ศพ – ตอนที่ 275 เปลี่ยนแปลง

ตอนที่ 275 เปลี่ยนแปลง

 

หลังโอนค่ามัดจําสามหมื่นหยวนแล้ว พวกเราก็ได้สถานที่นัดพบมาอย่างรวดเร็ว โรงงานร้างในเขตชานเมืองทิศเหนือ ดูเหมือนจะคล้ายกับที่ฉิงหมิงเฉ่วพูดเอาไว้พอสมควร

 

ระยะเวลาสามวันที่อีกฝ่ายพูดถึง ทางเราก็ไม่ได้ขัดข้องใดๆ

 

จึงตอบตกลงทันที แล้วผมถึงได้เก็บโทรศัพท์

 

อาจารย์เห็นผมเก็บโทรศัพท์ จึงสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้ว พูดว่า “ ต้นทุนครั้งนี้สูงจริงๆ หลังจากนี้สามวัน

 

ต้องให้เจ้านักพรมชั่วนี่คืนเงินสามหมื่นมาให้เราให้ได้ !”

 

เมื่อได้ยินอาจารย์พูดถึงขนาดนี้ ผมกลับเผยสีหน้าอึดอัดใจออกมา

 

อาจารย์ไม่สนใจเรื่องอื่น เขาสนใจแค่เงินสามหมื่นนี้เท่านั้น

 

ต่อมา เราก็นําเรื่องนี้ไปบอกกับเหล่าเฟิงและท่านนักพรตตู๋ ในเวลาเดียวกันก็โทรไปทักทายหยางเฉ่วที่อยู่ในเมืองด้วย

 

ผ่านไปไม่นาน ท่านนักพรตตู๋และเหล่าเฟิงก็มาหาเราที่ร้าน เริ่มเรื่องวิธีการรับมือครั้งนี้อย่างละเอียด

 

สามวัน คนเดียว

 

เวลายังค่อนข้างเหลือเฟือ พวกเราสามารถเตรียมอาวุธดีๆได้อีกเยอะ

 

แต่ใครจะเป็นคนไปตามนัดละ ? ใครจะไปเผชิญหน้ากับนักพรตจางเพียงลําพัง กลายเป็นหัวข้อโต้เถียงกันขึ้นมาทันที

 

ตอนแรก ท่านนักพรตตู๋และอาจารย์เถียงกัน ทั้งสองคนล้วนไม่ยอมถอยให้ใครทั้งนั้น

 

ผมครุ่นคิดเงียบๆอยู่ครู่หนึ่ง คิดว่าให้อาจารย์และท่านนักพรตตู๋ไปไม่ได้

 

แม้พวกเขาจะมีพลังเยอะที่สุด สามารถปกป้องตัวเองได้ดีที่สุด

 

แต่ก็เพราะแบบนั้น พวกเราจะโดนเปิดเผยตัวตนได้ง่ายที่สุด

 

พอพวกเขาหันกลับมามองผมกับเหล่าเฟิง ที่มีพลังไม่มากนัก เหมือนคนหนุ่มทั่วไปไม่มีอะไรผิดปรกติ

 

ถ้าผมสองคนไปเจอ จะทําให้เกิดความสับสนมากกว่าเดิม

 

ดังนั้น ผมเลยพูดความคิดของตัวเองออกมา

 

หลังอาจารย์และท่านนักพรตตู๋ฟังจบ ก็คิดว่ามันมีเหตุผลพอสมควร

 

ถ้าอีกฝ่ายมีพลังเยอะละก็ จะรับรู้พลังบนตัวอาจารย์และ ท่านนักพรตตู๋ได้อย่างง่ายดาย

 

เมื่อโดนสัมผัสได้ ตัวตนก็จะถูกเปิดเผย ทําให้แผนต่อจากนั้นต้องพังลงทั้งแถบ

 

ผมและเหล่าเฟิงมีพลังน้อย ยังไม่ถึงขั้นปลดปล่อยพลังได้

 

ด้วยเหตุนี้ หนึ่งในพวกผมจะต้องเป็นคนไป ซึ่งใครคนนั้นจะต้องปกป้องตัวเองได้ดีพอสมควร

 

และสร้างความสับสนได้เก่ง

 

ถ้าให้เลือกระหว่างเหล่าเฟิงกับผม ผมมั่นใจว่าตัวเองเหมาะสมกว่า

 

เหล่าเฟิงเป็นคนเงียบๆ ปกติก็เย็นชากับทุกคน ปากคอเราะร้าย

 

ดังนั้นผมเลยเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด ถึงตอนนั้นผมก็ต้องไปจุดนัดพบที่โรงงานร้าง

 

หลังจากนั้นอาจารย์และคนอื่นๆก็จะค่อยๆตามมา เข้าไปในโรงงานร้างอย่างเงียบๆ ล้อมเขาเอาไว้

 

ถ้าหาโอกาสได้ ก็จะกําจัดเจ้านักพรตจางอะไรนั่นให้สิ้นซาก ไม่ให้เกิดภัยร้ายขึ้นอีกในอนาคต

 

พวกเราคุยเรื่องแผนการกันคร่าวๆ และขั้นตอนต่างๆ ในนั้น

 

หลังจากนั้นก็คุยเรื่องรายละเอียดต่างๆ และเหตุการณ์หรือเรื่องราวต่างๆที่อาจเกิดขึ้นว่าเราควรเตรียมอาวุธอะไรไปบ้าง

 

การลงมือครั้งนี้ เป็นการสู้กับนักพรตชั่ว

 

การรับมือกับนักพรตชั่วไม่เหมือนกับการสู้กับผีร้ายผีดิบผีร้ายผีดิบพวกนี้ล้วนไม่มีปัญญาสู้ไม่ได้ก็ยังหนี้ได้ วันหลังค่อยกลับมาคิดบัญชีใหม่ก็ยังได้

 

แต่กับนักพรตชั่วมันไม่เหมือนกัน ถ้าเกิดข้อผิดพลาด หรือช่องโหว่ในระหว่างนั้น ไม่เพียงแผนจะล่ม

 

อาจถูกฆ่าด้วยซ้ําไป อันตรายที่ต้องเผชิญจึงสูงกว่าภูติผีวิญญาณหลายเท่า

 

ระยะเวลาสามวันก็ไม่ได้นาน เพียงชั่วพริบตาก็มาถึงแล้ว

 

วันนี้ผมกินอาหารเย็นกันตั้งแต่หัวค่ํา หลังจากนั้นก็หอบอาวุธ แล้วไปรวมตัวกับท่านนักพรตตูและคนอื่นๆ จากนั้นก็เดินทางไปทางเหนือของเมืองทันที

 

ก่อนออกเดินทาง ผมโทรศัพท์ไปหาหยางเฉ่วเรียบร้อยแล้

 

เธอจะรอเราอยู่ที่ทางเหนือของเมือง พอถึงเวลารวมตัว เธอจะเล่าเรื่องโรงงานร้างให้พวกเราฟังอีกที

 

เมื่อพวกเราไปถึงถนนทางตอนเหนือของเมืองก็เป็นเวลา 21.30 น. แล้ว

 

ในเวลาเดียวกันก็ได้พบกับหยางเนิ่วในที่ที่นัดกันเอาไว้ หยางเฉ่วทักทายพวกเราสั้นๆ หลังจากนั้นก็พาพวกเราไปที่โรงงานร้างทันที

 

ที่นี่อยู่ในเขตเมืองที่ต้องได้รับการพัฒนา โรงงานจึงถูกย้ายออกไปไกลมาก รอบๆไม่มีบ้านเรือนอยู่

 

ส่วนเรื่องการพัฒนาถูกระงับเอาไว้ชั่วคราว

 

ดังนั้นสถานที่แห่งนี้จึงวังเวงมาก ถนนถูกปิดกั้น ไม่มีรถวิ่งผ่านสักคัน

 

ต่อจากนี้ครึ่งชั่วโมง พวกเราต้องเดินกันลูกเดียว

 

ระหว่างทาง หยางเฉ่วก็อธิบายขนาดและรูปร่างคร่าวๆของโรงงานให้พวกเราฟัง

 

หรือแม้แต่หยิบแผนที่ทําเองขึ้นมา นี่เป็นสิ่งที่หยางเฉ่วสํารวจเองทั้งหมด ภูมิประเทศและขนาด

 

ล้วนไม่มีทางผิดพลาดอย่างแน่นอน

 

หลังทําความเข้าใจภูมิประเทศแล้ว พวกเราก็เข้าใจหลายๆอย่างมากขึ้น

 

ไม่ว่าจะเป็นไล่ตามหรือหนี ก็มีประโยชน์กับพวกเราทั้ง นั้น

 

หลังอาจารย์และคนอื่นๆนําแผนที่มาปรับใช้อย่างรวดเร็ว

 

เมื่อเข้ามาใกล้โรงงานแล้ว อาจารย์และคนอื่นๆก็แยกจากผม พวกเขาออกจากถนนใหญ่ อ้อมไปข้างๆโรงงาน หลังจากนั้นก็ซุ่มอยู่กับที่

 

แบบนี้ก็สามารถพ้นจากสายตาของคนอื่น และปิดบังตัวเองได้สูงสุดด้วย

 

ส่วนผมก็เดินบนทางหลัก ก้าวขาใหญ่ๆเข้าไปในโรงงานร้าง

 

ขอแค่ทางฝั่งผมเกิดอะไรขึ้น เพียงตะโกนหนึ่งครั้ง อาจารย์และคนอื่นๆก็จะเข้ามาจากรอบข้าง พอโดนโจมตีทั้งหน้าหลังแล้ว นักพรตคนนั้นก็ไม่มีทางติดปีกหนีไปได้ง่ายๆแล้ว

 

ขณะคํานวณในใจ ผมก็ระวังรอบข้างไปพร้อมๆกัน

 

แต่สถานที่แห่งนี้วังเวงและทรุดโทรมมาก คืนนี้ยังเป็นคืนที่เมฆบดบังพระจันทร์ ข้างนอกจึงมืดเป็นพิเศษ มองเห็นได้เพียงระยะห้าเมตรเท่านั้น

 

เมื่อผมมาถึงประตูโรงงาน ประตูเหล็กถูกสนิมกินนานแล้ว หน้าประตูยังมีป้ายโทรมๆขนาดใหญ่ติดอยู่โรงงานปุ๋ยต้าฟุ

 

ผมไม่ได้คิดมาก เพียงเดินเข้าไปเท่านั้น

 

หลังจากเดินเข้าไป ก็เป็นทางเดินเส้นหนึ่ง

 

เมื่อเดินมาสุดทางแล้ว ก็จะเจอเข้ากับห้องเล็กๆห้องหนึ่ง

 

แต่ที่นี่เต็มไปด้วยวัชพืชและขยะ และยังมีร่องรอยว่าเคยโดนเผามาก่อน

 

หลังจากกวาดสายตามองรอบๆ ผมก็ไม่พบสิ่งผิดปกติอะไร จึงเดินไปข้างห้องเล็กๆนั้น เพื่อหาที่นั่งรอแถวๆนี้

 

เวลามีคนเข้ามา ผมจะได้รู้ตั้งแต่วินาทีแรก และตัวอีกฝ่ายเองก็จะได้รู้ตัวตั้งแต่ตอนแรกเช่นกัน

 

เพียงแค่อากาศเริ่มหนาวขึ้น ดึกดื่นค่อนคืนขนาดนี้ นั่งรออยู่ข้างนอกก็ค่อนข้างหนาวจริงๆนั่นแหละ

 

ผมจามสองสามครั้ง กอดเสื้อแน่น และก็จุดบุหรี่ขึ้นมา

 

แม้ผมจะไม่เห็นร่องรอยของพวกอาจารย์ แต่ผมเชื่อว่าตอนนี้พวกเขาน่าจะซ่อนตัวอยู่มุมใดมุมหนึ่ง

 

คอยมองดูผมจากความมืดมิด ขอแค่ผมร้องออกมา พวกเขาต้องออกมาทันทีอย่างแน่นอน

 

ผมนับเวลาถอยหลัง ทนต่อความหนาวเย็นเอาไว้ รอแล้วรอเล่า ในที่สุดตัวเองก็รอจนถึงเที่ยงคืน

 

แต่นักพรตจางที่ผมรออยู่ กลับไม่ออกมาปรากฏตัวสักที

 

ผมจึงเริ่มร้อนใจ เจ้าหมอนี่คงไม่ได้ลืมแล้วหรอกมั้ง ?

 

ผมลุกขึ้น มองออกไปที่ทางเดินพักหนึ่ง แต่สุดท้ายก็ไม่เห็นใครเข้ามา เงาคนแม้แต่ครึ่งก็ไม่มี

 

ผมเลยถอนหายใจ ดูจากสภาพแล้วเจ้าหมอนี่ต้องมาสายแน่ๆ

 

เมื่อคิดถึงตรงนี้ ผมก็กําลังจะกลับไปนั่งรอที่เดิม

 

แต่ในช่วงที่ผมหมุนตัว กลับพบว่าห่างออกไปห้าเมตร มีร่างของใครบางคนปรากฏขึ้นบนอากาศแล้ว

 

ร่างนั้นสวมใส่เสื้อคลุมสีดําตัวใหญ่ คล้ายเสื้อกันฝน มองเห็นหน้าตารูปร่างไม่ชัด ตอนนี้เขากําลังจ้องผมอยู่ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา

 

คนคนนั้นปรากฏตัวขึ้นอย่างกระทันหัน ผมยังไม่ได้เตรียมใจ จึงตกใจในทันที

 

แต่หลังจากทําใจให้สงบลงแล้ว เจ้าหมอนี่ก็น่าจะเป็นคนที่ติดต่อกับผม นักพรตจางคนนั้น

 

ผมเลยสูดหายใจเข้าลึกๆ คิดจะใช้เรื่องที่เตรียมเอาไว้ก่อนหน้านี้ทักทายเขา

 

แต่ไม่รอให้ผมได้พูดออกมา จู่ๆในชุดคลุมดํานั้น ก็หัวเราะ “ ฮ่าๆ” อย่างน่าขนลุกขึ้นมา

 

เสียงนั้นค่อนข้างทุ่มต่ําและแหบแห้ง ฟังแล้วรู้สึกไม่สบายอย่างมาก

 

ผมขมวดคิ้ว ค่อนข้างสงสัย มันขําอะไรวะ ?

 

แต่ทันใดนั้นเอง ผมก็ได้ยินเสียงที่คุ้นหูอยู่หน่อยๆ และ มันยังเป็นเสียงผู้ชายที่แหบเล็กน้อย ดังเข้ามาในหูของผม “ ทําให้คนประหลาดใจได้จริงๆ คิดไม่ถึงว่าลูกค้าของฉันจะเป็นแก ติงฝาน……….”

 

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset