ศพ – ตอนที่ 28 สองสั้นหนึ่งยาว

ในเวลานี้ผมง่วงจริงๆ เมื่อได้ยินเฟิงเฉ่วหานพูดแบบนั้น ผมก็เลยอยากทำมันจริงๆ

ผมจึงพยักหน้าและพูดกับเฟิงเฉ่วหานว่า “งั้นก็รบกวนด้วยนะ!”

หลังจากพูดจบ ผมก็ไม่เกรงใจ เดินไปที่มุมหนึ่งของห้อง จากนั้นก็เอาม้านั่งมาเรียงกันสองสามตัว จากนั้นก็เอนกายลงไปนอนทันที

ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่น คงนอนในห้องที่จัดงานศพไม่ได้

แต่ผมโตมาท่ามกลางสถานการณ์แบบนี้ ดังนั้นจึงไม่ได้รู้สึกอะไร

หลังจากนอนลงไปสักพัก ผมก็หลับไป นอนได้แบบสบายมากๆ และผ่อนคลายเว่อร์

 

ตอนที่ผมลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ก็เป็นเวลาตี 3 แล้ว

ในเวลานั้นเป็นเพราะเฟิงเฉ่วหานเข้ามาปลุก ดวงตาทั้งสองข้างของเขาเริ่มแดง เห็นได้ชัดว่าเขาเองก็เหนื่อยมากแล้ว

“ติงฝาน ถึงคิวนายแล้ว! พลังหยินในห้องโถงแรงมาก ระวังด้วยละ!” เฟิงเฉ่วหานพูดออกมาห้วนๆ

แต่ผมพยักหน้าและพูดว่า “นอนหลับให้สบาย! ฉันเอาอยู่น่า!”

หลังจากพูดจบ ผมก็ลูบตาของตัวเอง และเดินไปนั่งที่หน้าโลงศพ

ธูปกับกระดาษพึ่งถูกจุดและเผาไป ดังนั้นจึงไม่มีอะไรต้องทำ

 

ขณะที่ผมกำลังนั่งอยู่หน้าโลง ก็ไม่ได้รู้สึกแย่อะไร ขอแค่ไม่ปล่อยให้เทียนดับ ปัญหาที่ตามมาก็จะไม่ใช่เรื่องใหญ่

บวกกับเมื่อกี้ผมนอนไปหลายชั่วโมง จึงทำให้รู้สึกดีมาก ดังนั้นจึงผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเล่นเกม

แต่ไม่รู้ว่าทำไม ผมกลับรู้สึกว่าห้องโถงเริ่มเย็นขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้ขนเริ่มลุกถึงสองสามครั้ง

ผมจึงไม่มีอารมณ์มานั่งเล่นเกมอีกต่อไป จึงคิดจะลุกขึ้นมายืดเส้นยืดสายสักหน่อย

แต่วินาทีที่ผมลุกขึ้น ทันใดนั้นก็มีสายลมอันหวานเย็น ตรงเข้ามาพัดเปลวธูปที่อยู่บนโต๊ะบูชาดัง “ฟู่…”

เมื่อเห็นสิ่งนี้ ผมก็ตกตะลึงในทันที นี่มันไม่ใช่เรื่องตลก ธูปนั้นไม่สามารถดับได้อย่างแน่นอน

ผมรีบหันไป และปิดประตูใหญ่ให้เรียบร้อย เพราะกลัวว่าเทียนจะดับ

 

หลังจากปิดประตู แสงเทียนก็กลับมาสงบอีกครั้ง

ผมคิดว่าพอแสงสงบแล้วจะไม่เกิดอะไรขึ้นอีก แต่ที่ไหนได้เมื่อผมหันกลับไปมองกระถางธูปที่อยู่กลางห้อง “พรึบ” สีหน้าของผมก็เปลี่ยนไปทันที

เพราะตอนนี้ผมกลับพบว่าธูปสามดอกที่จุดอยู่ในกระถาง ได้กลายเป็นสองดอกสั้นและหนึ่งดอกยาว

ดังคำกล่าวที่ว่า เวลายามค่ำคืนเป็นเวลาที่พลังหยินแรงคนจึงถูกผีหลอกง่าย ส่วนผีนั้นกลัวพระอาทิตย์ที่สุดเพราะพลังหยางแรง

ผมพึ่งปิดประตูเสร็จ ธูปก็กลายเป็นแบบนี้ไปแล้ว มันจึงทำให้ผมตกใจจนเสียขวัญ

ผมรีบตะโกนเรียกเฟิงเฉ่วหานที่กำลังนอนหลับอยู่ทันที “เฟิงเฉ่วหาน เฟิงเฉ่วหานเกิดเรื่องแล้ว……”

 

ผมทั้งตะโกน และเดินไปดึงธูปสามดอกออกจากกระถางธูป

ธูปแบบนี้จะเอาไว้ไม่ได้ ต้องเอาไปโยนทิ้ง และจุดใหม่อีกครั้ง

เฟิงเฉ่วหานค่อนข้างตื่นตระหนก เมื่อได้ยินเสียงตะโกนของผม เขาก็รีบดีดตัวขึ้นมาทันที

“เกิดอะไรขึ้น” เฟิงเฉ่วหานถามพร้อมทำหน้าขมวดคิ้ว

“ไม่รู้เหมือนกัน จู่ๆธูปก็สั้นสองยาวหนึ่ง” ผมรีบพูดขึ้น

จากนั้นผมก็นำธูปสามดอกไปจุดที่เทียน ด้วยความกลัว มือของผมจึงสั่น เลยทำให้ธูปสามดอกที่อยู่ในมือสั่นตามไปด้วย

 

“อะไรนะ สั้นสองยาวหนึ่งเหรอ”

เฟิงเฉ่วหานเองก็รู้ความหมายของธูปสั้นสองยาวหนึ่ง เขาจึงรีบมาที่โต๊ะบูชาทันที

เมื่อเห็นแบบนั้น สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป รีบหยิบกระดาษสีเหลืองขึ้นมาเผาทันที “มีเกิด ก็ต้องมีดับ ตอนนี้คุณเองก็ตายไปแล้ว อย่าอาลัยอาวรณ์อีกเลย!”

หลังจากพูดจบ เฟิงเฉ่วหานยังเผายันต์ลงในกระถางอีกหนึ่งแผ่น

“ตูม” ทันใดนั้นลูกบอลไฟสีเขียวก็ปรากฎขึ้น

ในเวลาเดียวกัน เฟิงเฉ่วหานยังถามผมด้วยเสียงที่ดังมาก “ติงฝาน จุดธูปรึยัง นายรีบทำหน่อยได้ไหม!”

 

แต่เฟิงเฉ่วหานไม่รู้ ว่าตัวผมเองก็รีบเช่นกัน!

แต่ก็ไม่รู้เกิดอะไรขึ้น ธูปสามดอกนั้นกลับจุดไม่ติดซะที

ผมขมวดคิ้ว และรีบพูดขึ้น “เฟิงเฉ่วหาน ทำไมธูปนี้ถึงจุดไม่ติดซะทีวะ!”

เมื่อเฟิงเฉ่วหานได้ยินผมพูดแบบนั้น เขาก็ค่อนข้างตกใจ “จุดไม่ติดงั้นเหรอ”

ขณะที่พูด เฟิงเฉ่วหานก็เดินเข้ามาใกล้ๆ และเห็นธูปในมือของผมที่จุดไม่ติดจริงๆ

เห็นชัดๆว่ามันกำลังถูกไฟเผา แต่กลับไม่มีทีท่าว่าจะติดไฟเลยสักนิด

 

พวกคุณอาจรู้ว่านี้เป็นธูปชั้นดี แค่ใช้ไฟแช็กจุด มันก็ติดได้อย่างง่ายดายแล้ว

เฟิงเฉ่วหานขมวดคิ้ว เขากำลังสงสัยว่าทำไมมันถึงไม่ติดซะที

ดังนั้นเขาจึงหยิบธูปขึ้นมาใหม่อีกสามดอก  เริ่มจุดลงที่เทียนเล่มอื่นบ้าง

จากนั้นก็พูดกับผมอีกครั้ง “ติงฝาน นายไปเปิดโลง ดูว่าศพเปลี่ยนไปไหม!”

ผมมีประสบการณ์ด้านนี้ไม่เพียงพอ ดังนั้นจึงไม่เข้าใจเท่าไหร่

เฟิงเฉ่วหานเจออะไรมาเยอะกว่าผม จึงมีประสบการณ์มากกว่าผม เมื่อเขาพูดแบบนี้ ผมจึงไม่พูดอะไรรีบวางธูปลง และเดินตรงไปที่โลงทันที

 

ผมใช้สองมือจับไปที่ฝาโลง จากนั้นก็ใช้แรงผลัก “บึก” ฝาโลงถูกผมเปิดออกครึ่งหนึ่ง

จากนั้นผมก็ก้มหน้าลงไปมองในโลง แต่เมื่อมองเข้าไป สีหน้าของผมก็เปลี่ยนไป ผมตกใจจนหยุดหายใจทันที

ในหัวมีเสียงดัง “เปรี้ยง” เหมือนกับสายฟ้าที่ผ่ากลางวันแสกๆ

ผมยืนแข็งทื่อ เผยสีหน้าหวาดกลัว

เพราะสิ่งที่ผมเห็นคือ คุณหนูเวินที่อยู่ในโลง ไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นเมื่อไหร่แต่ตอนนี้เธอกำลังลืมตาอยู่

 

และสิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่านั้นคือ ผิวหน้าของคุณหนูเหวิน มีขนสีขาวๆเล็กๆงอกออกมา และมือที่ประสานกันที่หน้าท้อง ยังมีเล็บยาวสีขาวงอกออกมาอีกด้วย

ดังคำกล่าวที่ว่า เมื่อศพลืมตา นั้นก็หมายถึงใบหน้าที่ยังอยากมีชีวิต

ก่อนหน้านี้ผมเคยมีประสบการณ์กับเรื่องนี้มาหนึ่งครั้ง เมื่อตอนนี้ต้องมาเผชิญหน้ากับเรื่องนี้อีกแล้วแบบนี้จะไม่ให้ผมกลัวได้ยังไงละครับ

แต่นี้ไม่ใช่สิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกกลัวที่สุด สิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่านั้น คือขนสีขาวๆที่ใบหน้าและเล็บที่งอกยาวของคุณหนูเหวินที่โผล่ขึ้นมาอย่างกระทันหัน

 

จู่ๆศพก็มีการเปลี่ยนแปลงแบบนี้ มันจะหมายความว่าอะไรได้ละ นอกจากหมายความว่าศพนี้เปลี่ยนไป เพราะเป็นลางบอกเหตุบางอย่าง

ผมไม่เคยเจอสถานการณ์แบบนี้มาก่อน แค่เคยได้ยินมาบ้าง

ดังนั้นเมื่อเห็นการเปลี่ยนแปลงอย่างกระทันหันนี้ จึงได้แต่ยืนอึ้ง

แต่เมื่อเฟิงเฉ่วหานที่กำลังจุดธูปอยู่นั้นเห็นผมยืนอึ้งไม่พูดอะไร เขาจึงตะโกนใส่ผม “ติงฝาน นายเห็นอะไร”

หลังจากเสียงตะโกนของเฟิงเฉ่วหานดังขึ้น ผมก็กลับมามีสติอีกครั้ง

จากนั้นก็พูดกับเฟิงเฉ่วหานว่า “ศพ ศพเปลี่ยนไป! ตัวของคุณหนูเหวินกำลังเปลี่ยนไป!”

 

เมื่อพูดถึงประโยคสุดท้าย ผมก็เพิ่มน้ำเสียงขึ้นไปอีก

เมื่อเฟิงเฉ่วหานได้ยินประโยคนี้ ม่านตาก็เบิกกว้าง เผยสีหน้าที่หวาดกลัว

ในเวลานั้นจะจุดธูปอะไรได้อีกละ เขารีบวิ่งเข้ามาทันที หลังจากเห็นสภาพของคุณหนูเหวิน เขาก็เผยสีหน้าที่ตกตะลึงออกมา

“เป็นไปได้ยังไง ทำไมศพถึงเปลี่ยนไปละ!” เฟิงเฉ่วหานไม่กล้าเชื่อ

สิ่งที่ควรทำพวกเราก็ทำจนหมดแล้ว ไม่ว่าจะเป็นพิธี จุดธูป เผากระดาษเงินกระดาษทอง หรือแม้แต่การกราบไหว้

 

และตอนทำพิธี ยังมีอาจารย์และนักพรตตู๋เป็นผู้ทำให้

ทั้งสองคนกล้าวางมือและปล่อยให้ผมและเฟิงเฉ่วหานเฝ้าศพ นั้นก็หมายความว่าศพสงบลงเรียบร้อย ไม่เกิดเรื่องอะไรขึ้นอีกแน่

แต่ทำไม ทำไมศพยังเปลี่ยนไปได้ละ

นอกจากเฟิงเฉ่วหานจะแปลกใจ ผมเองก็รู้สึกประหลาดใจมากเช่นกัน

แต่ในเวลานี้ ผมกลับพบว่าแม้ตาทั้งสองข้างของศพจะเปิดอยู่ แต่ไม่ได้เอียง มันกำลังมองไปทางเดียวกัน เหมือนกำลังมองอะไรบางอย่างอยู่

ผมรู้สึกสงสัย จึงมองขึ้นไปตามศพ

 

หลังมองขึ้นไป หัวใจผมก็มีเสียงดัง “กึก” ตัวสั่นทันที

เพราะสิ่งที่ศพกำลังมองอยู่นั้น ก็คือคานห้อง

เมื่อศพจ้องที่คาน นั้นก็หมายความว่าคนในครอบครัวจะตายอย่างทรมาน

นี่เป็นหนึ่งในข้อห้ามที่ควรหลีกเลี่ยง ใครที่ไหนจะกล้าให้ศพมองคานบ้านอย่างมั่วซั่ว และอีกอย่างศพนี้ยังตายโหงด้วย มันยิ่งทำให้วิญญาณชั่วร้ายเข้าไปใหญ่

แต่ตอนนี้ ศพผู้หญิงนี่กำลังมองอยู่จริงๆ เนื่องจากเป็นฮวงจุ้ยต้องห้ามสำหรับดวงวิญญาณ

ดังนั้นในตอนนี้คานห้อง จึงได้มีผ้าผืนใหญ่ปกคลุมเอาไว้

แต่ส่วนตรงกลาง ดันตรงกับเหนือคิ้วของศพผู้หญิงพอดี และยังก่อตัวเป็นรูปกรวยน้ำแข็งอีกด้วย ส่วนพื้นที่รอบๆเองก็กลายเป็นเกร็ดน้ำแข็งไปแล้ว……

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset