ศพ – ตอนที่ 293 เริ่มทํางานสองทาง

ตอนที่ 293 เริ่มทํางานสองทาง

ตอนนี้ในห้อง เหลือเพียงแค่พวกเราไม่กี่คน พวกหมอและพยาบาลโดนไล่ออกไปหมดแล้ว

 

อาจารย์ ท่านนักพรตต์ และคนอื่นๆมายืนอยู่ข้างเตียง แล้วเริ่มทําความเข้าใจกับสถานการณ์ของ

ซุนเสี่ยวหลินคนนี้

 

แต่เห็นได้ชัดว่าอาการของเจ้าซุนเสี่ยวหลินหนักกว่าหลงอ้าวเทียนมาก หลงอ่าวเทียนแค่มึนๆ ไม่รู้เนื้อรู้ตัว พอตื่นขึ้นมาแล้วก็ยังจําเหตุการณ์ได้นิดๆหน่อยๆ และมีความรู้สึกหวากกลัวผีตานี

แต่หลังซุนเสี่ยวหลินตื่นขึ้นมา เขาก็แทบจําเหตุการณ์ตั้งแต่ต้นไม่ได้เลย

 

หรือแม้แต่ไม่รู้ว่าตัวเองมาอยู่ที่โรงพยาบาลได้ยังไง ทําไมตัวเองถึงได้ผอมอย่างไร้สาเหตุแบบนี้ได้

 

สิ่งเดียวที่เขาจําได้คือ เมื่อครึ่งเดือนก่อน เขาและหลงอ่าวเทียนไปที่ชานเมืองทางด้านตะวันออกด้วยกัน

แต่ไปที่ชานเมืองตะวันออกทําไม หลังจากนั้นทําอะไรไปบ้างเขาก็จําไม่ได้เลยสักนิด

 

เขาสัมผัสได้รางๆว่าตัวเองนอนหลับไปนานมาก ฝันถึงอะไรบางสิ่งบางอย่างแต่ก็พูดไม่ออกว่าทําไมถึงเป็นแบบนี้

 

ซุนเสี่ยวหลินเห็นพวกเราเครียดถึงขนาดนี้ และตอนนี้แขนกับร่างของกายตัวเองยังหดเล็กลงขนาดนี้

 

จึงรู้สึกสงสัยมาก เลยถามพวกเราว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่

 

ในฐานะที่หลงอ่าวเทียนเป็นคนก่อเรื่องร่วมกัน จึงเล่าว่าช่วงนี้เกิดอะไรขึ้นและตอนนั้นพวกเขาไปทําอะไรมาบ้างให้ซุนเสี่ยวหลินฟังที่ละเรื่องๆ

 

ซุนเสี่ยวหลินพยายามคิดถึงเรื่องราวเมื่อก่อนหน้านี้แต่แล้วเขาก็พบกับอาการปวดหัวอย่างรุนแรง

แทบสลบ

 

เมื่อพวกอาจารย์เห็นแบบนั้น ก็ไม่ถามเขาต่อ เพียงบอกให้ซุนเสี่ยวหลินพักผ่อนเท่านั้น

พอพ่อแม่ของซุนเสี่ยวหลินเห็นสถานการณ์เป็นแบบนั้นก็ร้อนใจขึ้นมาทันทีถามพวกเราว่ามีวิธีช่วย

ซุนเสี่ยวหลินไหม ซุนเสี่ยวหลินจะความจําเสื่อมหรือเปล่า

 

แต่อาจารย์กลับพูดว่า แม้สถานการณ์ของซุนเสี่ยวหลินจะหนักกว่าหลงอ่าวเทียนหน่อย แต่ก็มีทางช่วยอยู่

 

ส่วนเรื่องความจําเสื่อม เขาน่าจะเหมือนกับหลงอ่าวเทียนเป็นเพราะโดนพลังปีศาจทําให้สูญเสียการควบคุมจิตใจไปขอแค่ไม่เข้าไปข้องเกี่ยวกับผีตานี อีกไม่นาน เขาก็จะเป็นเหมือนหลงอ่าวเทียนค่อยๆกลับมาจําได้อีกครั้ง และแน่นอนว่าร่างกายก็จะค่อยๆฟื้นกลับมาส่วนเรื่องจะฟื้นกลับมาเท่าไหร่ ตอนนี้ยังพูดยาก

 

เมื่อคุณซุนและคุณนายซุนได้ยินว่าลูกชายตัวเองมีทางรอดแล้วก็ดีใจจนลืมตัว

 

ผลที่โรงพยาบาลให้คือ ดูอาการวันต่อวันและยังบอกว่าซุนเสี่ยวหลินเหลือเวลาอีกไม่กี่วัน

 

แต่พวกเรากลับให้ความหวังพวกเขา ถึงแม้จะฟื้นกลับมาไม่ดีเหมือนเดิมแต่ขอแค่ซุนเสี่ยวหลินยังมีชีวิตอยู่ ในฐานะคนเป็นพ่อเป็น แม่อย่างพวกเขาก็คิดว่าคุ้มค่าแล้ว

ต่อจากนั้นก็รู้สึกขอบคุณพวกเรามาก ท่าที่ที่แสดงออกมาก็ดูจริงใจสุดๆเหมือนท่าทีของพ่อแม่หลงอ่าวเทียนเมื่อก่อนหน้านี้ไม่มีผิด

 

ต่อจากนั้น อาจารย์และท่านนักพรตต์ก็ลากผมและเหล่าเฟิงมาที่ระเบียง

 

ในเวลาเดียวกันก็ได้ยินอาจารย์ผมพูดกับพวกเราว่า “ เสี่ยวฝานเสี่ยวเฟิงสถานการณ์เปลี่ยน แผนก็ต้องเปลี่ยนด้วย คืนนี้พวกนายตามหลงอ่าวเทียนกลับไป ทําตามที่คุยกันเอาไว้เมื่อก่อนหน้านี้ พวกเราจะอยู่ที่นี่ รับมือกับผีตานีอีกตัว ! ”

 

“ ยังจะใช้หุ่นฟางแทนอีกเหรอครับ ? ” ผมถามต่อทันที

แต่ท่านนักพรตตู้กลับสายหัว “ ไม่แล้ว วิธีนี้คงจะไม่เหมาะกับที่นี่เท่าไหร่ดูจากระดับพลังหยางที่ซุนเสี่ยวหลินถูกดูดออกไปผีตานีต้นนี้ต้องร้ายกาจกว่าผีตัวเมื่อคืนแน่นอน ดังนั้นพวกเราคิดว่าจะใช้คนแทน

 

ซุนเสี่ยวหลิน มีเพียงแค่วิธีนี้เท่านั้น ถึงจะทําให้อีกฝ่ายหลงเชื่อได้ ”

 

เมื่อได้ยินท่านนักพรตติพูดถึงขนาดนั้น ผมและเหล่าเฟิงก็อดสูดหายใจเข้าไม่ได้

พวกอาจารย์จะเป็นเหยื่อเองแล้วถ้ามันล้มเหลวละ

“ อาจารย์ ถ้ามันล้มเหลวละจะทํายังไง ? ” เหล่าเฟิงขมวดคิ้วชิงพูดก่อนใคร

“ ถ้าล้มเหลว ก็ทําตามแผนสอง ใช้กําลังเข้าสู้ แต่พวกนายวางใจได้พวกเราไม่เป็นอะไรหรอก

 

พอพวกนายกลับไปแล้ว ก็ทําตามที่พวกเราคุยเอาไว้ ก่อนหน้านี้ก็พอ ! ” ท่านนักพรตต์พูดขึ้นมาอีกครั้ง

ผมและเหล่าเฟิงมองอาจารย์และท่านนักพรตตู้ด้วยความสับสนสองสามรอบเมื่อเห็นพวกเขาตัดสินใจแล้ว พวกเราก็ไม่รู้จะพูดอะไรดีจึงได้แต่พยักหน้าตกลงแล้วบอกให้พวกอาจารย์ระวังตัว กันให้ดีๆ

 

ตอนนี้ก็เย็นมากแล้ว พวกอาจารย์จะเตรียมงานต่อ พวกเราเลยไม่อยู่รบกวนพวกเขา บอกลาพวกเขา แล้วขอตัวกลับสกุลหลงก่อน

 

พวกอาจารย์ก็อธิบายสถานการณ์กับครอบครัวหลงเรียบร้อยแล้วบอกให้พวกเขาให้ความร่วมมือกับผมและเหล่าเฟิง

 

ครอบครัวหลงก็ไม่ได้พูดอะไรมากนัก พวกเราบอกยังไงพวกเขาก็ทําอย่างนั้น

ต่อจากนั้น พวกเราก็นั่งรถออกจากโรงพยาบาล กลับมาที่วิลล่าสกุลหลง

 

สิ่งที่ทําหลังกลับมาถึงบ้านคือ คุยเรื่องแผนการในคืนนี้กับหลงอ้าวเทียนและเรื่องที่ต้องระวังต่างๆ

หลงอ่าวเทียนมีประสบการณ์มาหนึ่งคืนแล้ว จึงเชื่อในฝีมือของพวกเราและให้ความร่วมมือกับพวกเราอย่างมาก

 

หลังกินมื้อเย็นเสร็จ พวกเราก็เดินไปส่งพ่อแม่ของหลงอ่าวเทียนหลังจากนั้นก็เช็คหุ่นฟาง เมื่อมั่นใจว่าทุกอย่างเรียบร้อยแล้วเราก็เริ่มรอผีตานีมาเยือนครั้งที่สอง

ครั้งนี้ พวกเรายังซ่อนอยู่ใต้โตที่มียันต์แปะเอาไว้เหมือนเดิม

เมื่อคืนหลงอ่าวเทียนกลัวจนตัวสั่น แต่คืนนี้ สถานการณ์ของเขาดีขึ้นเยอะถึงจะยังกลัวอยู่ แต่อย่างน้อยก็ไม่ได้นั่งกุมหัวตัวสั่นเหมือนเดิม

ฟ้าเริ่มมืดขึ้นเรื่อยๆในบ้านก็เริ่มมืดเช่นเดียวกัน

 

แต่พวกเราไม่กล้าพูดอะไร เพียงซ่อนอยู่ใต้โต๊ะชั่วโมงแล้วชั่วโมงเล่าจนกระทั่งถึงเวลาเที่ยงคืนครึ่ง

ประตูที่ถูกปิดสนิทก็ถูกเปิดออกอีกครั้ง

 

“ แอร็ด ” ขณะเสียงนี้ดังขึ้น ประตูบ้านก็เผยให้เห็นแสงที่ลอดส่องเป็นทาง

เมื่อได้ยินเสียงนี้ ผมและเหล่าเฟิงก็มีเอาน้ําตาวัวออกมาป้ายเปิดตาตัวเองเพื่อเพิ่มระยะการมองเห็น

 

ขณะที่ความรู้สึกเย็นๆปรากฏขึ้น ตาสวรรค์ก็เปิดออก ความมืดมิดในบ้านแจ่มชัดขึ้นมาในทันที

ผ่านช่องว่างผ้าคลุมโต๊ะ พวกเราเห็นผู้หญิงในชุดเซ็กซี่ ยั่วใจคนหนึ่งกําลังเดินด้วยส้นสูง “ ต๊อกต๊อกต๊อก” เข้ามาในบ้านท่าทางยั่วยวนร้อนแรงจนพาให้หลงไหล

คืนนี้ผีตานี ดูเซ็กซี่กว่าเมื่อคืนมีผลอย่างมากกับผู้ชาย

เพียงหน้าแบบนั้นเหมือนเสี่ยวม่านเป๊ะผมก็เลยรู้สึกเสียใจมาก

ผ่านไปไม่นาน ผีตานีตนนั้นก็มาอยู่ตรงหน้าโซฟา เห็นว่าเข้ามาใกล้หุ่นฟางตรงโซฟาแล้วเธอก็คลี่ยิ้มออกมาอย่างเย้ายวนแล้วตะโกนเสียงหวานชวนเคลิบเคลิ้ม “ พี่อ้าวเทียน ตื่นได้แล้ว !ควรลุกมาทําการบ้านได้แล้วนะ ”

 

เมื่อได้ยินคําพูดอบบนี้ บนหัวผมก็มีเส้นดําปกคลุมรู้สึกขยะแขยงสุดๆ

เฮ้อ เป็นปีศาจชั่วจริงๆ ในสมองมีแต่เรื่องอย่างว่า

 

แต่หุ่นฟางไม่ขยับ พวกเราเองก็ไม่ได้ส่งสัญญาณให้หลงอ้าวเทียนพูด

 

ผีตานีเห็นหุ่นฟางไม่ตื่นขึ้นมา เธอเลยขึ้นไปนั่งบนตัวของมันแล้วทําเหมือนเมื่อคืน พ่นควันสีเขียวใส่หน้าหุ่นฟาง

ต่อจากนั้น ก็จูบหุ่นฟางสองสามครั้ง ผลลัพธ์พอจูบลงไปก็มีผงชาดติดปากเธอมาด้วย

 

“ พี่อ้าวเทียน รีบตื่นเถอะ เมื่อวานพี่ทิ้งให้น้องนอนเหงาคนเดียวทั้งคืนคืนนี้พี่ต้องชดเชยให้นะ…”

 

เสียงชวนเคลิ้มมาก ทําให้คนติดกับได้อย่างง่ายดาย

แต่ในสายตาของพวกเรา กลับรับรู้ได้แต่ความหนาวเย็น

ในเวลาเดียวกัน ผมก็ใช้ศอกสะกิดหลงอ่าวเทียน ส่งสัญญาณให้เขาเริ่มพูด

หลงอ่าวเทียนก็ไม่รอช้า รีบพูดออกมาทันที “ ไม่ ไม่ไหว คืนนี้ฉันง่วงมากพรุ่งนี้พรุ่งนี้ละกันนะ !”

เสียงของหลงอ่าวเทียนเพิ่งเงียบลง ผีตานีตนนั้นก็อารมณ์เสียแล้วเธอกดหน้าลงต่ํา เสียงก็เริ่มแข็งก้าวขึ้นมาไม่น้อย “ ไม่ได้ ฉันจะ เอาคืนนี้ !พี่ดูซิคืนนี้ฉันแต่งตัวสวยขนาดนี้ แถมยังเซ็กซี่ด้วยนะ”

พอพูดจบ เธอก็เริ่มใช้แรงกับหุ่นฟาง

 

เกาะหุ่นฟางแน่น แล้วทําท่าทางน่ารังเกียจออกมา

 

ฉากนั้นทําให้ผมกับเหล่าเฟิงเขินกันเลยทีเดียว แต่ยิ่งเธอทําแบบนั้นผงชาดก็จะติดตัวเธอมากขึ้นเรื่อยๆ

และตายเร็วขึ้นเท่านั้น

 

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset