ศพ – ตอนที่ 274 หมึกแห่งความแค้น

ตอนที่ 274 หมึกแห่งความแค้น

 

หลังจากอาจารย์เห็นกระดาษสีหมึกในมือผม กลับแสดงสีหน้าแบบนั้นออกมาอย่างกระทันหัน ผมจึงตกใจในทันที

 

แต่ไม่รอให้ผมได้พูดออกมาอีกครั้ง อาจารย์ก็คว้ากระดาษสีหมึกในมือผมไป แล้วพูดออกมาอย่างร้อนรน “ ไอ้เด็กเวร ทําไมแกถึงเอาเจ้านี่กลับมาฮะ ของแบบนี้แกแตะต้องได้เหรอฮะ ? ”

 

ขณะพูด อาจารย์ก็หยิบไฟแช็คที่พกติดตัวเอาไว้ออกมา เผากระดาษสีหมึกนั้นต่อหน้าต่อตาผม

 

แต่ขณะที่กระดาษสีหมึกติดไฟ มันกลับดูผิดปกติสุดๆ เพราะไฟที่มอดไหม้นั้นไม่ใช้สีแดง และไม่ใช้สีเขียว แต่เป็นสีหมึก ควันที่ออกมา ก็แสบจมูกมาก กลิ่นเหม็นสุดๆเลยละ

 

เมื่อเห็นหน้าอาจารย์เต็มไปด้วยความหวาดกลัว และเปลวไฟประหลาดนี้ ผมก็งงสุดๆ

 

“ อาจารย์ กระดาษสีหมึกนี่มันคืออะไรเหรอ ? ” ผมถามด้วยความสงสัย

 

อาจารย์มองกระดาษสีหมึกที่กําลังมอดไฟ แล้วพูดกับผมว่า “ เจ้าเด็กนี่ จะให้อาจารย์พูดกับแกยังไงดีนะ

 

เจ้าสิ่งนี้ชั่วร้ายมากนะรู้ไหม !”

 

ผมเกาหัว “ ก็ผมไม่รู้นิ อาจารย์อธิบายให้ผมฟังหน่อยซิ !

 

อาจารย์กลอกตาให้ผม หลังจากนั้นถึงพูดว่า “ กระดาษแผ่นนี้เรียกว่าหมึกแห่งความแค้น เป็นตัวกลางที่รวบรวมความแค้นของสิ่งชั่วร้ายเอาไว้ ถ้าคนเป็นพกเจ้าสิ่งนี้ติดตัวเอาไว้ ผ่านไปไม่นาน ใครคนนั้นก็จะโดนพลังด้านลบของมันทําร้าย เบาหน่อยก็แค่เจ็บไข้ได้ป่วย หนักหน่อยก็จิตใจผิดปกติ

 

หรือแม้แต่เปลี่ยนเป็นคนบ้าก็ว่าได้ !”

 

เมื่อได้ยินอาจารย์พูดถึงขนาดนี้ ผมก็อดทําหน้าสยองขวัญออกมาไม่ได้

 

คิดไม่ถึงว่าเจ้ากระดาษแผ่นเล็กๆนี้ จะมีความร้ายกาจถึงขนาดนี้

 

แต่มันก็แปลกนะ ทําไมพวกผีต้องเอาความแค้นมาใส่ในนี้ด้วยละ พอทําแบบนี้แล้ว จะดีกับพวกเขายังไงละ?

 

เมื่อคิดถึงตรงนี้ ผมก็นําคําถามที่อยู่ในใจ ถามออกไปทีละข้อๆ

 

หลังอาจารย์ฟังจบ ก็เอ่ยปากอธิบายว่า “ เท่าที่อาจารย์รู้นอกจากเจ้าสิ่งนี้จะสามารถสะสมความแค้นได้แล้ว มันยังเก็บพลังหยินได้อีกด้วย คล้ายกับเป็นตัวกลางที่สามารถรวบรวมสิ่งต่างๆได้ ”

 

“ เวลาสิ่งชั่วร้ายพวกนั้นอ่อนแอ ก็จะสามารถดึงพลังแห่งความแค้นที่เก็บรวมรวมไว้ในกระดาษหมึกแผ่นนี้ มาเพิ่มพลังให้ตัวเองได้ก่อน ก็เหมือนเกมที่แกเล่นไง พอบาดเจ็บหนักแล้วก็หาตัวช่วยในกระเป๋าน่ะ !”

 

ไม่พูดไม่ได้ อาจารย์อธิบายได้เห็นภาพจริงๆ ทําเอาผมเข้าใจในทันทีเลย

 

เมื่อคิดถึงคําพูดที่ผีลามกเฉิงต้าจือ และผีพี่เก้าคุยกันเมื่อก่อนหน้านี้

 

ผมก็เริ่มพบว่า เจ้าสิ่งนี้ไม่ใช่สิ่งที่พวกมันใช้เก็บพลังหยินหรอกเหรอ ?

 

นําพลังหยินที่เก็บได้ มาใส่ไว้ในกระดาษแผ่นนี้ หลังจากนั้นก็ค่อยนําไปให้นักพรตจางคนนั้น ทําให้ภารกิจของตนเองเสร็จสมบูรณ์

 

ผมคิดอย่างเงียบๆ และแล้วผมก็คิดว่ามันน่าจะเป็นไปได้อย่างมาก

 

อาจารย์เห็นผมเงียบไป จึงพูดขึ้นมาขัดความคิดของผมทันที “ เสี่ยวฝาน เมื่อคืนแกไปทําอะไรมา ?

 

คงไม่ได้ออกไปไล่ปราบผีอีกแล้วหรอกใช่ไหม ? ”

 

เมื่อได้ยินอาจารย์ถาม ผมก็ได้สติกลับมา

 

เผยรอยยิ้มแสนขมขึ้น “ ใช่ครับ ผมจะเล่าให้ฟัง เมื่อคืนผม เฟิงเฉิวหาน แล้วก็ยังมีหยางเฉวร่วมมือกัน

 

ไปจัดการผีกระจอกตัวหนึ่ง ผลลัพธ์พอไปถึงที่กลับพบว่าเจ้าผีกระจอกนั้นไม่ใช่แค่ผีกระจอกธรรมดา

 

แต่เป็นฝีลามกตัวหนึ่ง………….”

 

ต่อจากนั้น ผมก็เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานให้อาจารย์ฟังตั้งแต่ต้นจนจบ

 

อาจารย์ก็ฟังไปอึ้งไป ตอนได้ยินถึงฉากสุดท้าย ว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับองค์กรตาผี เขาก็อดสูดหายใจเข้าลึกๆไม่ได้พร้อมเผยสีหน้ากังวลใจออกมา

 

เจ้าองค์กรชั่วนี้ไม่ใช่สิ่งที่นักพรตตัวเล็กๆอย่างพวกเราจะต่อกรด้วยได้ มีเพียงสํานักใหญ่ๆเท่านั้น ถึงจะกล้าไปเป็นศัตรูด้วย

 

แต่ถ้าพูดย้อนกลับไป ตอนเจอ พวกเราจะไปรู้ที่ไหนละว่าอีกฝ่ายเป็นคนขององค์กรตาผีหรือเปล่า

 

แต่ถึงจะรู้แล้วก็ตาม จะเห็นคนแล้วไม่ช่วยได้เหรอ ? ปล่อยให้เจ้าผีลามกชั่วนั้น พัวพันกับฉิงหมิงเฉ่วไปตลอดชีวิตงั้นเหรอ ?

 

หลังอาจารย์ฟังเรื่องทั้งหมด ก็สูดหายใจเข้าลึกๆ “ เฮ้อเสี่ยวฝาน ! เจ้าองค์กรชั่วนี้มีอํานาจเยอะจริงๆ

 

ลูกน้องผียังร้ายกาจขนาดนี้ แล้วพวกคนที่อยู่เบื้องหลังก็ต้องเก่งไม่แพ้กันแน่ๆ เราทําลายเรื่องดีๆของพวกมันครั้งแล้วครั้งเล่า วันข้างหน้าเราต้องระมัดระวังให้มากขึ้นแล้ว ! ไม่อย่างงั้นจะโดนเล่นงานได้”

 

ผมพยักหน้า “ อาจารย์วางใจได้ ผมต้องระวังตัวแน่นอน แต่อาจารย์ เจ้าเจิงต้าจือกับผีผู้ชายอีกตัว เป็นแค่ตัวประกอบเท่านั้น คนที่อยู่เบื้องหลัง ยังมีนักพรตจางและอาจารย์อีกหนึ่งคน ! ตัวอาจารย์คนนี้เราไม่ได้เบาะแสอะไรมากมาย ตอนนี้รู้แค่ว่ามีเขาคนนี้เกี่ยวข้องด้วยเท่านั้น แต่เจ้านักพรตจางนี่ ผมกลับมีเงื่อนงําแล้ว หรือจะพูดได้ว่าหาช่องทางติดต่อ ของเจ้าหมอนี่เจอแล้ว”

 

“ คือ ไหนว่ามาซิว่าแกมีเบาะแสอะไร ? ” อาจารย์ก็จริงจังขึ้นมา เขาไม่มีอารมณ์กินข้าวต่อแล้ว

 

ผมก็ไม่รอช้า รีบหยิบมือถืออกมา เปิดวีแชทให้อาจารย์ดู

 

บอกว่าขอแค่อีกฝายตอบกลับมา ผมก็จะใช้ประโยชน์จากฐานะลูกค้าขอซื้อกุมารทอง ติดต่อนัดเจ้านักพรตชั่วนื่ออกมา สุดท้ายก็หว่านแหจับที่เดียว ทําลายล้างคนชั่วให้นซาก

 

อาจารย์พยักหน้าเล็กน้อย คิดว่าวิธีนี้เป็นไปได้

 

แต่เขาก็ยังบอกผมอย่างเคร่งขรึม ถ้าจะไปต่อสู้กับเจ้านักพรตจางคนนี้ ห้ามทํากันตามลําพัง จะต้องเรียกเขากับท่านนักพรตต์ไปด้วย

 

มีเพียงวิธีนี้เท่านั้น ที่จะทําให้พวกเขาสบายใจ

 

สําหรับเรื่องนี้ เป็นธรรมดาที่ผมจะเข้าใจอยู่แล้ว

 

นักพรตจางที่พูดถึง ตําแหน่งที่น้อยที่สุดก็อาจจะเป็นหัวหน้าหน่วยย่อยขององค์กรตาผี

 

ถ้าจะไปสู้กับหัวหน้าน้อยนั่นจริงๆ พวกเราก็ไม่กล้าไปกันตามลําพังเหมือนกัน

 

เนื่องจากสายงานของพวกเรา ใช้ชีวิตอยู่บนคมดาบ ประมาทไปเพียงนิดเดียว ก็อาจตายโดยไม่ได้ตั้ง

 

หรือแม้แต่คนเก็บศพให้ตัวเองก็ยังไงมีเลยด้วยซ้ำ

 

ดังนั้นผมเลยรับปากกับอาจารย์ว่า ถ้ามีข่าวคราวอะไรแล้ว ผมจะรีบมาบอกเขาทันที จะไม่ทําตัวประมาทเด็ดขาด

 

ตกบ่าย ผมนอนหลับอยู่ในห้อง สวนอาจารย์ออกไปคุยกับท่านนักพรตตูที่ร้านยาไปฉ่าวพักหนึ่ง

 

นําเรื่องที่ผมและเหล่าเฟิงเล่าให้ฟัง วิเคราะห์กันอย่างละเอียดอีกรอบหนึ่ง

 

ผู้อาวุโสทั้งสองต่างเห็นพ้องต้องกัน ขอแค่มีโอกาสที่เหมาะสม จะต้องลงมือ

 

เมื่อเรื่องมาถึงจุดนี้ ผมก็เฝ้ามองโทรศัพท์มาสามวันสามคืนแล้ว

 

จนกระทั่งช่วงสายของวันที่สี่ ในที่สุดเขาก็กดรับผมเป็นเพื่อน

 

รอมาตั้งหลายวันขนาดนี้ ในที่สุดก็ได้เป็นเพื่อนกับนักพรตจาง

 

ผมจึงไม่ลังเลแต่อย่างใด รีบส่งข้อความไปหานักพรตจางคนนี้ทันที “ สวัสดีครับท่านนักพรตจาง

 

ผมอยากได้กุมารสักองค์ ”

 

ผมเองก็ไม่พูดอ้อมค้อม เปิดประเด็นทันที

 

ผ่านไปแค่แป๊บเดียว อีกฝ่ายก็ตอบกลับมาว่า “ มีสามประเภท โชคลาภ อายุยืน ปกป้องนายไล่ศัตรู”

 

คําพูดพวกนี้เข้าใจง่ายมาก ก็คือกําลังถามผมว่าอยากได้แบบไหน

 

ผมก็ไม่ลังเล ตอบกลับเป็นประเภทแรกทันที โชคลา

 

ส่งข้อความไปไม่ถึงสิบวินาที อีกฝ่ายก็ตอบกลับมาว่า “ 120,000 หยวน ! ค่ามัดจํา 30,000 หยวน ”

 

ดีนักนะ คิดไม่ถึงว่าแค่กุมารตัวเล็กจะแพงถึงขนาดนี้ แถมยังต้องจ่ายค่ามัดจําเยอะขนาดนั้นด้วย

 

ตัวผมจะมีเงินเยอะขนาดนั้นได้ยังไง ? จึงรีบเอาเรื่องนี้ไปบอกอาจารย์

 

อาจารย์ก็ไม่ลังเลแต่อย่างใด เค้นเสียงดัง ฮีบอกว่าขอแค่ล่อเจ้านักพรตชั่วนี้ออกมาได้ สามหมื่นก็สามหมื่นเถอะ เขาบอกให้ผมตกลงไปก่อน แล้วเดี๋ยวเขาจะโอนให้ผม

 

เมื่ออาจารย์รับปากแล้ว ผมก็ตอบว่า ตกลงทันที ในเวลาเดียวกันก็ขอเวลาและสถานที่นัดพบจากอีกฝ่าย

 

นักพรตจางก็ไม่ได้รีบตอบกลับผมทันที แต่รอให้ผมโอนเงินค่ามัดจําสามหมื่นไปแล้ว อีกฝ่ายถึงตอบกลับผมว่า “ สามวันหลังจากนี้ เวลาเที่ยงคืน ที่โรงงานร้างในเขตชานเมืองทางด้านทิศเหนือของเมืองชิงฉือ

 

มาคนเดียวเท่านั้น”

 

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset