ศพ – ตอนที่ 278 วิชามาร

ตอนที่ 278 วิชามาร

 

เรื่องมาถึงจุดนี้แล้ว ก็ไม่มีอะไรต้องพูดดีๆกันแล้ว

 

เมื่อเห็นผีชุดขาวตนนึ่งพุ่งเข้ามา ผมก็แทงออกไปทันที

 

ผีชุดขาวตนนั้นหลบไม่ทัน ได้ยินเพียงเสียง “ อ้า” เขาโดนแทงเข้าไปตรงๆ วิญญาณเกือบแตกสลาย

 

แต่ผีตนนี้เพิ่งล้มลง ก็มีผีชุดขาวอีกตัวพุ่งเข้ามาอย่างไม่คิดชีวิต

 

พวกเขาเบียดกันเข้ามาเรื่อยๆ ไม่มีท่าที่กลัวตายเลยสักนิด

 

เป็นตายอยู่ตรงหน้า พวกเราเองก็ต้องพยายามต้านสุดความสามารถ

 

จัดการไปได้ตัวหนึ่งก็มาอีกตัวหนึ่ง แต่ผีที่อยู่วงนอกไม่ได้มีทีท่าว่าจะถอยเลยสักนิด สร้างแรงกดดันให้พวกเราอย่างมหาศาล

 

แถมผีที่อยู่รอบๆก็เริ่มเข้ามารวมตัวกันมากขึ้นเรื่อยๆ จํานวนมากกว่าสิบห้าตัวแล้ว และยังมีผีบางตัวที่ลอยเข้ามาที่นี่ เพื่อเข้าร่วมการต่อสู้ครั้งนี้

 

ผีสิบห้าตัว นี่ไม่ใช่จํานวนน้อยๆ

 

พวกเรามีกันอยู่แค่ห้าคน ถ้าเฉลี่ยแล้วคนหนึ่งก็ต้องรับมือกับผีสามตัว

 

แถมตอนนี้ยังมีเจ้านักพรตชั่วจางจึเทาที่กลายเป็นสัตว์ประหลาดอีกตัว สำหรับพวกเราทุกคน เรื่องนี้สร้างแรงกดดันอย่างมหาศาล

 

โชคดีที่ผีพวกนี้เป็นแค่ผีเร่ร่อนธรรมดา ไม่ใช่วิญญาณร้ายอะไร

 

ไม่อย่างงั้นอย่าว่าแต่ให้สู้เลย แม้แต่โอกาสหนีพวกเราก็อาจจะไม่มีด้วยซ้ํา

 

ถ้าไม่เชิญเซียนมาสถิตร่าง ก็ต้องขอให้น้องศพมาช่วยแน่ๆ

 

พวกเราสามคนอยู่ฝ่ายตั้งรับ แม้ผีพวกนี้จะได้เปรียบเรื่องจํานวน

 

แต่ฝีมือไม่ได้เก่งกล้ามากนัก รู้แค่ตัวเองต้องพุ่งไปข้างหน้าเท่านั้น

 

ดุร้ายก็ถือว่าดุร้ายอยู่ แต่ขอแค่ป้องกันให้ดี จะจัดการช้าหน่อยก็ไม่ใช่ปัญหา

 

การต่อสู้ยังคงดําเนินต่อไป เราต่อสู้กันนอกวงอย่างหนัก

 

อาจารย์และท่านนักพรตตู๋ ก็ไม่หยุดเข้าไปปะทะกับจางจึเทา

 

ตอนนี้จางจึเทา ไม่ต่างอะไรจากสัตว์ตัวหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นรูปลักษณ์ภายนอกหรือการกระทํา ก็เหมือนสัตว์ร้ายกระหายเลือดตัวหนึ่ง

 

ท่านนักพรตตู๋และอาจารย์หนึ่งซ้ายหนึ่งขวา โจมตีจางจึเทาอย่างต่อเนื่อง

 

กรงเล็บอันแหลมคมของจางจึเทากวัดแกว่งไปมา ใช้พลังประหลาดของตัวเอง ทําให้พวกอาจารย์รับมือได้ลําบากเช่นกัน

 

สถานการณ์การแบบนี้ดําเนินไปได้ประมาณ 10 นาที สนามรบก็พัฒนาไปสู่ขั้นเลือดเดือด

 

พวกเราสามคนที่ยืนคุ้มกันอยู่นอกวง ก็เริ่มเลือดตกยางออก ถูกกรงเล็บของผีพวกนี้ข่วนเป็นแผล แต่ก็ไม่ได้อาการหนักอะไร

 

เพราะอีกฝ่ายมีจํานวนเยอะเกินไป สองมือยากจะเอาชนะสี่มือของอีกฝ่ายได้ นี่ก็เป็นเรื่องที่ใครๆก็ทําอะไรไม่ได้

 

ส่วนอาจารย์และท่านนักพรตตู๋ ก็พยายามปราบจางจึเทา

 

ในเวลานี้จางจึเทาถูกบังคับให้เข้าสู่ทางตัน ทั้งสามด้านเป็นกําแพงโรงงานสูงหลายสิบเมตร ไม่มีทางให้ถอยหนีอีกต่อไป

 

อาจารย์และท่านนักพรตตู๋ยังโจมตีอย่างต่อเนื่อง อยากจัดการอีกฝ่ายให้ได้

 

จางจึเทาก็ไม่อยากโดนจับ ทันใดนั้นเองมันก็คําราม 4 โฮก” ออกมาหนึ่งครั้ง เสียงดังกึกก้อง กรงเล็บกวาดแกว่งอย่างดุร้าย

 

ใช้ความดุร้าย และออร่าสีเหลืองจางนั้น ทําให้อาจารย์และท่านนักพรตตู๋ต้องถอยร่นออกมาอีกครั้ง

 

ตอนนี้สีหน้าของจางจึเทาน่าเกลียดมาก มุมปากยังมีคราบเลือด แต่เขากลับจองพวกเราอย่างดุร้าย

 

“ อย่าคิดว่าเป็นแบบนี้แล้วก็จะฆ่าฉันได้ ที่ฉันสามารถอยู่มาจนถึงทุกวันนี้ ล้วนเป็นสิ่งที่ฉันใช้เท้าตัวเองเดินทีละก้าวๆ…”

 

เมื่อพูดถึงประโยคสุดท้าย จางจึเทาก็แทบจะตะคอกออกมา

 

และเสียงเมื่อกี้เพิ่งเงียบลง จางจึเทาก็ประสานมือเสกคาถาท่าทางแปลกๆ

 

วินาทีที่เสกคาถาเสร็จแล้ว จางจึเทาก็ตะโกนออกมาว่า “ ขอเชิญเทพลุ่ยลิ้ง เพี้ยง! ”

 

พวกเราไม่รู้ว่าเจ้าจางจึเทาเสกคาถาอะไร แต่เมื่อคําพูด พวกนี้เงียบลง จางจึเทาก็ตัวสั่นอย่างแรง

 

ในปากกระอักเลือดออกมาอีกครั้ง

 

แต่เขากลับไม่สนใจเลยสักนิด ยังไม่เอามือลง ท่องอะไรสักอย่าง แถมยังตัวสั่นไม่หยุด

 

ในเวลาเดียวกัน บนหัวของเขา ก็มีควันสีดําพวยพุ่งออกมา สภาพดูผิดปกติสุดๆ

 

หลังจากจางจึเทาทําแบบนี้แล้ว ผีชุดขาวที่พุ่งเข้ามาโจมตี พวกเราก็เหมือนโดนกระตุ้น กรีดร้องลากยาว ท่าทางทรมานผิดปกติ สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ทันที

 

“ อ้า ! อร้าย…”

 

เสียงดังก้องไปทั่วโรงงานปุ๋ย

 

ต่อจากนั้น ฉากแปลกประหลาดยิ่งกว่าเดิมก็เกิดขึ้น

 

เริ่มจากการเปลี่ยนแปลงอันน่าขนลุกขึ้นกับผีชุดขาวพวก

 

ลวดลายลูกตาบนหน้าผากของพวกเขาเริ่ม “ เต็มไปด้วยเลือด ”

 

ดูเหมือนเส้นเลือดฝอยทั้งหมดไปกระจุกตัวอยู่ตรงนั้น ลวดลายที่เคยเป็นสีดํา ตอนนี้ได้เปลี่ยนเป็นสีแดงแล้ว และค่อยๆนูนขึ้นเล็กน้อย ดูแปลกตาสุดๆเลยละ

 

เห็นได้ชัดว่าผีพวกนั้นกําลังทรมานมาก แต่ละตัวใช้มือจับหัวตัวเอง ร้อง “ อร้าย/อ้า ” ออกมาไม่หยุด บางตัวถึงกับลงไปนอนกลิ้งกับพื้นก็มี

 

แม้ผมจะไม่รู้ว่าจางจึเทาใช้วิชาอะไร แต่มองจากพลังของผีพวกนั้นผมก็ตัดสินได้ว่า จางจึเทาทําให้ผีพวกนี้แข็งแกร่งอย่างไม่คิดถึงชีวิตตัวเอง

 

ถ้าให้เขาทําสําเร็จละก็ พลังในการต่อสู้ของผีพวกนี้ต้องเพิ่มเป็นเท่าตัวแน่ๆ

 

เมื่อคิดถึงตรงนี้ ผมก็ตอบสนองอย่างรวดเร็ว

 

เห็นทุกคนยังตกตะลึงกับฉากตรงหน้าอยู่ ผมก็รีบหมุนตัว ตะโกนบอกอาจารย์และท่านนักพรตว่า

 

“ อาจารย์ ท่านลุงตู๋ รีบจัดการเขาเร็ว! ”

 

หลังจากพูดจบ ผมก็ยกดาบไม้ขึ้น เข้าไปแทงผีที่กําลังมีอาการผิดปกติ เตรียมจัดการพวกเขา

 

ก่อนที่จะเปลี่ยนแปลงโดยสมบูรณ์ ลบปัญหาที่จะตามมาในอนาคต

 

ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก ผ่านไปเพียงแค่แป๊บเดียวเท่านั้น

 

จู่ๆอาจารย์และท่านนักพรตตู๋ก็ได้ยินผมพูดแบบนั้น จึงตอบสนองอย่างรวดเร็ว

 

เหล่าเฟิงและหยางเฉ่วก็ได้สติกลับคืนมา ในเวลาเดียวกับผมแต่ละคนต่างแยกย้ายลงมือกับผีวงนอก

 

อาจารย์และท่านนักพรตเห็นจางจึเทาที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลกําลังประสานมืออยู่ จึงอดสูดหายใจเข้าไม่ได้ ถึงกับสามารถควบคุมผีได้ พวกเขาจึงอดใจสั่นกับวิชานี้ไม่ได้

 

วิชามารนี้แปลกประหลาดมาก แม้ไม่รู้ว่าทําสําเร็จแล้วจะเป็นยังไง แต่ยังไงมันก็ไม่ใช่เรื่องดีอย่างแน่นอน

 

พวกเขาต้องกําจัดเจ้าจางจึเทาก่อน

 

ดังนั้นอาจารย์และท่านนักพรตตู๋จึงหันมาสบตากัน เมื่อเห็นหมอกสีเหลืองลดลงแล้ว พวกเขาก็ไม่ลังเล

 

จับดาบไม้ พุ่งเข้าไปหาจางจึเทาอีกรอบ

 

จางจึเทาเห็นอาจารย์และท่านนักพรตตู๋พุ่งเข้ามาอีกครั้ง มุมปากยกยิ้มอย่างเย็นชา “ ยังอยากจะฆ่าฉัน?

 

สายไปแล้ว !”

 

หลังจากพูดจบ จางจึเทาก็เปลี่ยนท่าประสานมือ แล้วตะโกนออกมาอีกครั้ง “ เปิด ! ”

 

เมื่อคําว่า “ เปิด ” ดังขึ้น หน้าผากของพวกผีตรงหน้า ก็มีดวงตาเปิดขึ้น

 

ดวงตาดวงที่สามปรากฏขึ้นแล้ว แต่ดวงตานี้จริงครึ่งไม่จริงครึ่ง มองดูแล้วค่อนข้างแปลกประหลาดและพิสดาร

 

แต่ดวงตาสีแดงดวงนั้น ให้ความรู้สึกกดดันและน่าหวั่นเกรงกับผู้คน

 

ก่อนที่ผีพวกนี้จะลืมตา พวกเราสามคนได้ฆ่าผีติดกันไปสี่ตนแล้ว

 

ในขณะที่กําลังจะลงมือต่อ กลับพบว่าผีที่เหลือลืมตาหมดแล้ว

 

และพวกผีที่ลืมตาแล้ว ล้วนคําราม “ โฮก ” ออกมาทุกตัว หลังจากนั้นก็พุ่งใส่พวกเราทันที

 

ครั้งนี้ พวกมันเคลื่อนไหวเร็วมาก และยังว่องไวยิ่งกว่าเดิม

 

พลังหยินที่ปล่อยออกมา ก็มีเยอะกว่าเดิม พละกําลังก็เพิ่มเป็นเท่าตัว

 

ผมใจสั่น รีบหลบทันที

 

แต่สิ่งที่แปลกก็คือ ครั้งนี้ผีพวกนี้ไม่ได้คิดจะสู้กับพวกเรา

 

เมื่อเห็นพวกเราหลบแล้ว พวกมันก็พุ่งเข้าไปหาอาจารย์ และท่านนักพรตตู๋ที่กําลังต่อสู้อยู่ข้างหลังพวกเราทันที

 

ผมร้อนรนขึ้นมาทันที รีบพลิกดาบเข้าไปขวางเอาไว้

 

แต่มันสายไปแล้ว ครั้งนี้ความเร็วของพวกมันเร็วเกินไป

 

พวกเราขวางเอาไว้ได้หนึ่งตัว สองตัว แต่ผีหลังจากนั้นยังพุ่งเข้าไปอย่างไม่คิดชีวิต แม้ตัวเองจะบาดเจ็บแล้ว ก็ยังทําลายการป้องกันของพวกเราให้ได้ เพื่อเข้าไปโจมตีพวกอาจารย์

 

แต่แล้วในชั่วพริบตา ผีห้าตัวก็ทําลายวงล้อมจากสามทิศของพวกเรา แล้วแยกย้ายกันไปโจมตีใส่อาจารย์และท่านนักพรตตู๋ทันที

 

อาจารย์ ท่านนักพรตตู๋ก็สัมผัสได้ถึงบางอย่าง เห็นผีพวกนั้นปรากฏตัวในวงต่อสู้

 

พวกเขาจึงต้องปล่อยมือจากจางจึเทา ก่อนหมุนตัวกลับไปต่อสู้กับผีสามตาพวกนี้

 

แต่มันก็เพราะแบบนี้ จางจึเทาถึงได้ใช้ช่องโหว่นี้ ใช้กรงเล็บที่แหลมคมของตัวเอง ปีนกําแพงที่อยู่ข้างหลัง

 

กรงเล็บของเขาคมมาก บวกกับผีสามตาพวกนี้ช่วยถ่วงเวลาให้เขา

 

ภายใต้ทางเส้นทางที่ปลอดโปร่ง หลังจากนั้นไม่นานนัก จางจึเทาก็ขึ้นไปอยู่บนกําแพงสูงกว่าสิบเมตรได้แล้ว

 

ในเวลานี้เขากําลังยืนอยู่บนกําแพงของพวกเราที่กําลังสู้อยู่ข้างล่างอย่างเย็นชา

 

แม้ผีสามตาจะร้ายกาจ แต่ก็ค่อยๆถูกพวกเรากําจัดลงในที่สุด

 

จางจึเทาใช้มือกําหน้าอกตัวเอง ในเวลาเดียวกันก็พูดกับพวกเราที่อยู่ข้างล่างว่า “ ติงฝาน บัญชีนี้ฉันจางจึเทาจะจํามันเอาไว้ อีกไม่ช้าฉันจะกลับไปทวงมันที่บ้านแก!”

 

หลังจากพูดจบ จางจึเทาก็หมุนตัวโดยไม่ลังเลเลยสักนิด เขาวิ่งไปตามหลังคาโรงงาน แล้วค่อยๆจางหายไปจากสายตาพวกเรา….

 

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset