที

อาจารย์และนักพรตตู๋ ก็เริ่มจัดระเบียบและตกแต่งห้องใหม่

 

ดูเหมือนพลังของคุณเหวินจะมีมากเลยละ ใช้เวลาไม่ถึงสองชั่วโมง โลงศพจากไม้การบูรก็ถูกส่งมาถึงในห้อง

หลังตรวจอย่างละเอียด ก็พบว่าไม่มีปัญหาอะไร ดังนั้นพวกเราจึงย้ายร่างของคุณหนูเหวินกลับเข้าไปอีกครั้ง

หลังจากที่ทุกคนไหว้เสร็จ อาจารย์และนักพรตตู๋ก็เริ่มพิธีสวดส่งวิญญาณ

เนื่องจากคุณหนูเหวินตายโหง และยังเคยนอนในโลงไม้ฮวงตาน จึงทำให้พิธีสวดส่งวิญญาณนี้ค่อนข้างซับซ้อนและเข้มงวด

พวกเราเริ่มทำพิธีตอน 6 โมงเย็น จากนั้นก็ดำเนินมาจนถึง 5 ทุ่ม ทุกอย่างผ่านไปได้ด้วยดี ไม่มีข้อผิดพลาดเกิดขึ้นแต่อย่างใด

 

จนกระทั่งเสร็จพิธี อาจารย์และนักพรตตู๋ถึงได้พักหายใจ

ตอนนี้ญาติของตระกูลเหวินต่างกลับไปจนหมดแล้ว เหลือเพียงคุณเหวินและภรรยาเท่านั้น

ภรรยาของคุณเหวินเสียใจมาก เธอร้องไห้ออกมาบ้างเป็นครั้งคราว

เมื่อคุณเหวินเห็นสภาพจิตใจของภรรยาแย่มาก เขาจึงประคองเธอกลับไปพัก และรบกวนให้พวกเราดูแลงานศพต่อ

เวลาประมาณเที่ยงคืนกว่าๆ อาจารย์และนักพรตตู๋เห็นว่างานออกมาอย่างราบรื่น และยังไม่มีข้อผิดพลาดใดๆ จึงคิดจะออกไปพัก

บอกว่าพรุ่งนี้เช้าตอน 7 โมงจะกลับมาทำต่อ คืนนี้ก็เลยมอบหน้าที่เฝ้าศพให้ผมกับเฟิงเฉ่วหาน

 

นี่เป็นเรื่องที่คิดไว้อยู่แล้ว ผมทั้งสองคนจึงไม่ได้พูดอะไร

จากนั้น อาจารย์และนักพรตตู๋ก็กลับไปพักผ่อน

แต่สถานที่ที่ใช้พักนั้นไม่ใช่ที่นี่ แต่เป็นคฤหาสน์ที่อยู่ข้างๆ

ก่อนหน้านี้คุณเหวินบอกว่า บ้านที่พวกเราอยู่ในตอนนี้ เขาซื้อมาให้กับลูกสาว เพื่อทำเป็นเรือนหอให้เธอในอนาคต

แต่ตอนนี้ที่นี่กลับกลายเป็นที่จัดงานศพให้กับคุณหนูเหวิน ดังนั้นบ้านหลังนี้จึงไม่ใช่ที่อยู่สำหรับคนเป็นอีกต่อไป

 

หลังจากอาจารย์และนักพรตตู๋ออกไป ที่นี่ก็เหลือเพียงผมและเฟิงเฉ่วหานเท่านั้น

แต่อาจารย์และนักพรตตู๋พึ่งจากไป ผมก็ยืดขี้เกียจ เผยสีหน้าที่เหนื่อยล้าออกมา

เมื่อเฟิงเฉ่วหานเห็นสภาพของผมในตอนนี้ เขาก็พูดออกมาอย่างเย็นชา “ติงฝาน นายไปหลับก่อนก็ได้นะ! เดี๋ยวคืนนี้ ฉันจะเฝ้าเอง!”

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset