ศพ – ตอนที่ 289 ล่อลวง

ตอนที่ 289 ล่อลวง

พวกเราซ่อนอยู่ใต้โต๊ะอย่างเงียบๆ คอยมองดูสถานการณ์ทุกอย่างภายในบ้าน

 

ขณะมองผีตานีหน้าเสี่ยวม่านคนนี้เดินเข้ามาใกล้หุ่นฟาง เส้นประสาทของพวกเราก็เกร็งไปหมด

 

กลัวว่าจะเกิดอะไรไม่ดีขึ้น

แต่ในเวลานี้ จู่ๆผีตานีตนนั้นกลับพูดคําพูดชวนขนลุกแบบนั้นออกมา ทําให้พวกเราอึ้งกันในทันที

ตัวผมนี่แทบอ้วกอาหารเย็นออกมาเลยทีเดียว

 

ผมใช้สายตาสยองจ้องผีตานี แม่เจ้าประจบได้น่าขยะแขยงเกินไปหน่อยมั้ง

เรียกซะพี่อ้าวเทียว แถมยังบอกให้ลุกมาออกกําลัง จะทําให้มันน่าขยะแขยงน้อยกว่านี้หน่อยได้ไหมฮะ ?

 

แต่หลงอ้าวเทียนที่ตัวสั่นอยู่ข้างๆ กลับทําหน้าหวาดกลัว ตกใจจนเหมือนตายไปแล้วครึ่งตัว

 

ผมตบไหล่เขาเบาๆ ขณะเดียวกันก็ใช้เสียงที่มีพวกเราเท่านั้นที่ได้ยิน “ ไม่ต้องกลัว ยัยนั่นมองไม่เห็นเราหรอก ตอนนี้กําลังเห็นหุ่นฟางเป็นตัวนาย! ทําตามที่เราคุยกันเอาไว้เมื่อก่อนหน้านี้ ไม่อย่างงั้นชีวิตน้อยๆของนายได้จบเห่แน่! ”

ถึงหลงอ้าวเทียนจะกลัวขนาดไหน แต่เขาก็กลัวตายมากกว่า

 

เขาค่อยๆเงยหน้าขึ้น เผยให้เห็นสีหน้าที่หวาดกลัว กลืนน้ําลายด้วยความประหม่า แต่ก็ยังพยักหน้าให้พวกเรา

ต่อจากนั้น ผีตานีที่อยู่ข้างนอกก็เคลื่อนไหว

ครั้งนี้เธอเอามือมาโอบคอหุ่นฟาง ทิ้งตัวลงบนตักหุ่นท่าทางยั่วยวนมาก

 

และยังพูดกับหุ่นฟางว่า “ พี่อ้าวเทียน รีบตื่นเถอะ ถึงเวลาตื่นมาดูของสวยๆได้แล้วนะ ”

หลังจากพูดจบ ผีตานีตนนั้นยังเขย่าหุ่นฟางสองสามครั้ง

เมื่อเห็นสิ่งนี้ ผมก็ใช้ศอกสะกิดหลงอ้าวเทียน เพื่อให้เขาตอบกลับสักที !

เมื่อเป็นแบบนี้ จะทําให้อีกฝ่ายสับสนยิ่งกว่าเดิม

หลงอ้าวเทียนพยายามอ้าปาก สุดท้ายก็พูดออกมาเสียงสั่น “ ง่วง ง่วงมาก ฉัน ฉันอยาก ฉันอยากนอน……….”

 

เสียงไม่ดังมาก ดังขึ้นจากตรงที่พวกเราอยู่

 

แต่สําหรับผีตานีตนนั้น เหมือนเธอจะได้ยินหุ่นฟางเป็นคนพูด จึงไม่แสดงท่าทางสงสัยเลยสักนิด

แถมเธอยังลูบหน้าหุ่นฟางอย่างยั่วยวนครั้งแล้วครั้งเล่า

 

“ พี่อ้าวเทียน ไม่นะ! พี่ไม่ใช่บอกว่าชอบฉันเหรอ ? รีบทําให้ฉันเถอะนะ !” ขณะพูด ผีตานีตนนี้ก็เริ่มถอดเสื้อผ้า

 

หลงอ้าวเทียนยังคงกลัวเหมือนเดิม แต่ปากของเขาก็พูดต่อ “ ไม่ ไม่คุยแล้ว ฉัน ฉันง่วง ง่วงจริงๆ ฉัน

ฉันจะนอน นอน……”

เมื่อผีตานีที่นั่งอยู่บนตัวหุ่นฟางได้ยินแบบนั้น ก็เห็นได้ชัดว่าตัวแข็งที่อในทันที ในปากเหมือนจะเค้นเสียงดัง “ ฮะ ”

 

เห็นได้ชัด ว่ามันไม่เหมือนกับที่เธอคิดเอาไว้เลยสักนิด

ก่อนหน้านี้ ขอแค่เธอปรากฏตัว เธอก็ไม่จําเป็นต้องพูดยั่วยวนพวกนี้ด้วยซ้ํา เขาก็จะกระโจนเข้าหาเธอทันที

แต่วันนี้ สถานการณ์กลับไม่ค่อยเหมือนเดิม

ต่อจากนั้น ผีตานีก็เขย่าหุ่นฟางสองสามครั้ง เมื่อเห็นหุ่นฟางไม่ตอบสนองจริงๆ เธอก็ลุกขึ้น หลังจากนั้นก็สังเกตตัวหุ่นฟางด้วยความสงสัย

เมื่อเห็นภาพนี้ พวกเราก็เครียดขึ้นมาทันที

จะมองเห็นพิรุธไม่ได้นะ ไม่อย่างนั้นเรื่องนี้ต้องจบเห่แน่

หลังจากผีตานีมองอยู่ครู่หนึ่ง เธอก็บ่นพึมพําออกมาว่า “ ทําไมมีพลังหยางน้อยขนาดนี้ ใกล้ตายแล้วหรือเปล่า? ”

หลังจากพูดจบ ผีตานีตนนี้ยังใช้จมูกดมตัวหุ่นฟางครู่หนึ่ง

นอกจากนี้ เธอยังใช้ลิ้นเลียบนตัวหุ่นฟาง

ผลลัพธ์ขณะที่เธอกําลังทําแบบนั้น พวกผงชาดบนตัวหุ่นฟาง ก็โดนเธอเลียไปจนหมด

ผงชาดพวกนี้เคยผ่านลูกเล่นบางอย่างมาก่อนผีตานีตนนั้นเลย ไม่รู้สึกถึงความผิดปกติใดๆ

นี่ก็เหมือนกับ ตอนแรกยังไม่รู้สึกอะไร แต่หลังจากรอให้พิษออกฤทธิ์ถึงระดับนึง เริ่มโจมตีเหยื่อแล้ว

ถึงตอนนั้นก็หมดทางช่วยแล้ว

 

ผีตานีเลียสองสามครั้ง เมื่อเห็นหุ่นฟางไม่ตอบโต้ใดๆ เธอก็พ้นควันสีเขียวไปที่หน้าของหุ่นฟางอีกครั้ง หลังจากนั้นก็พูดขี้นมาว่า “ พี่อ้าวเทียน ทําไมตัวพี่เหม็นขนาดนี้เนี่ย เราไปอาบน้ําด้วยกันก่อนดีไหม! ”

 

ขณะพูด ผีตานีตนนี้ก็เริ่มดึงตัวหุ่นฟางขึ้นมา

มันชัดเจนมาก ควันสีเขียวที่ออกจากปากผีตานี ต้องมีปัญหาอย่างแน่นอน

จะต้องเป็นเพราะควันนี้ หลงอ้าวเทียนเลยเสียสติ เปลี่ยนเป็นคนเหม่อลอยไม่รู้เนื้อรู้ตัว

ในเวลาเดียวกัน ผมและเหล่าเฟิงก็ส่งสัญญาณบอกให้หลงอ้าวเทียนพูด

ถึงหลงอ้าวเทียนจะกลัว แต่เขาก็พบกว่าซ่อนอยู่ตรงนี้ก็ไม่ได้มีอันตรายอะไร และไม่ได้กลัวเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว จึงพูดกับผีตานีที่อยู่ข้างนอกว่า “ ไม่ ไม่อาบแล้ว ฉันเหนื่อยมากจริงๆ พรุ่งนี้ค่อยมาเล่นกันใหม่นะ! นอนก่อนละ !”

 

หลังจากพูดจบ หลงอ้าวเทียนก็รูดซิปปากอีกครั้ง

ส่วนผีตานีตนนั้นก็อึ้งอีกรอบ เหมือนในปากจะเค้นเสียงดัง ฮึ จากนั้นก็ลุกขึ้นยืนทันที

 

ตอนนี้เธอกําลังยืนจ้องหุ่นฟาง ราวกับกําลังโกรธมาก แต่เธอก็ไม่ได้ทําอะไรอีก

 

หลังจากนั้นพักหนึ่ง ผีตานีตนนั้นถึงได้พูดว่า “ ก็ได้พี่อ้าวเทียน พรุ่งนี้ฉันจะมาหาพี่ใหม่นะ !”

พอพูดจบ ยัยนั่นยังหอมแก้มหุ่นฟางหนึ่งครั้ง หลังจากนั้นก็หมุนตัวออกไปทันที

เมื่อเห็นผีตานีไปแล้ว พวกเราก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก

 

เมื่อเป็นแบบนี้ วันนี้ก็ถือว่าผ่านพ้นไปได้แบบลวกๆแล้ว ขอแค่ผ่านไปอีกสองคืน

 

พวกเราก็ไม่ต้องเสียเลือด ใช้ผงชาดพิเศษบนตัวหุ่นฟางเป็นอาวุธสังหารผีตานีตนนั้นแทน

แต่วินาทีที่ผีตานีหมุนตัวออกจากบ้าน ฝั่งอาจารย์ก็มีการเคลื่อนไหวเช่นกัน

ตรงประตูบ้าน เขาทําบ่วงเชือกเอาไว้จํานวนหนึ่ง ปลายด้านหนึ่งของบ่วงเชือก ผูกกับเชือกแดงเอาไว้

นี่ทําไว้เป็นเครื่องหมายตามตัวผีตานี เมื่อพวกอาจารย์เห็นผีตานีออกไป และเท้าเหยียบโดนบ่วง เขาก็ไม่ลังเลเลยสักนิด ออกแรงกระตุกเชือกเส้นนั้นรัดที่ข้อเท้าของอีกฝ่ายทันที หลังจากนั้นเธอก็ลากเชือกแดงออกจากบ้านไป

 

วิธีแบบนี้ เป็นวิธีของคนรุ่นเก่า ที่ตกทอดมาสู่รุ่นของพวกเรา

ถึงต้นกล้วยต้นนี้จะบําเพ็ญจนบรรลุแล้ว แต่ดูเหมือนจะไม่มีสัมผัสที่ไวต่อเชือกแดง

 

ในเวลานี้เชือกแดงรัดอยู่ที่ข้อเท้า ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่รู้ตัว และไม่สังเกตเห็นแต่อย่างใด

พวกเรามองเชือกแดงลอยออกไปไกลเรื่อยๆ คิดว่าผีตานีตนนี้คงวิ่งออกไปไกลมากแล้ว

หลังจากผีตานีออกไปได้ประมาณหนึ่งนาที อาจารย์และคนอื่นๆก็ออกมาจากอีกทางด้านหนึ่ง

 

เมื่อเห็นอาจารย์ออกมา พวกเราก็คลานออกมาจากใต้โต๊ะ

พวกเราสามคนเพิ่งออกมา อาจารย์ก็พูดกับพวกเราว่า “ พวกแกรออยู่ที่บ้าน พวกเราจะตามไปดูว่ารังผีตานตัวนั้นอยู่ที่ไหน!

“ แล้วก็ ก่อนฟ้าสาง ห้ามแตะต้องหุ่นฟางตัวนี้เด็ดขาด! ” ท่านนักพรตตู๋พูดเพิ่ม

 

หลังจากพูดจบ ยังไม่รอให้พวกเราขานรับ อาจารย์และท่านนักพรตตู๋ก็ถือก้อนเชือกแดงที่เหลือน้อยนิด พร้อมพาเหล่าฉินวิ่งตรงออกไปจากบ้านทันที

หลังอาจารย์และคนอื่นๆไปแล้ว ในบ้านก็เหลือเพียงแค่พวกเราสามคน

 

หลงอ้าวเทียนใจสั่น หันมามองพวกเราสองคน “ ฉัน ฉันไม่เป็นอะไรแล้วใช่ไหม ? ”

 

เมื่อได้ยินเจ้าหมอนี่พูด ผมก็จ้องเขาอย่างดุร้าย ทันใดนั้นเองผมก็เค้นเสียงดัง ฮี กํามือแน่น แล้วต่อยไปที่หน้าเขาทันที

ได้ยินเพียงเสียงหลงอ้าวเทียนร้องดัง “ โอ๊ย ” แล้วก็ล้มลงไปนอนกับพื้นทันที

หลงอ้าวเทียนทําหน้าหวาดกลัว “ นัก นักพรตติง คุณ คุณต่อยผมทําไม? ”

ผมทําหน้าโมโห “ ตอนไปล่อผีตานีออกมา แกจินตนาการถึงใครละฮะ ? ต่อยแกคืนนี้ฉันต่อยแกไม่ได้เหรอ…”

เสียงเพิ่งเงียบลง ผมก็ยกเท้าขึ้นถีบเจ้าชายเจ้าสําราญคนนี้อีกครั้ง

เสี่ยวม่านเป็นเพื่อนสมัยเด็กคนเดียวของผม ตอนนี้ก็เป็นเพื่อนสนิทของผมด้วย

แต่เจ้าหมอนี่กลับเห็นเธอเป็นตัว “ บําเรอความใคร่ ” ดูหมิ่นเธอถึงขนาดนี้ ตอนนี้ผมเห็นเข้ากับตา

แล้วจะไม่ให้ผมโมโหได้ยังไง ?

ถึงตอนนี้จะฆ่าเขาไม่ได้ แต่ผมก็ไม่มีทางปล่อยเจ้าหมอนี่ไปง่ายๆอย่างแน่นอน……

 

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset