ศพ – ตอนที่ 288 จัดการกับปีศาจสาว

ตอนที่ 288 จัดการกับปีศาจสาว

 

ของสองอย่างที่ผมและเหล่าเฟิงเตรียมเป็นของมีประโยชน์มาก ฟางใช้เป็นคนตัวปลอม ส่วนเชือกแดงเป็นเครื่องหมายคําสัญญาที่ใช้กับผีต้นกล้วย

 

ถ้าแผนในคืนนี้ล้มเหลว พวกเราก็ยังสามารถใช้เชือกแดง ทําตามแผนสองที่วางเอาไว้ได้

แต่หลังพวกเราออกจากบ้านถึงได้พบว่า สถานที่แห่งนี้ไม่ใช่หมู่บ้านในชนบท อย่างพูดถึงเชือกแดงเลย แม้แต่ฟางก็มีน้อยมาก

สําหรับเหล่าเฟิงที่เป็นคนหาเชือกแดง ก็ได้แต่ไปถามหาจากร้านขายวัสดุก่อสร้างหรือร้านขายของชํา

 

เพราะอาจารย์และท่านนักพรตต์พูดเอาไว้แล้ว ว่าหาเชือกแดงมาได้เยอะเท่าไหร่ยิ่งดี

 

ถ้าแผนแรกล้มเหลว เชือกแดงจะเป็นตัวช่วยหาวิญญาณต้นกล้วยตนนั้นได้เร็วและแม่นยํากว่าเดิม

 

หลังออกจากหมู่บ้าน ผมก็แยกจากเหล่าเฟิง เพราะแถวนี้หาฟางได้ยากจริงๆ จึงต้องไปหาจากร้านที่ขายของงานศพเท่านั้น

 

ร้านขายของงานศพพวกนี้ พอจะมีฟางอยู่บ้าง เพราะปกติต้องนํามาใช้ “ ปัดฝุ่น ” หรือ “ เผาเพื่อเซ่นไหว้ ”

หลังจากถามคนอื่นมาตลอดทาง ในที่สุดผมก็หาร้านขายของงานศพร้านหนึ่งเจอ

 

แต่เมื่อมาถึงร้าน พอคนขายได้ยินว่าผมจะมาซื้อฟาง เขาก็ดึงหน้าใส่ทันที

 

บอกว่าบ้านไม่มีใครตาย จะมาหาร้านพวกเขาทําไม และยังให้ผมรีบไสหัวออกไปจากร้านพวกเขาด้วย

ตอนนั้นผมโมโหขึ้นมาทันที แต่เพราะมีงานต้องทํา ผมก็เลยได้แต่เก็บเอาไว้

 

พอบอกว่าฟางหนึ่งกําหนึ่งร้อยหยวน เจ้าของร้านนั้นก็เป็นนักพรตชั่วโลภเงิน

 

เห็นผมมีเงินเข้าหน่อย หน้าก็เปลี่ยนสีทันที ฉีกยิ้มหัวเราะฮ่าๆ แล้วก็เอาฟางออกมาให้ผมสามกํา

เงินสามร้อนหยวน ซื้อฟางได้แค่สามกํามือ นี่ฆ่าผมชัดๆ กลับไปแล้วต้องให้สกุลหลงคิดบัญชีให้ผมหน่อย

ตอนซื้อฟางเสร็จ ฟ้าก็มืดแล้ว ผมจึงรีบกลับทันที

 

เมื่อมาถึงวิลล่า เหล่าเฟิงก็กลับมาแล้วเช่นกัน เขาหาเชือกมาได้ก้อนโต ใหญ่ประมาณสองกําปั้นได้เลย

อาจารย์และคนอื่นๆ กําลังทํายันต์ต่างซ่อนเอาไว้ในบ้าน ในเวลาเดียวกันก็วาดยันต์จํานวนมากไว้บนตัวหลงอ้าวเทียน ทําซะเขามีสภาพไม่ต่างอะไรจากคนโดนสักไปทั้งตัวเลย

 

แต่เพื่อให้รอดพ้นจากนางตานี ก็ต้องทําแบบนี้เท่านั้น

 

มีเพียงแค่คุณหลงและคุณนายหลงเท่านั้นที่ไม่ได้ทําอะไร ได้แต่มองพวกเราอย่างโน้นอย่างนี้ แล้วก็อึ้งแล้วอึ้งอีก

อาจารย์เห็นผมเอาฟางกลับมาแล้ว จึงรีบลงมือทันทีทําหุ่นฟางขึ้นมา แล้วมัดด้วยสายอวนอีกที

ขณะเดียวกัน เหล่าฉันก็บดผงชาดเอาไว้มากพอแล้ว ผงชาดพวกนี้ถูกเหล่าฉันและพวกอาจารย์ทาลงในตัวหุ่นฟางทีละนิดๆ จนออกมาละเอียดมาก

เมื่อทําเรื่องพวกนี้เสร็จ ก็เป็นเวลาสามทุ่มแล้ว

 

คืนนี้อาจารย์ให้คุณหลงและภรรยาออกไปข้างนอก ทิ้งหลงอ้าวเทียนเอาไว้ที่นี่ก็พอ

คุณหลงและภรรยาไม่ค่อยวางใจ จึงอยากอยู่ด้วย แต่สุดท้ายก็โดนปฏิเสธอย่างเด็ดขาด

นี่ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ นี่คือการจัดการกับปีศาจสาว หากเกิดอะไรบางอย่างขึ้นมา สิ่งที่พวกเราเตรียมเอาไว้

 

จะสูญเปล่าทั้งหมด

 

คุณหลงและภรรยาไม่มีทางเลือก ทําได้แค่พูดปลอบหลงอ้าวเทียนสองสามประโยคเท่านั้น หลังจากนั้นก็รีบออกไปอย่างรวดเร็ว

หลงอ้าวเทียนกลัวพอสมควร ถามผมว่าเขาจะตายไหม แต่ผมกลับกลอกตาให้เขา เจ้าหมอนี่กําลังตั้งคําถามกับความสามารถในการทํางานของพวกเราเหรอ ?

ผมบอกให้เขาหยุดคร่ําครวญ ฟังที่พวกเราบอก เราบอกอะไรเขาก็ต้องทําอย่างนั้น

เมื่อทําแบบนี้แล้วไม่เพียงไม่ตาย แต่ยังทําให้เขาหลุดพ้นจากนางตานีอีกด้วย

หลงอ้าวเทียนกลัวจนเสียสติ เพียงตอบกลับ “ อื้อฮือ ” ด้วยความตกใจเท่านั้น

หลังจากหาอะไรกินในบ้านเล็กน้อยแล้ว ช่วงประมาณสี่ทุ่ม อาจารย์ก็ให้หลงอ้าวเทียนหยดเลือดลงบนหุ่นฟางสองสามหยด ในเวลาเดียวกันก็ใช้แผ่นยันต์ เขียนวันเดือนปีเกิดของเขา แล้วนําไปใส่ในหัวหุ่นฟาง

และบอกกับหลงอ้าวเทียนว่า “ เสี่ยวหลง คืนนี้ปีศาจสาวตัวนั้นจะต้องมาแน่นอน ถึงตอนนั้นพอเธอเห็นแล้ว ไม่ต้องกลัวนะ ! และหุ่นฟางตัวนี้ก็มีวันเดือนปีเกิดของนายอยู่ ตอนเธอมา นายแค่ไปหาที่ซ่อนก็พอ

 

แต่นายต้องจําเอาไว้ให้ดี หุ่นฟางไม่มีชีวิต ไม่สามารถพูดได้ หากนางปีศาจตนนั้นถามอะไร

 

เธอค่อยตอบให้ดีๆ ห้ามให้เธอเห็นพิรุธเด็ดขาดนะ…”

แม้ชื่อหลงอ้าวเทียนจะดูดุดัน แต่เจ้าหมอนี่กลับปอดแหกอย่างกับเป็นแค่หนูตัวเล็กๆ ยอมแพ้ตั้งแต่วินาทีแรกแล้ว

 

ถามว่าทําได้ไหมกลับไม่ตอบ สุดท้ายเลยต้องพูดด้วยความเย็นชา “ อยากตายก็ไม่ต้องพูด ถ้าอยากอยู่ก็ทําตามที่พวกเราบอก

 

หลงอ้าวเทียนไม่ได้ดุดันเหมือนตอนอยู่ในโรงแรมหนานเทียนแล้ว เขามองพวกเราด้วยความตกใจ

 

กลืนน้ําลายหนึ่งครั้ง แล้วจากนั้นถึงตอบว่า “ ได้ ” ด้วยเสียงที่สั่นเครือ

ต่อจากนั้น พวกเราก็นําหุ่นฟางไปวางไว้ที่โซฟาในห้องรับแขก ส่วนตัวพวกเราก็ซ่อนอยู่รอบๆแถวนั้น

อาจารย์และท่านนักพรตตูให้ผมและเพิ่งเฉ้วหานดูหลงอ้าวเทียนเอาไว้ พวกเราซ่อนอยู่ใต้โต๊ะข้างๆโซฟา

ซึ่งมีผ้าคลุมกั้นเอาไว้อีกที และในเวลาเดียวกันก็แปะยันต์เอาไว้ด้วย ถึงปีศาจสาวตัวนั้นจะเข้ามาแล้วก็มองไม่เห็นพวกเราอยู่ดี

 

ขอแค่หลงอ้าวเทียนให้ความร่วมมือ ทําตามที่พวกเราบอก หลอกผีตนนั้น ใช้หุ่นฟางตัวนี้จัดการนางตานีตนนั้นก็น่าจะไม่มีปัญหาใหญ่อะไรตามมาแล้ว……

ตอนนี้ทุกอย่างพร้อมหมดแล้ว เหลือเพียงแค่รอให้นางตานีออกมาปรากฏตัวอย่างเงียบๆเท่านั้น

 

ผมและเหล่าเฟิงไม่เคยเห็นผีตานีมาก่อน จึงตั้งตาคอยอยากดูว่าเจ้าสิ่งนี้มีหน้าตาเป็นยังไง

 

เวลาค่อยๆเดินไปเรื่อยๆ เพียงชั่วพริบตาเดียวก็มาถึงเวลาเที่ยงคืนครึ่งแล้ว

 

ตอนนี้ในบ้านเงียบสนิท แม้แต่เสียงลมพัดผ่านก็ยังไม่มี

 

แต่ทุกคนไม่มีทีท่าว่าจะง่วงนอน กลับกันยังตั้งสติเต็มร้อย คอยระวังรอบๆอยู่ตลอดเวลา

เวลาไม่แน่นอน ผีตานีตนนั้นอาจปรากฏกายเมื่อไหร่ก็ได้

 

หลังจากรออีกประมาณ 20 นาทีกว่าๆ ใกล้จะถึงตอนตีหนึ่ง จู่ๆตรงประตูบ้านก็มีเสียงดัง “ แก๊ก ”

นั่นคือเสียงเปิดประตูบานนั้น

เสียงนี้ไม่ดังมาก แต่ในบ้านที่เงียบสนิท กลับฟังดูดังเป็นพิเศษ

เสียงนี้เพิ่งดังขึ้น สีหน้าของทุกคนก็เปลี่ยนไปทันที ขณะเดียวกันม่านตาก็หดเล็กลงอย่างรวดเร็ว

พวกเราใช้รอยต่อของผ้าที่ซ้อนทับกันเห็น ประตูที่ปิดเอาไว้อย่างแน่นหนา เปิดออกแล้ว

ผมและเหล่าเฟิงเปิดตาแล้ว ดังนั้นจึงมองเห็นได้อย่างชัดเจน แต่หลงอ้าวเทียนที่โดนเบียดอยู่ตรงกลาง กลับประหม่าจนตัวสั่น กอดเข่าตัวเอง ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมา

ประตูบ้านถูกเปิดออกทีละนิด ขณะเดียวกันเราก็เห็นผู้หญิงคนหนึ่ง ค่อยๆเดินเข้ามาในบ้าน

หลังเข้ามาในบ้านแล้ว ก็ไม่ได้ดูรีบร้อนอะไร แต่บิดคอไปมา เลียริมฝีปาก ทําท่าน่าขยะแขยงออกมาก่อน

แต่ ตอนผมและเหล่าเฟิงเห็นหน้าตาของผู้หญิงคนนั้นแล้ว ในใจก็มีเสียงดัง “ อีก ” ตกใจทันที

 

เพราะพวกเราสองคนเห็น หน้าตาของผู้หญิงคนนั้น เหมือนเสี่ยวม่านเป๊ะ

ถ้าจะพูดถึงความแตกต่างเพียงอย่างเดียว ก็น่าจะเป็นดวงตาคู่นั้นแล้ว

ม่านตาของเสี่ยวม่านเป็นสีดํา แต่เสียวม่านตรงหน้าคนนี้กลับมีม่านตาสีเขียวและยังเป็นสีเขียวเรื่องแสงอีกด้วย

ผมและเหล่าเฟิงสูดหายใจเข้าเฮือกหนึ่ง รู้ดีแก่ใจว่า เสี่ยวม่านคนนี้เป็นตัวปลอม

นิยาย เรื่องนี้อัพเดตก่อนที่อื่น เว็ปแรกที่ลง novelza.com

เป็นผีตานีที่หลงอ้าวเทียนดึงดูดออกมา ตอนเขาดึงผีตานีออกมา ในใจต้องกําลังคิดถึงเสี่ยวม่านแน่ๆ

ดังนั้นพอผีตานีตนนี้ปรากฏตัว เลยมีรูปร่างหน้าตาเหมือนเสี่ยวม่าน

ผมกวาดสายตามองหลงอ้าวเทียนที่กําลังตัวสั่นอยู่ข้างๆแวบหนึ่ง อยากจะถีบเจ้าหมอนี่จริงๆ ครั้งก่อนตอนโดนอัดไม่ให้ลวนลาม เสี่ยวม่านคงเอาไปจําฝังใจเลยละซิ

ถึงได้ไปเอาผีตานีที่แปลงกายเป็นเสี่ยวม่านออกมา ช่างน่าขยะแขยงจริงๆ

 

ถ้าไม่ใช่เพราะเห็นผีตานีปรากฏตัว ผมจะต้องเข้าไปอัดเจ้าหมอนี่สักยกแน่นอน

เหล่าเฟิงเห็นผมอารมณ์เสีย จึงสงสัญญาณให้ผมเก็บอารมณ์เอาไว้ อย่าลืมแผนที่วางเอาไว้

 

ผมอารมณ์เสีย แต่ก็ไม่ได้ลืมแผน ผมพยักหน้า ส่งสัญญาณว่าตัวเองรู้ดีว่าควรทํายังไง

ในเวลาเดียวกัน พวกเราก็มองผีตานีที่อยู่ในบ้านต่อ

 

หลังจากผีตานีตนนั้นทําท่าทางน่าขนลุกเสร็จแล้ว ก็เดินด้วยรองเท้าส้นสูง “ ต๊อกต๊อกต๊อก” ไปทางหุ่นฟางบนโซฟา

 

ใบหน้าหวานของเธอเปื้อนยิ้ม เข้ามาใกล้โซฟาแล้ว จู่ๆเธอก็พ่นควันสีเขียว ไปตรงหัวหุ่นฟาง

ต่อจากนั้นก็ได้ยินเพียงเสียงหวานหยดย้อย “ พี่อ้าวเทียน อย่าเพิ่งหลับ ควรตื่นมาออกกําลังแล้วนะ…”

 

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset