ศพ – ตอนที่ 276 เพื่อนเลว

 

ศพ ตอนที่ 276 เพื่อนเลว

 

ผมรอภายใต้ลมหนาวมานานขนาดนี้ ในที่สุดนักพรตชั่วคนนี้ก็ออกมาปรากฏตัวสักที

 

แต่สิ่งที่ทําให้ผมคิดไม่ถึงเลยก็คือ เพิ่งเจอหน้ากัน อีกฝ่ายก็สร้าง “เซอร์ไพรส์” สุดอลังการให้ผมแล้ว

 

เพราะเจ้าหมอนี่ รู้จักชื่อของผม

 

ต้องรู้ว่า เราคุยกันในแชท แค่ไม่กี่ประโยคเท่านั้น และ ชื่อในวีแชทยังเป็นชื่อที่สร้างขึ้นมาอีกด้วย

 

อีกฝ่ายไม่เคยถามหาชื่อของผม แล้วเขาจะมารู้ชื่อผมได้ยังไง ?

 

แต่นอกจากเรื่องนี้แล้ว ผมยังรู้สึกว่า เหมือนเคยได้ยินเสียงเขามาจากที่ไหนมาก่อน มันให้ความรู้สึกคุ้นเคยกับผม

 

แต่ผมคิดไม่ออกในทันที ได้แต่ทําหน้าสงสัยและตกตะลึง เท่านั้น

 

คนในชุดคลุมดําเห็นผมยืนอึ้งอยู่กับที่ เลยหัวเราะ “ ฮ่าฮ่าฮ่า ” อย่างเจ้าเล่ห์ขึ้นมาอีกครั้ง หลังจากนั้นก็พูดว่า “หัวโล้นๆของแกนี่ซื้อจริงๆ ตอนแรกฉันยังจําไม่ได้ ! แต่คิด ไม่ถึงว่าจะเป็นแกจริงๆ !”

 

เมื่อได้ยินอีกฝ่ายพูดแบบนั้น ฝ่ามือของผมก็เต็มไปด้วยเหงื่อ

 

แต่เสียงที่แหบและทุ่มของอีกฝ่าย ทําให้ผมไม่รู้จริงๆว่าเสียงนี้เป็นของใครกันแน่

 

แต่เมื่อมาถึงจุดนี้แล้ว ก็ได้แต่คอยดูต่อไปเรื่อยๆเท่านั้น

 

ผมสูดหายใจเข้าลึก ไม่พูดไร้สาระต่อ พูดกับคนในชุดคลุมดําตรงๆ “ แกก็คือนักพรตจาง ทําไมถึงรู้ชื่อฉันได้ฮะ ?”

 

“ ฮ่าฮ่าฮ่า ฉันเป็นนักพรตจางแน่นอน ฉันไม่ได้รู้แค่ชื่อของแกหรอกนะ แต่ฉันยังรู้ว่าแกเป็นคนปราบสิ่งชั่วร้ายอีกด้วย ! ” คนในชุดคลุมดําพูดออกมาอีกครั้ง

 

เมื่อถูกเปิดเผยตัวตนอย่างกระทันหัน ผมก็อดเครียดขึ้นมาไม่ได้

 

ถ้าอีกฝ่ายรู้เรื่องทุกอย่างนานแล้ว งั้นแผนในคืนนี้ของพวกเราไม่ต้องเสียเปล่าแล้วเหรอ ? แถมยังอาจเข้ามาตกหลุมพลางของอีกฝ่ายอีกด้วย

 

ในใจมีความสับสนเกิดขึ้นเล็กน้อย ค่อนข้างกังวลว่าแผนของพวกเราจะถูกเปิดเผยแล้ว

 

แผนการไม่อาจเปลี่ยนได้อย่างกระทันหัน ก่อนหน้านี้ผมไม่เคยคิดถึงฉากแบบนี้มาก่อน

 

แผนเดิมคือ ผมจะใช้วิธีแกล้งซื้อ แล้วเข้าไปใกล้นักพรตชั่ว หลังจากนั้นค่อยลงมือกับเขาทําให้เขารับมือการโจมตีของผมไม่ทัน

 

หลังจากนั้นค่อยเรียกให้อาจารย์และคนอื่นๆออกมาลงมือ ล้อมรอบเจ้าหมอนี่เอาไว้ทั้งสี่ทิศ

 

แต่ตอนนี้ ดูเหมือนจะใช้แผนนี้ไม่ได้แล้ว

 

ผมทําหน้านิ่ง “แกรู้เรื่องพวกนี้ได้ยังไง ? ”

 

เมื่อคนในชุดคลุมดําได้ยินคําพูดเหล่านี้ ก็ค่อยๆยกมือขึ้น ถอดหมวกบนเสื้อคลุมลง ในขณะเดียวกันก็พูดว่า “เพื่อนเก่า ยังจําฉันได้ไหม ? ”

 

หลังจากพูดจบ คนในชุดคลุมดําก็ถอดหมวกลง เผยให้เห็นใบหน้าภายใต้ชุดคลุม

 

เวลาก็เหมาะสมพอดี เมฆบนฟ้าเริ่มเปิดแล้ว การมองเห็นก็ชัดเจนมากขึ้น

 

ในระยะห่างห้าเมตร แม้จะยังไม่เห็นอะไรได้ชัดเจนมาก แต่รูปลักษณ์ส่วนใหญ่ของคนคนหนึ่ง ผมยังเห็นได้อย่างชัดเจน

 

ตอนผมเห็นใบหน้านั้น ผมก็ตะลึงในทันที

 

ทําไมหน้าตาของคนคนนี้ถึงได้ดูเหมือนจางจีเทาขนาดนี้ละ ?

 

ไม่ ไม่ใช่แค่เหมือน เจ้าหมอนี่เรียกผมว่าเพื่อนเก่า ใช่ เขาก็คือจางจึเทา

 

นั่นก็คือตอนไปงานเลี้ยงรุ่นที่โรงแรมไดนาสตี้ เพราะป่วยระยะสุดท้าย เขาเลยไปเข้าร่วมกับองค์กรตาผี

 

ฝึกวิชามาก ต้องดื่มเลือดของคน 15 คน สุดท้ายวันนั้น เจ้าหมอนี่ก็กินหัวใจของเพื่อนร่วมรุ่นเข้าไป

 

คิดไม่ถึงจริงๆ ไม่ได้เจอกันหลายเดือน เจ้าหมอนี่จะเปลี่ยนไปทํากิจการค้ากุมาร และได้มาพบกันอีกครั้งในสถานที่แบบนี้ด้วย

 

ผมตกใจ อารมณ์เดือดพล่าน ในสุดก็บ่นพึมพําออกมาว่า “จางจึเทา….”

 

“ ฮ่าฮ่าฮ่า ใช่แล้ว ฉันเอง เราไม่ได้เจอกันตั้งแต่ที่โรงแรมนั้นซินะ ช่วงนี้เป็นยังไงบ้าง ? อ่อใช่ ตัวแกไม่ใช่คนปราบสิ่งชั่วร้ายเหรอ ? ทําไมถึงอยากบูชากุมารละ ? ในเมื่อ เป็นแบบนี้ งั้นฉันจะลดราคาให้เป็นพิเศษ

 

นายไม่ต้องจ่าย 120,000 แล้ว แค่ 80,000 เป็นไง ? ” จางจีเทายิ้มร่า ใช้น้ําเสียงหยอกล้อคุยกับผม

 

แต่เมื่อนําเสียงนี้มาเทียบกับเสียงเมื่อก่อน มันค่อนข้างแตกต่างนิดหน่อย เสียงที่แหบและทุ่มต่ำ ทําให้ผมไม่สามารถบอกความแตกต่างได้ในทันที

 

“ ฮึ! ใครอยากได้กุมารจากแกละ วันนี้ฉันมาเพื่อ กําจัดนักพรตชั่วอย่างแก ” ผมพูดอย่างเย็นชา

 

“ ฮึฮึฮึ ! ติงฝาน นี่ฉันไม่ได้ยินผิดไปใช่ไหม ? พลังระดับแก ยังคิดจะกําจัดฉันเหรอ ? ตอนนี้ตัวฉัน

 

“ไม่เหมือนกับเมื่อหลายเดือนก่อนแล้วนะ” จางจีเทาพูดอย่างเหยียดหยาม

 

“ ฮึ! ไม่ลองแล้วจะรู้ได้ยังไง ?”

 

หลังจากพูดจบ ผมก็หยิบดาบไม้ออกมาทันที

 

จางจึเทาเห็นผมเอาดาบไม้ออกมา กลับโบกมือให้แล้วพูดว่า “ ไม่ไม่ไม่ ติงฝาน ฉันไม่อยากสู้กับแก

 

และไม่อยากฆ่าแกด้วย ! ไม่อย่างงั้นฉันคงไปหาแกถึงบ้านนานแล้ว !”

 

“ หมายความว่ายังไง ? ”

 

“ ฉันก็แค่คิดถึงความหลัง ครั้งก่อนที่โรงแรม ฉันไม่ได้ตั้งใจจะฆ่าจูกุยนะ เพราะถุงเลือดที่พกติดตัวหายไป มันก็เลยต้องออกมาเป็นแบบนั้น แต่ยังไงเจ้าจูกุ้ยก็หยิ่งยโสชอบวางอํานาจอยู่แล้ว ตายไปแล้วก็ตายไปเถอะ”

 

“ ในเมื่อพวกเราเข้ามาอยู่ในสายงานนี้แล้ว เอาแบบนี้ดีไหม พวกเรามาร่วมมือกัน ขอแค่นายมาติดตามฉัน เราจะกินดีอยู่ดีไปด้วยกัน คอยประคับประคองกันไปเรื่อยๆ จะต้ องไม่มีปัญหาอะไรเกิดขึ้นอย่างแน่นอน และสิ่งที่สําคัญก็คือ เราไม่ต้องไปเกิดใหม่ ไม่มีวันตาย แกลองคิดให้ดีเป็นอมตะ ไม่มีวันตาย นี้เป็นเรื่องที่วิเศษมากเลยนะ แกคิดว่ายังไงละ ?”

 

ตอนนี้จางจีเทาทําหน้าดีใจ พูดจาอย่างสุภาพ

 

แต่ผมกลับยิ้มอย่างเย็นชา “ เป็นอมตะ ? ไม่ตาย ? เป็นเหมือนแกน่ะเหรอ ? ใช้องค์กรตาผีเป็นที่หลบภัย ควบคุมผีให้เก็บหยินเพิ่มหยาง หลังจากนั้นก็เปลี่ยนตัวเองให้เป็นคนที่ไม่ใช่สัตว์ก็ไม่เชิง แถมยังต้องดื่มเลือดคนสิบห้าคนในทุกๆเดือนน่ะเหรอ ?”

 

เมื่อจางจีเทาได้ยินผมพูดแบบนี้ ก็เข้าใจทันทีว่าผมเลือกอะไร

 

ในเวลาเดียวก็ย้อนกลับมาถามผมว่า “แกรู้เรื่องเก็บหยิน เพิ่มหยางได้ยังไง ? ”

 

“ ทําไมจะไม่รู้ละ ก็ฉันเป็นคนฆ่าผีชั่วสองตัวที่ทําเรื่องแบบนี้เองกับมือ ! ” ผมพูดเบาๆ ในเวลาเดียวกันก็ลูบดาบไม้ในมือไปพลาง

 

เมื่อจางจีเทาได้ยินแบบนั้น ใบหน้าที่เคยแย้มยิ้มเมื่อกี้ ก็เปลี่ยนไปทันที เขาเผยใบหน้าที่โกรธจัดออกมา “เมื่อหนึ่ง อาทิตย์ก่อน แกเป็นคนฆ่าผีเก็บพลังหยินสองตัวของฉันที่เมืองภาพยนตร์สั้นเหรอ ? ”

 

“ ใช่ ฉันทําเอง ! ไม่อย่างงั้นจะตามหาแกเจอได้ยังไง ! ถึงเราสองคนจะเคยเป็นเพื่อนร่วมห้องกันมาก่อน

 

แต่แกกลับเลือกเดินทางผิด ถ้าแกสํานึกผิดบ้าง ฉันคงคิดหาวิธีช่วยแกได้อยู่บ้าง..”

 

ผมยังพูดไม่จบ จางจีเทาก็พูดแทรกขึ้นมาทันที “แล้วถ้าฉันไม่ละ ? ”

 

“ซึ่งั้นก็อย่ามาโทษที่ฉันทวงความยุติธรรมแทนฟ้า กําจัดนักพรตชั่วอย่างแกก็แล้วกัน !” ผมพูดอย่างเย็นชา ชี้ดาบไม้ไปทางจางจีเทา

 

จางจึเทาเห็นผมชี้ดาบไม้ไปทางเขา เขาเลยโมโหสุดๆ “ ฟ้าอะไร ? ยุติธรรมอะไร ? วันนี้ฉันจะบอกแกให้เอาบุญนะ ฟ้าไม่เห็นใจฉัน งั้นฉันก็จะเป็นฟ้า ความยุติธรรมรังแกฉัน งั้นฉันก็จะเป็นความยุติธรรมซะเอง !

 

ในเมื่อเป็นแบบนี้ งั้นคืนนี้ฉันจะกินแกซะ ”

 

หลังจากพูดจบ นักพรตจางก็ทําหน้าตายด้าน จู่ๆก็ส่ายคอไปมาสองสามครั้ง

 

ระหว่างนั้น ตาของจางจีเทาก็เต็มไปด้วยเลือด เปลี่ยนเป็นสีแดงสด

 

ในปากมีเขี้ยวยาวสองซี่โผล่ออกมา เล็บบนมือ ก็กลายเป็นเหมือนกรงเล็บสัตว์

 

บนผิว ก็มีขนสัตว์สีดําเข้มขึ้นมาปกคลุมอย่างรวดเร็ว

 

ไม่ใช่แค่นี้ มือทั้งสองข้างยังเปลี่ยนเป็นเหมือนอุ้งเท้าสัตว์

 

สัตว์ประหลาด เพื่อยับยั้งอาการปวย มีสุขภาพร่างกายแข็งแรง จางจึเทาถึงกับยอมฝึกวิชามารบางอย่างขององค์กรตาผี

 

เมื่อเห็นสภาพคนก็ไม่ใช่สัตว์ก็ไม่เชิงของจางจึเทา ผมก็ไม่ได้ขยับมั่วซั่ว เพียงพูดอย่างเยือกเย็นว่า

 

“ จางจึเทา ฉันจะให้โอกาสแกอีกครั้ง กลับใจซะ อย่าหลงเดินทางผิดอีกเลย ”

 

“ ผิด ? ฉันไม่เคยเลือกผิดมาก่อน !”

 

หลังจากพูดจบ จางจีเทาก็คํารามดัง “โฮก” ยกอุ้งเท้าทั้งสองข้างขึ้นแล้วพุ่งเข้ามาหาผมทันที

 

การเคลื่อนไหวของเขาเร็วมาก ในระยะห่างห้าเมตร เขาพุ่งลอยตัวเข้ามาตรงๆ

 

เมื่อเห็นจางจีเทาเข้ามาใกล้ ผมก็จับดาบไม้แน่น กวาดดาบเข้าไปฟาดฟันทันที

 

“ ปัง” ทันใดนั้นผมก็ต้องผงะถอยหลัง พลังมหาศาล ทําให้ผมรับมือไม่ไหวเท่าไหร่

 

จางจึเทาเห็นผมถอยร่นไป ใบหน้าที่เต็มไปด้วยขนจึงเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมาเล็กน้อย “ ติงฝาน แกไม่ใช่คู่ต่อสู้ของฉัน คืนนี้แกตายแน่ ! ”

 

แต่ผมกลับหัวเราะ “ ฮ่าๆ ” แล้วพูดอย่างสบายๆ “ งั้นเหรอ ! งั้นแกลองมองดูรอบๆดีๆซิ…”

 

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset