ในเวลานี้ผมง่วงจริงๆ เมื่อได้ยินเฟิงเฉ่วหานพูดแบบนั้น ผมก็เลยอยากทำมันจริงๆ
ผมจึงพยักหน้าและพูดกับเฟิงเฉ่วหานว่า “งั้นก็รบกวนด้วยนะ!”
หลังจากพูดจบ ผมก็ไม่เกรงใจ เดินไปที่มุมหนึ่งของห้อง จากนั้นก็เอาม้านั่งมาเรียงกันสองสามตัว จากนั้นก็เอนกายลงไปนอนทันที
ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่น คงนอนในห้องที่จัดงานศพไม่ได้
แต่ผมโตมาท่ามกลางสถานการณ์แบบนี้ ดังนั้นจึงไม่ได้รู้สึกอะไร
หลังจากนอนลงไปสักพัก ผมก็หลับไป นอนได้แบบสบายมากๆ และผ่อนคลายเว่อร์
ตอนที่ผมลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ก็เป็นเวลาตี 3 แล้ว
ในเวลานั้นเป็นเพราะเฟิงเฉ่วหานเข้ามาปลุก ดวงตาทั้งสองข้างของเขาเริ่มแดง เห็นได้ชัดว่าเขาเองก็เหนื่อยมากแล้ว
“ติงฝาน ถึงคิวนายแล้ว! พลังหยินในห้องโถงแรงมาก ระวังด้วยละ!” เฟิงเฉ่วหานพูดออกมาห้วนๆ
แต่ผมพยักหน้าและพูดว่า “นอนหลับให้สบาย! ฉันเอาอยู่น่า!”
หลังจากพูดจบ ผมก็ลูบตาของตัวเอง และเดินไปนั่งที่หน้าโลงศพ
ธูปกับกระดาษพึ่งถูกจุดและเผาไป ดังนั้นจึงไม่มีอะไรต้องทำ
ขณะที่ผมกำลังนั่งอยู่หน้าโลง ก็ไม่ได้รู้สึกแย่อะไร ขอแค่ไม่ปล่อยให้เทียนดับ ปัญหาที่ตามมาก็จะไม่ใช่เรื่องใหญ่
บวกกับเมื่อกี้ผมนอนไปหลายชั่วโมง จึงทำให้รู้สึกดีมาก ดังนั้นจึงผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเล่นเกม
แต่ไม่รู้ว่าทำไม ผมกลับรู้สึกว่าห้องโถงเริ่มเย็นขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้ขนเริ่มลุกถึงสองสามครั้ง
ผมจึงไม่มีอารมณ์มานั่งเล่นเกมอีกต่อไป จึงคิดจะลุกขึ้นมายืดเส้นยืดสายสักหน่อย
แต่วินาทีที่ผมลุกขึ้น ทันใดนั้นก็มีสายลมอันหวานเย็น ตรงเข้ามาพัดเปลวธูปที่อยู่บนโต๊ะบูชาดัง “ฟู่…”
เมื่อเห็นสิ่งนี้ ผมก็ตกตะลึงในทันที นี่มันไม่ใช่เรื่องตลก ธูปนั้นไม่สามารถดับได้อย่างแน่นอน
ผมรีบหันไป และปิดประตูใหญ่ให้เรียบร้อย เพราะกลัวว่าเทียนจะดับ
หลังจากปิดประตู แสงเทียนก็กลับมาสงบอีกครั้ง
ผมคิดว่าพอแสงสงบแล้วจะไม่เกิดอะไรขึ้นอีก แต่ที่ไหนได้เมื่อผมหันกลับไปมองกระถางธูปที่อยู่กลางห้อง “พรึบ” สีหน้าของผมก็เปลี่ยนไปทันที
เพราะตอนนี้ผมกลับพบว่าธูปสามดอกที่จุดอยู่ในกระถาง ได้กลายเป็นสองดอกสั้นและหนึ่งดอกยาว
ดังคำกล่าวที่ว่า เวลายามค่ำคืนเป็นเวลาที่พลังหยินแรงคนจึงถูกผีหลอกง่าย ส่วนผีนั้นกลัวพระอาทิตย์ที่สุดเพราะพลังหยางแรง
ผมพึ่งปิดประตูเสร็จ ธูปก็กลายเป็นแบบนี้ไปแล้ว มันจึงทำให้ผมตกใจจนเสียขวัญ
ผมรีบตะโกนเรียกเฟิงเฉ่วหานที่กำลังนอนหลับอยู่ทันที “เฟิงเฉ่วหาน เฟิงเฉ่วหานเกิดเรื่องแล้ว……”
ผมทั้งตะโกน และเดินไปดึงธูปสามดอกออกจากกระถางธูป
ธูปแบบนี้จะเอาไว้ไม่ได้ ต้องเอาไปโยนทิ้ง และจุดใหม่อีกครั้ง
เฟิงเฉ่วหานค่อนข้างตื่นตระหนก เมื่อได้ยินเสียงตะโกนของผม เขาก็รีบดีดตัวขึ้นมาทันที
“เกิดอะไรขึ้น” เฟิงเฉ่วหานถามพร้อมทำหน้าขมวดคิ้ว
“ไม่รู้เหมือนกัน จู่ๆธูปก็สั้นสองยาวหนึ่ง” ผมรีบพูดขึ้น
จากนั้นผมก็นำธูปสามดอกไปจุดที่เทียน ด้วยความกลัว มือของผมจึงสั่น เลยทำให้ธูปสามดอกที่อยู่ในมือสั่นตามไปด้วย
“อะไรนะ สั้นสองยาวหนึ่งเหรอ”
เฟิงเฉ่วหานเองก็รู้ความหมายของธูปสั้นสองยาวหนึ่ง เขาจึงรีบมาที่โต๊ะบูชาทันที
เมื่อเห็นแบบนั้น สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป รีบหยิบกระดาษสีเหลืองขึ้นมาเผาทันที “มีเกิด ก็ต้องมีดับ ตอนนี้คุณเองก็ตายไปแล้ว อย่าอาลัยอาวรณ์อีกเลย!”
หลังจากพูดจบ เฟิงเฉ่วหานยังเผายันต์ลงในกระถางอีกหนึ่งแผ่น
“ตูม” ทันใดนั้นลูกบอลไฟสีเขียวก็ปรากฎขึ้น
ในเวลาเดียวกัน เฟิงเฉ่วหานยังถามผมด้วยเสียงที่ดังมาก “ติงฝาน จุดธูปรึยัง นายรีบทำหน่อยได้ไหม!”
แต่เฟิงเฉ่วหานไม่รู้ ว่าตัวผมเองก็รีบเช่นกัน!
แต่ก็ไม่รู้เกิดอะไรขึ้น ธูปสามดอกนั้นกลับจุดไม่ติดซะที
ผมขมวดคิ้ว และรีบพูดขึ้น “เฟิงเฉ่วหาน ทำไมธูปนี้ถึงจุดไม่ติดซะทีวะ!”
เมื่อเฟิงเฉ่วหานได้ยินผมพูดแบบนั้น เขาก็ค่อนข้างตกใจ “จุดไม่ติดงั้นเหรอ”
ขณะที่พูด เฟิงเฉ่วหานก็เดินเข้ามาใกล้ๆ และเห็นธูปในมือของผมที่จุดไม่ติดจริงๆ
เห็นชัดๆว่ามันกำลังถูกไฟเผา แต่กลับไม่มีทีท่าว่าจะติดไฟเลยสักนิด
พวกคุณอาจรู้ว่านี้เป็นธูปชั้นดี แค่ใช้ไฟแช็กจุด มันก็ติดได้อย่างง่ายดายแล้ว
เฟิงเฉ่วหานขมวดคิ้ว เขากำลังสงสัยว่าทำไมมันถึงไม่ติดซะที
ดังนั้นเขาจึงหยิบธูปขึ้นมาใหม่อีกสามดอก เริ่มจุดลงที่เทียนเล่มอื่นบ้าง
จากนั้นก็พูดกับผมอีกครั้ง “ติงฝาน นายไปเปิดโลง ดูว่าศพเปลี่ยนไปไหม!”
ผมมีประสบการณ์ด้านนี้ไม่เพียงพอ ดังนั้นจึงไม่เข้าใจเท่าไหร่
เฟิงเฉ่วหานเจออะไรมาเยอะกว่าผม จึงมีประสบการณ์มากกว่าผม เมื่อเขาพูดแบบนี้ ผมจึงไม่พูดอะไรรีบวางธูปลง และเดินตรงไปที่โลงทันที
ผมใช้สองมือจับไปที่ฝาโลง จากนั้นก็ใช้แรงผลัก “บึก” ฝาโลงถูกผมเปิดออกครึ่งหนึ่ง
จากนั้นผมก็ก้มหน้าลงไปมองในโลง แต่เมื่อมองเข้าไป สีหน้าของผมก็เปลี่ยนไป ผมตกใจจนหยุดหายใจทันที
ในหัวมีเสียงดัง “เปรี้ยง” เหมือนกับสายฟ้าที่ผ่ากลางวันแสกๆ
ผมยืนแข็งทื่อ เผยสีหน้าหวาดกลัว
เพราะสิ่งที่ผมเห็นคือ คุณหนูเวินที่อยู่ในโลง ไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นเมื่อไหร่แต่ตอนนี้เธอกำลังลืมตาอยู่
และสิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่านั้นคือ ผิวหน้าของคุณหนูเหวิน มีขนสีขาวๆเล็กๆงอกออกมา และมือที่ประสานกันที่หน้าท้อง ยังมีเล็บยาวสีขาวงอกออกมาอีกด้วย
ดังคำกล่าวที่ว่า เมื่อศพลืมตา นั้นก็หมายถึงใบหน้าที่ยังอยากมีชีวิต
ก่อนหน้านี้ผมเคยมีประสบการณ์กับเรื่องนี้มาหนึ่งครั้ง เมื่อตอนนี้ต้องมาเผชิญหน้ากับเรื่องนี้อีกแล้วแบบนี้จะไม่ให้ผมกลัวได้ยังไงละครับ
แต่นี้ไม่ใช่สิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกกลัวที่สุด สิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่านั้น คือขนสีขาวๆที่ใบหน้าและเล็บที่งอกยาวของคุณหนูเหวินที่โผล่ขึ้นมาอย่างกระทันหัน
จู่ๆศพก็มีการเปลี่ยนแปลงแบบนี้ มันจะหมายความว่าอะไรได้ละ นอกจากหมายความว่าศพนี้เปลี่ยนไป เพราะเป็นลางบอกเหตุบางอย่าง
ผมไม่เคยเจอสถานการณ์แบบนี้มาก่อน แค่เคยได้ยินมาบ้าง
ดังนั้นเมื่อเห็นการเปลี่ยนแปลงอย่างกระทันหันนี้ จึงได้แต่ยืนอึ้ง
แต่เมื่อเฟิงเฉ่วหานที่กำลังจุดธูปอยู่นั้นเห็นผมยืนอึ้งไม่พูดอะไร เขาจึงตะโกนใส่ผม “ติงฝาน นายเห็นอะไร”
หลังจากเสียงตะโกนของเฟิงเฉ่วหานดังขึ้น ผมก็กลับมามีสติอีกครั้ง
จากนั้นก็พูดกับเฟิงเฉ่วหานว่า “ศพ ศพเปลี่ยนไป! ตัวของคุณหนูเหวินกำลังเปลี่ยนไป!”
เมื่อพูดถึงประโยคสุดท้าย ผมก็เพิ่มน้ำเสียงขึ้นไปอีก
เมื่อเฟิงเฉ่วหานได้ยินประโยคนี้ ม่านตาก็เบิกกว้าง เผยสีหน้าที่หวาดกลัว
ในเวลานั้นจะจุดธูปอะไรได้อีกละ เขารีบวิ่งเข้ามาทันที หลังจากเห็นสภาพของคุณหนูเหวิน เขาก็เผยสีหน้าที่ตกตะลึงออกมา
“เป็นไปได้ยังไง ทำไมศพถึงเปลี่ยนไปละ!” เฟิงเฉ่วหานไม่กล้าเชื่อ
สิ่งที่ควรทำพวกเราก็ทำจนหมดแล้ว ไม่ว่าจะเป็นพิธี จุดธูป เผากระดาษเงินกระดาษทอง หรือแม้แต่การกราบไหว้
และตอนทำพิธี ยังมีอาจารย์และนักพรตตู๋เป็นผู้ทำให้
ทั้งสองคนกล้าวางมือและปล่อยให้ผมและเฟิงเฉ่วหานเฝ้าศพ นั้นก็หมายความว่าศพสงบลงเรียบร้อย ไม่เกิดเรื่องอะไรขึ้นอีกแน่
แต่ทำไม ทำไมศพยังเปลี่ยนไปได้ละ
นอกจากเฟิงเฉ่วหานจะแปลกใจ ผมเองก็รู้สึกประหลาดใจมากเช่นกัน
แต่ในเวลานี้ ผมกลับพบว่าแม้ตาทั้งสองข้างของศพจะเปิดอยู่ แต่ไม่ได้เอียง มันกำลังมองไปทางเดียวกัน เหมือนกำลังมองอะไรบางอย่างอยู่
ผมรู้สึกสงสัย จึงมองขึ้นไปตามศพ
หลังมองขึ้นไป หัวใจผมก็มีเสียงดัง “กึก” ตัวสั่นทันที
เพราะสิ่งที่ศพกำลังมองอยู่นั้น ก็คือคานห้อง
เมื่อศพจ้องที่คาน นั้นก็หมายความว่าคนในครอบครัวจะตายอย่างทรมาน
นี่เป็นหนึ่งในข้อห้ามที่ควรหลีกเลี่ยง ใครที่ไหนจะกล้าให้ศพมองคานบ้านอย่างมั่วซั่ว และอีกอย่างศพนี้ยังตายโหงด้วย มันยิ่งทำให้วิญญาณชั่วร้ายเข้าไปใหญ่
แต่ตอนนี้ ศพผู้หญิงนี่กำลังมองอยู่จริงๆ เนื่องจากเป็นฮวงจุ้ยต้องห้ามสำหรับดวงวิญญาณ
ดังนั้นในตอนนี้คานห้อง จึงได้มีผ้าผืนใหญ่ปกคลุมเอาไว้
แต่ส่วนตรงกลาง ดันตรงกับเหนือคิ้วของศพผู้หญิงพอดี และยังก่อตัวเป็นรูปกรวยน้ำแข็งอีกด้วย ส่วนพื้นที่รอบๆเองก็กลายเป็นเกร็ดน้ำแข็งไปแล้ว……