ศพ – ตอนที่ 273 หน้าที่

ตอนที่ 273 หน้าที่

 

สุดท้ายผีผู้ชายที่แสนดุร้ายก็ระเบิดตัวเองต่อหน้าพวกเรา

 

แต่ไม่รอให้เราได้พักหายใจ ทันใดนั้นเองผมก็พบว่า ตรงที่ ผีผู้ชายระเบิดฆ่าตัวตาย ก็มีกระดาษรูปคนสีหมึกตกอยู่เช่นกัน

 

เมื่อเห็นสิ่งนี้ ผมก็เดินไปข้างหน้าด้วยความสงสัย หลัง จากนั้นก็หยิบกระดาษแผ่นนั้นขึ้นมาดู

 

หยางเจ่วและเหล่าเฟิงก็เห็นกระดาษแผ่นนั้น พวกเขา เองก็เผยท่าทางสงสัยออกมาเช่นกัน

 

“ ทําไมถึงมีกระดาษรูปคนอีกแล้วละ !” หยาง เฉ่วบ่นพึมพํา

 

เหล่าเฟิงไม่ได้พูดอะไร ส่วนผมหยิบคนกระดาษขึ้นมาดูสองสามรอบ

 

จากพื้นผิวของคนในกระดาษ มองไม่เห็นร่องรอยใดๆ และไม่มีอะไรพิเศษ

เป็นเพียงแค่คนกระดาษขนาดเท่าฝ่ามือ นอกจากพวก นี้แล้ว ด้านบนไม่มีร่องรอยอะไรอีก

 

หลังวิญญาณของผีตนนี้แตกสลายแล้ว ไม่ควรหลงเหลือ สิ่งใดเอาไว้ซิถึงจะถูก

 

แต่เจ้าเจิงต้าจือกับเจ้าผีที่ถูกเรียกว่าพี่เก้า กลับทิ้งกระดา ษสีหมึกเอาไว้หลังตายสองครั้งติด

 

นี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่นอน จะต้องมีอะไรบางอย่าง เกิดขึ้นกับผีสองตนนี้มาก่อนแน่ๆ กระดาษแผ่นนี้จะต้องไม่ ใช่ของธรรมดาอย่างแน่นอน

 

และที่แน่ใจได้ในตอนนี้คือ พวกเขากับองค์กรตาผี ต้องเกี่ยวข้องกันไม่มากก็น้อยแน่ๆ

 

หรือจะพูดว่า กระดาษแผ่นนี้น่าจะเป็นวิชาลับบางอย่าง ที่องค์กรตาผีใช้ควบคุมพวกเขา หรืออาจเป็นอย่างอื่น

 

พวกเราสามคนไม่เข้าใจ แต่ก็เก็บกระดาษสีหมึกเอาไว้อ ย่างดี คิดว่ารอให้กลับไปแล้ว ค่อยเอาของสิ่งนี้ให้อา จารย์และท่านนักพรตต์ดู

 

ทั้งสองคนมีประสบการณ์มากมาย บางทีพวกเขาอาจ จะมองเห็นอะไรบางอย่าง

 

หลังจากนั้น พวกเราก็อยู่ที่นี่อีกพักหนึ่ง มองดูรอบๆ

 

แต่นอกจากผีสองตัวนี้แล้ว รอบๆก็ไม่มีอะไรผิดปกติอีก และไม่มีกลิ่นอายพลังชั่วร้ายอย่างอื่นอีก

 

ดังนั้น เราสามคนจึงคิดจะรีบเดินทางกลับ

 

เมื่อพวกเรามาถึงเมืองภาพยนตร์อีกครั้ง ก็เป็นเวลาเที่ยง คืนกว่าแล้ว

 

ตอนนี้ยังมีผู้คนเดินเข้าออกเมืองภาพยนต์กันอย่างว่าเล่น กองถ่ายรอบดึก นักท่องเที่ยว กลุ่มนักแสดง

 

ให้บรรยากาศที่ครึกครื้นกันเลยทีเดียว

 

ณ ที่แห่งนี้ แม้หลังของพวกเราจะมีดาบไม้ติดอยู่ ในมือถือเข็มทิศฮวงจุ้ย ก็ไม่มีใครสนใจเราหรอก

 

หรือจะเรียกได้ว่าพวกเขาเห็นพวกเราเป็นกลุ่มนักแสดงของหนังบางเรื่อง พวกเราหาอะไรกินระหว่างทาง และดู มือถือกันอีกนิดหน่อย

น่าเสียดายมาก นักพรตจางคนนั้น ตอนนี้พวกเรายังไม่ ได้ข้อมูลอะไรเพิ่มจากเพื่อนสนิทของผมเลย

 

เมื่อเติมท้องเต็มแล้ว เราก็กลับไปที่ห้องเช่าของฉิงหมิง เฉิว

 

ในเวลานี้แม้จะดึกมากแล้ว แต่เมื่อมาถึงหน้าประตู พวก เราก็พบว่าในห้องยังมีแสงไฟอยู่ และยังมีเสียงคุยกันดังออก มาเบาๆ

 

เห็นได้ชัดว่าพวกเธอกลัวจนนอนไม่ลง หลังจากเสียงเคาะ ประตูดังขึ้น เสียงที่เคร่งเครียดก็ดังออกมาจากด้านใน “ นั่น ใคร ? ”

 

“ พวกเราเอง ! ” ผมตอบกลับเบาๆ

 

เสียงเพิ่งเงียบลง เราก็ได้ยินฉิงหมิงเฉ่วตะโกนด้วยความ ดีใจ “ นักพรตติง ! ”

 

หลังจากพูดจบ เสียงฝีเท้าก็ตามมาติดๆ พร้อมกับประตู ที่เปิดออก

 

ตอนฉิงหมิงเฉิวและอู่ฮุยฮุยเห็นพวกเราอีกครั้ง ก็เห็น ได้ชัดว่าพวกเธอดีใจมาก

 

ผู้หญิงทั้งสองคนรีบพูดเป็นเสียงเดียวกัน ถามว่าเป็นยังไง บ้าง

 

พวกเราสามคนเข้าไปในห้องอีกครั้ง กวาดสายตามองโต๊ะ บูชาที่แตกเป็นเสี่ยงๆในห้องแวบหนึ่ง

 

จากนั้นก็พูดเบาๆว่า “ สบายใจได้แล้ว ! เรื่องมันจบแล้ว ต่อไปพวกเธอก็อยู่กันอย่างสบายใจได้แล้วละ !”

ฉิงหมิงเฉิวถูกผีลามกนั่นตามรังควานมาสามเดือน เมื่อ ได้ยินคําพูดนี้ เธอก็ดีใจจนทําอะไรไม่ถูก

 

* ขอบคุณมาก ขอบคุณพวกคุณมากจริงๆ ! ใช่ ใช่แล้ว ท่านนักพรตทั้งสาม พวกคุณรอฉันแป็บนึงนะคะ….” หลัง จากพูดจบ ฉิงหมิงเฉิวก็วิ่งไปที่ห้องนอน หลังจากนั้นก็คุ้ยก ระเป๋าสองสามครั้ง หยิบเงินขึ้นมาก้อนหนึ่งแล้วก็เดินออก มา

 

เงินมีจํานวนไม่มากนัก ด้านในแม้แต่แบงค์ห้าสิบหรือแบงค์ยี่สิบก็ยังมี โดยรวมแล้วก็น่าจะมีประมาณพันกว่าหยวน

 

ฉิงหมิงเฉ่วถือเงินพันกว่าหยวนนี้เข้ามา เธอยื่นมันให้ผมอ ย่างเคารพ “ ท่านนักพรตติง ขอบ ขอบคุณพวกคุณจริงๆ ตอน ตอนนี้ฉันมีแค่นี้แหละค่ะ ไม่รู้ว่าพอไหม พวก พวกคุณ ได้โปรดรับเอาไว้ด้วยค่ะ ถ้ายังไม่พอ

 

ฉันจะให้พวกคุณเพิ่มวันหลัง….”

 

หลังจากพูดจบ ฉิงหมิงเฉ่วคนนี้ยังโค้งคํานับพวกเราอย่าง ประหม่า

 

มุมปากของผมยกยิ้มเล็กน้อย พวกเราไม่ใช่พวกต้มตุ้น นี่ก็เป็นภาระหน้าที่และความรับผิดชอบที่พวกเราควรทําอยู่ แล้ว

 

และฉิงหมิงเฉิวก็เป็นแค่นักแสดงตัวเล็กๆ นอกจากค่าน้ํา ค่าไฟแล้ว แม้แต่ซื้ออาหารดีๆกินเธอก็ยังทําไม่ได้ด้วยซ้ํา แล้วพวกเราจะกล้ารับเงินของเธอมาได้ยังไง

 

แต่ไม่รอให้ผมได้พูดออกมา หยางเนิ่วที่อยู่ ข้างๆกลับผลักมือของฉิงหมิงเวออก “ เสี่ยวเฉ่ว พวกเราไม่ ต้องการเงิน เธอเก็บเอาไว้เถอะ !”

 

ฉิงหมิงเฉ่วอึ้ง “ ไม่ ไม่ต้องการเงิน ? ”

 

หยางเฉ่วกลับฉีกยิ้มอย่างสดใส “ เราไม่ได้เป็นเพื่อนกัน เหรอ ? เงินพวกนี้เธอเก็บเอาไว้ใช้เองเถอะ วันไหนที่เธอมี ชื่อเสียงเหมือนฮุยเอ๋อร์แล้ว ค่อยเชิญพวกเรา ไปกินข้าวสักมื้อก็ได้แล้ว !”

 

หยางเนิ่วก็พูดตรงเกินไป เมื่อฉิงหมิงเฉ่วได้ยินคําพูดนี้ ก็ ซาบซึ้งใจอย่างอธิบายไม่ถูก

 

วุ่นวายอยู่ที่นี่สองสามปี เรื่องมิตรภาพระหว่างคนเรา ตัวเธอเองรู้ดีเลยละ

 

แต่ละคนล้วนมีเป้าหมายเป็นของตัวเอง หรือจะพูดว่า หากไม่ได้ประโยชน์ใครจะยอมทํา

 

หยางเนิ่วพูดเหมือนเห็นเธอเป็นเพื่อน ช่วยเธอขนาด นี้แล้ว ยังไม่ต้องการเงินของเธออีก แล้วแบบนี้จะไม่ให้เธ อซาบซึ้งใจได้ยังไง

 

ฉิงหมิงเฉ่วตาแดง “ คือ ” ตอบรับเพียงสั้นๆ แล้วก็บอ กว่าเธอจะพยายามต่อไป

 

หลังจากนั้น พวกเราก็คุยต่อในห้องฉิงหมิงเฉิวอีกพักหนึ่ง

 

คนในเมืองจะค่อนข้างระวังและหลีกเลี่ยงจากสิ่งชั่วร้าย ผมจึงเสนอ ให้ฉิงหมิงเฉ่วย้ายออกไปในช่วงสองสามวันนี้

 

แม้ผีลามกเฉิงต้าจือจะตายไปแล้ว แต่พวกเราพบว่าพวก เขาไม่ได้อยู่โดดๆ แต่เป็นสาวกในองค์กรหนึ่ง

 

เพื่อความปลอดภัยของเธอ ผมเลยให้ฉิงหมิงเฉ่วย้าย ออกไปจากที่นี่

 

และยังต้องลบวีแชทของนักพรตจางทิ้งซะ ตัดช่องทาง การติดต่อทุกอย่างกับองค์กรชั่วนั่น

 

เหตุผลในการย้ายบ้านคือ หนึ่งเคยเป็นสถานที่ที่อยู่ร่วม กับผีลามกเฉิงต้าจือ สองก็คือในห้องมีพลังหยินแรงเกินไป ไม่เหมาะให้คนที่มีพลังหยางอ่อนแออย่างฉิงหมิงเฉ่วอยู่

 

เพราะพลังหยางอ่อน จะถูกสิ่งชั่วร้ายครอบงําได้ง่าย

 

ตอนนี้เธอจะต้องพักในที่ที่มีพลังหยางแรง แบบนี้ถึงจะ ทําให้พลังหยางในตัวเธอค่อยๆฟื้นกลับมา

 

ไม่อย่างนั้นร่างกายของเธอจะปวยง่าย หรือแม้แต่โดนสิ่ง ชั่วร้ายจ้องเล่นงานอีกครั้ง ต้องพบเจอกับเรื่องที่ไม่จําเป็น

 

ฉิงหมิงเฉ่วก็รับปากทุกข้อ ในเวลาเดียวกันอู่ฮียฮุยก็ให้ฉิง หมิงเฉ่วไปพักกับเธอก่อน แบบนี้ทั้งสองคนจะได้ดูแลซึ่ง กันและกัน

 

หลังจากคุยกันเรียบร้อยแล้ว เราสามคนก็ไม่อยู่ต่อ บอกให้พวกเธอรักษาตัวดีๆ จากนั้นก็บอกลาพวกเธอ

 

ตอนนี้เป็นเวลาดึกมากแล้ว หอพักมหาลัยของหยาง เฉวก็ปิดแล้ว ดังนั้นพวกเราเลยหาพักโรงแรมแถวนี้ชั่วคราว

 

เดิมที่คิดจะพักผ่อนดีสักหน่อย นอนหลับสักตื่นก็ยังดี

 

แต่แผ่นฉนวนกันเสียงของที่นี่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ คู่รักหนุ่ม สาวที่อยู่ห้องข้างๆมีพลังอย่างน่าประหลาด

 

พวกเขาร้องคืออ่ากันทั้งคืน ทําให้ผมไม่ได้นอนดีๆเล ยตลอดทั้งคืน

 

เมื่อตื่นขึ้นมาในเช้าวันรุ่งขึ้น ผมยังรีบเปิดดู โทรศัพท์ก่อนอย่างแรก ดูว่านักพรตจางตอบรับเป็นเพื่อน กับผมหรือยัง แต่สุดท้ายมันก็ไม่มีการเคลื่อนไหวแต่อย่างใด

 

ผมทําอะไรไม่ได้ จึงได้แต่ก้มหน้าก้มตากลับตําบลชิง ฉือก่อน

 

เที่ยงวันนี้หยางเฉ่วต้องไปรวมตัวกับเพื่อนร่วมชั้น ดัง นั้นเธอเลยกลับไปตั้งแต่เช้าแล้ว บอกให้ผมติดต่อเธออีกที หลังจากได้ข่าวจากนักพรตจางนั้นแล้ว

 

ต่อจากนั้น ผมและเหล่าเฟิงก็ยืนรอรถกลับตําบลชิงฉือ

 

เมื่อมาถึงตําบล ก็เป็นเวลาเที่ยงวันแล้ว

 

หลังจากลงรถ ผมและเหล่าเฟิงก็ต่างคนต่างนําคนกระดา ษสีหมึกของตัวเอง แล้วตรงไปหาอาจารย์ตัวเองทันที

 

พอผมกลับมาถึงบ้าน ก็พบว่าอาจารย์กําลังกินข้าวอยู่

 

เมื่ออาจารย์เห็นผมกลับมาแล้ว ก็ส่งเสียงทักทายผมทันที “ กลับมาพอดี มากินข้าวด้วยกันซิ ! ”

 

แต่ผมกลับไม่มีอารมณ์ ผมรีบหยิบคนกระดาษสีหมึกออก มาจากแขนเสื้อ แล้วพูดกับอาจารย์ว่า

 

“ อาจารย์ผมมีของอย่างนึ่ง อาจารย์เคยเห็นไหม…”

 

ตอนแรกอาจารย์ยังไม่ได้สนใจเท่าไหร่ แต่วินาทีที่ เห็นคนกระดาษสีหมึกในมือผม

 

อาจารย์ก็ตกใจอย่างแรง สีหน้าเปลี่ยนเป็นหวาดกลัวขึ้น มาทันที…

 

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset