ศพ – ตอนที่ 295 คืนสุดท้าย

ศพ ตอนที่ 295 คืนสุดท้าย

ตอนที่ 295 คืนสุดท้าย

 

สําหรับผีตานีหยางเนิ่วตั้งตารอเลยทีเดียว เธอไม่ต่างจากพวกเราเมื่อก่อนหน้านี้มากนัก ล้วนอยากรู้ว่าผีตานีมีหน้าตาเป็นยังไง

 

แต่สิ่งที่เหนือความคาดหมายคือ ขณะเสียง “ ต๊อกต๊อกต๊อก” ดังขึ้นหยางเฉ่วก็เผยสีหน้าช็อกออกมาทันที

 

เพราะเธอพบว่า ผีตานีที่ออกมาปรากฏตัวในขณะนี้ มีหน้าตาเหมือนเสี่ยวม่านเป๊ะ

 

เมื่อเห็นหยางเฉ่วเป็นแบบนั้น พวกเราก็ไม่ได้แปลกใจอะไร

ใครจะไปคิดละว่า เจ้าหลงอ่าวเทียนจะใช้หน้าตาของเสี่ยวม่านล่อผีตานีออกมาได้แบบนี้

สิ่งเดียวที่พวกเธอมีต่างกัน คือตาคู่นั้น และบนร่างของผีตานีก็มีพลังชั่วร่ายแพร่ออกมาบางๆ

ดูเหมือนหยางเนิ่วจะยังไม่ค่อยอยากเชื่อ เธอหันมามองผมและเหล่าเฟิง

 

ในแววตาสงสัยของเธอ เขียนว่าไม่อยากเชื่อเอาไว้เต็มๆ

 

แต่ผมกลับพยักหน้า แล้วใช้เสียงที่มีพวกเราเท่านั้นที่ได้ยิน “ นี่ก็คือผีตานี ! ตอนเจ้าหมอนี่ไปล่อผีตานีออกมา ดันคิดถึงเสี่ยว ม่านนะ”

 

หยางเฉวอดสูดหายใจเข้าไม่ได้ จากนั้นก็หันไปจ้องหลงอ้าวเทียนทันที

แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาคุยกัน จึงทําได้แค่จ้องเท่านั้น

 

ผีตานี้มาที่หน้าหุ่นฟางอีกครั้ง เธอยังพูดคําพูดพวกนั้นพี่อ้าวเทียนควรตื่นมาทําการบ้านอะไรพวกนั้น

พวกเราฟังจนชินแล้ว แต่หยางเนิ่วกลับรู้สึกขนลุกเป็นพิเศษ

หลังจากพูดจบ ผีตานีก็ยังพ่นควันสีเขียวใส่หุ่นฟางสิ่งนี้คงเป็นควันลุ่มหลง ทําให้จิตใจของมนุษย์ปั่นป่วน

 

เพียงแต่เมื่อของสิ่งนี้มาคู่กับหุ่นฟางแล้ว มันกลับไม่ได้ผลอย่างเห็นได้ชัด

“ พี่อ้าวเทียน พวกเรามาเริ่มกันเลยเถอะ !”

ครั้งนี้หลงอ่าวเทียนไม่รอให้ผมสะกิด เขาตอบกลับผีตานีที่อยู่ข้างนอกทันที “ คืนนี้ไม่ไหวแล้ว ง่วงมากเลย พรุ่งนี้แล้วกันนะ !”

ผีตานี้ไม่ได้สูบพลังหยางมาสองคืนติดแล้ว เมื่อคืนนี้ได้ยินคําพูดแบบนี้อีกครั้งเธอก็เลิกคิ้วขึ้นทันที

 

แต่ปากยังคงพูดเสียงอ่อนเสียงหวาน “ ไม่เหรอ ! ฉันจะเอาวันนี้จะเอาวันนี้ ! เมื่อคืนเราไม่ได้คุยกันเอาไว้เหรอ ? ว่าจะทํากันจนฟ้าสางนะฉันเตรียมมาอย่างดีแล้วนะ !”

 

หลังจากพูดจบ ผีตานีตนนี้ก็เริ่มถอดเสื้อผ้าเผยให้เห็นผิวที่ขาวดุจหิมะ

 

หลงอ่าวเทียนพูดต่อทันที “ พรุ่งนี้เถอะ ! พรุ่งนี้พี่ต้องจัดให้แน่นอน ! ”

 

เมื่อผีตานีได้ยินคําพูดนี้ ก็โมโหขึ้นมาทันที จับหัวหุ่นฟางแน่นแล้วยัดเข้าไปที่หน้าอกของตัวเอง จากนั้นก็พูดออกมาอย่างดุดัน “ ไม่ได้ ต้องคืนนี้เลื่อนอีกไม่ได้แล้ว !”

ท่าทางแบบนั้นดูหิวมาก หรือจะเรียกว่าบ้าคลั่งเลยก็ได้

 

แต่หุ่นฟางยังไงก็คือหุ่นฟาง ไม่ว่าผีตานี้จะทํายังไง มันก็เป็นแค่หุ่นฟาง

ผมส่งสัญญาณให้หลงอ่าวเทียนพูดต่อ หลงอ่าวเทียนไม่ได้เปิดตาจึงเห็นแค่เงารางๆเท่านั้น

ตอนนี้เขาไม่ได้สนอะไรมาก ขยับปากพูดต่อทันที “ ไม่ไหวแล้วพรุ่งนี้เถอะ ! พรุ่งนี้พี่จะทําให้เธอสมปรารถนาทุกอย่างเลย ! ”

ผีตานียังข่วนบนตัวหุ่นฟาง เห็นได้ชัดว่าเธอจนปัญญาแล้วไม่ว่าเธอจะทํายังไงเธอก็ไม่อาจทําให้อีกฝ่ายตอบสนองเธอได้เลยสักนิด

แต่เพื่อดูดพลังหยางให้ได้มากกว่าเดิม และยึดชีวิตของหลงอ้าวเทียนจึงต้องใช้วิธีนี้เท่านั้นถึงจะทําให้ได้พลังขั้นสูงสุด บรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ไม่อย่างนั้นผีตานีตนนี้คงกัดหลงอ่าวเทียนตายไปนาน

แล้ว

ภายใต้เหตุผลนี้ หลังจากผีตานีลองพยายามอ่อยอีกสองสามครั้งท้ายที่สุดเธอก็ต้องยอมแพ้ แล้วเลือกมาหาใหม่ในวันพรุ่งนี้

 

เธอค่อยๆลุกขึ้น บนตัวมีผงชาดเปื้อนเต็มไปหมด แต่เธอไม่เห็นพวกมันเลยสักนิด

แต่เห็นได้ชัดว่าตอนนี้เธอกําลังโกรธมาก เธอจ้องหุ่นฟางตาไม่กระพริบ “ ไร้น้ํายาจริงๆ ถ้าพรุ่งนี้ยังไม่ทําให้ฉันพอใจอีกฉันจะไม่ทนอีกต่อไป ! ”

พอพูดจบ ผีตานีก็พ่นควันสีเขียวใส่หุ่นฟางอีกครั้ง จากนั้นก็เค้นเสียงดังฮีแล้วหมุนตัวออกไปทันที

 

เมื่อเห็นฉากนี้ พวกเราก็รู้สึกดีใจสุดๆ ไม่ได้สนใจคําพูดของเธอเลยแม้แต่น้อย

 

พรุ่งนี้งั้นเหรอ ? พอกลับไปแล้ว เธอยังมีพรุ่งนี้อีกเหรอฮะ

 

ขอแค่ถึงพรุ่งนี้เช้า พระอาทิตย์ขึ้นเมื่อไหร่ ผงชาดที่ติดตามตัวผีตานีก็จะออกฤทธิ์แล้ว

 

อย่าพูดถึงคืนพรุ่งนี้เลย เธอจะมีชีวิตอยู่ถึงพรุ่งนี้เที่ยงหรือเปล่าก็ยังไม่รู้แล้ว

หลังจากทํางานหนักมาสองวัน เห็นได้ชัดว่าทุกคนรอให้ผีตานีออกไปสุดๆ

 

แต่ในช่วงเวลาสุดท้ายแบบนี้ เป็นธรรมดาที่พวกเราต้องข่มอารมณ์เอาไว้ถึงจะตื่นเต้นขนาดไหน

 

พวกเราก็ไม่ได้ส่งเสียงออกมาแม้แต่น้อย

 

ส่วนผีตานี หลังจากจ้องหุ่นฟางสักพัก เธอก็หมุนตัวออกไปด้วยความจนปัญญาและโมโหไม่น้อย

 

“ ต๊อกตอกต๊อก” เสียงส้นสูงดังขึ้น ผีตานีออกจากบ้านอย่าง รวดเร็ว

เมื่อเห็นภาพนี้ ทุกคนก็ถอนหายใจออกมาทันที

ในที่สุดก็จบแล้ว แต่เพื่อเหตุไม่คาดคิด พวกเราจึงยังซ่อนอยู่ใต้โต๊ะอีกสองชั่วโมง

เพราะหลังจากผ่านไปสองชั่วโมงแล้ว ก็จะเป็นเวลาไก่ขัน สิ่งชั่วร้ายพวกนี้ มักจะหลีกเลี่ยงช่วงเวลานี้ที่สุด

 

อีกเหตุผล คือเพื่อป้องกันไม่ให้สถานการณ์พลิกกลางคัน ทําให้งานที่ทํามาล้มในตอนสุดท้าย

 

เห็นได้ชัดว่าทุกคนกําลังอารมณ์ดีมาก แต่ก็ต้องทําตามกติกาที่กําหนดเอาไว้ก่อนหน้านี้ ทุกคนต่างรู้ดีแก่ใจ ไม่มีใครล้ําเส้นเลยสักคนเพียงรอให้เวลาผ่านไปอีกสองชั่วโมงอย่างเงียบๆ

แต่ เวลาเพิ่งผ่านไปไม่ถึงครึ่งชั่วโมง เหตุการณ์ไม่คาดคิดก็เกิด

ขึ้น

 

ประตูบ้านที่ปิดไว้ จู่ๆก็มีเสียงดัง “ แอ๊ด ”

 

ในบ้านที่เงียบสงัด เสียงนี้ถือว่าดังมาก

ใจที่เคยสงบของทุกคน กลับมาเต้นแรงอีกครั้ง เผยให้เห็นความกังวลเล็กน้อย

ฮี ยัยผีตานีนั่นคงไม่ได้กลับมาอีกรอบหรอกนะ

ผมสงสัยในใจ แต่ก็มองออกไปที่ประตู ผ่านช่องว่างของผ้าคลุม

ประตูบ้านค่อยๆเปิดออก หลังจากนั้นก็เห็นหัวของใครบางคนโผล่เข้ามามองสํารวจข้างใน จากนั้นก็มีผู้หญิงวัยกลางคนคนหนึ่งเดินเข้ามาอย่างระมัดระวัง

 

ผู้หญิงคนนั้นเพิ่งเข้ามา ผู้ชายวัยกลางคนอีกคนก็เดินตามมาติดๆ

 

เมื่อเห็นสิ่งนี้ ในใจของพวกเราก็มีเสียงดัง “ อีก ”

นี้ นี่มันสองสามีสกุลหลงนิ คุณหลงกับคุณนายหลง ทําไมพวกเขาถึงมาที่นี่ในเวลานี้ละ ?

ตอนแรกพวกเรายังไม่ได้ผลีพลามออกไป กลัวจะเป็นภาพลวงตาของผีตานีจึงรอบคอบเอาไว้ก่อน

 

สุดท้ายหลังจากสังเกตดูสองสามครั้ง เราก็คิดว่าพวกเขาต้องเป็นสองสามีสกุลหลงแน่นอน

 

และพวกเขาเพิ่งเข้ามาในบ้าน คุณนายหลงก็ตะโกนเบาๆว่า “ เสี่ยวเทียนเสี่ยวเทียน ท่านนักพรตเสี่ยวติง ท่านนักพรตเสี่ยวเฟิงผีตานตัวนั้นไปแล้วเมื่อกี้พวกเราเห็นกับตา ”

เมื่อได้ยินคําพูดนี้ ผมก็กลอกตาทันที

ในบ้านมีคนอื่นเข้ามาแล้ว วงเวทย์โดนทําลาย ซ่อนอยู่ใต้โต๊ะต่อไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา

 

ตอนนี้ดูเหมือน ต้องภาวนาขอให้ผีตานตัวนั้นไปได้ไกลแล้วเท่านั้น

ต่อจากนั้นผมก็เลิกผ้าคลุมโต๊ะขึ้นแล้วพูดว่า “ พวกคุณมาทําอะไรที่นี่ ? ใครให้พวกคุณมาตอนนี้ คําพูดเมื่อตอนกลางวันพวกคุณกันหมดแล้วเหรอ ? ”

 

ผมค่อนข้างโมโห ทั้งหมดนี้มันเป็นเรื่องไร้สาระทั้งนั้น

ขณะพูด ผม เหล่าเฟิง และหยางเฉ้วค่อยๆคลานออกมาจากใต้โต๊ะ

 

แต่ เผื่อเหตุฉุกเฉิน ผมยังให้หลงอ่าวเทียนซ่อนอยู่ใต้โต๊ะต่อ

ผมคิดว่า ถึงวงเวทย์จะถูกทําลายแล้ว หุ่นฟางไม่อาจหลอกผีตานีได้อีกแต่ขอแค่หลงอ่าวเทียนยังอยู่ใต้โต๊ะ ถึงผีตานีตนนั้นจะกลับมาจู่โจมอย่างกระทันหันเธอก็จะไม่รู้ว่าเขาอยู่ตรงไหน

 

ผลลัพธ์ไม่รอให้พวกเราพูด คุณหลงก็เปิดไฟในห้องรับแขกแล้ว

 

เพิ่งเฉ้วหานเห็นอีกฝ่ายเปิดไฟ จึงขมวดคิ้วแล้วพูดออกมาทันที “ทําอะไร ? ใครบอกให้พวกคุณเปิดไฟ

 

รีบปิดไฟเดี๋ยวนี้ ! ”

คุณหลงตะลึง แต่ก็รีบปิดไฟในห้องทันที

 

ในเวลาเดียวกัน คุณนายหลงกลับหัวเราะคิกคัก “ ท่านนักพรตเสี่ยวเฟิง ท่านนักพรตเสี่ยวติง พวกคุณไม่ต้องเครียดขนาดนั้นก่อนหน้านี้พวกเราซ่อนอยู่ข้างนอก เห็นผีตานีตัวนั้นออกไปแล้วไม่อย่างนั้นพวกเราไม่เข้ามาหรอก พวกคุณวางใจเถอะ ! ปลอดภัยแล้ว ! พวกคุณนี่เก่งจริงๆ ผ่านคืนนี้ไปลูกเราก็จะไม่เป็นอะไรแล้ว ”

คุณนางหลงพูดอย่างมั่นอกมั่นใจ หัวเราะอย่างมีความสุข ไม่เห็นว่าอยู่ในช่วงเวลาสําคัญเลยสักนิด

 

แต่ใครจะรู้เสียงของเธอเพิ่งเงียบลง ประตูบ้านที่เคยปิดสนิท ก็มีเสียงเบิดดัง “ ปัง ”

ทันใดนั้นเองสายลมอันชั่วร้ายก็พัดเข้ามาในบ้าน ในเวลาเดียวกัน เสียงอันเย็นชาของผู้หญิงคนหนึ่งก็ดังขึ้น “ ถึงว่าควันหลงไหลของฉันใช้ไม่ได้ผล ที่แท้ก็มีเลศนัยจริงๆด้วย ที่แท้พวกแกก็เล่น

ลูกไม้

 

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset