ศพ – ตอนที่ 296 รู้ทัน

 

ตอนที่ 296 รู้ทัน

 

พวกเรายังไม่ทันหันมา จู่ๆที่หน้าประตูก็มีเรื่องแปลกๆเกิดขึ้น มันจึงทําให้พวกเราใจสั่นทันที

 

โดยเฉพาะเสียงนี้ มันทําให้ผมตัวชาไปครึ่งหนึ่ง

 

เพราะเสียงที่เย็นชาแบบนี้ เห็นได้ชัดว่าเป็นเสียงของผีตานีตนนั้น

 

ผมหันไปมองด้วยความตกใจ เป็นอย่างที่คิด หน้าประตูมีผู้หญิงหน้าตาสะสวยยืนอยู่หนึ่งคน

 

เพียงแค่ดวงตาของผู้หญิงคนนี้ เป็นสีเขียว และยังเปล่งแสงแปลกๆออกมา

 

ภายใต้ดวงตาสวรรค์ บนร่างกายของอีกฝ่ายแพร่พลังชั่วร้ายออกมาจางๆ

 

กลัวอะไรได้อย่างนั้นจริงๆ ผีตานีวกกลับมาเล่นงานพวกเราอย่างไม่ให้ทันตั้งตัว

 

พวกเราสองสามคนยังพอว่า เพราะเตรียมใจเอาไว้แล้ว และ หลงอ้าวเทียนก็ยังซ่อนอยู่ใต้โต๊ะ

 

ตอนนี้นอกจากตกใจแล้ว ก็ไม่ได้กลัวจนเสียสติ

 

แต่คุณหลงและคุณนายหลง เป็นแค่คนธรรมดา จู่ๆก็มีเหตุการณ์แปลกๆเกิดขึ้น และยังเห็นดวงตาสีเขียวสว่างอย่างกระทันหัน พวกเขาจึงตกใจจนสติหลุดทันที

 

คุณนายหลงร้อง “ อร้าย” ออกมาทันที เธอถอยไปข้างหลงเรื่อยๆ หน้าเต็มไปด้วยความตกใจและไม่อยากเชื่อในสิ่งที่เห็นตรงหน้า

 

ส่วนผีตานีที่ยืนอยู่หน้าประตู กลับหัวเราะ “ ฮิฮิฮี ” อย่างน่าขนลุก ในเวลาเดียวกันเธอก็อ้าปาก แล้วบ่นพึมพําว่า “ พวกแก เอาหัวใจดวงน้อยของฉันไปซ่อนไว้ที่ไหนแล้วฮะ ?”

 

พอพูดจบ ลิ้นสีเขียวยาวๆลื่นๆ ก็เริ่มยืดออกมาจากปาก แถมมันยังยาวขึ้นเรื่อยๆ จนดูเหมือนกับลิ้นของสัตว์ประหลาด และในขณะเดียวกันก็ยังมีน้ําสีเขียวหยดลงมาตลอด

 

แม้จะไม่ได้เปิดไฟ แต่พระจันทร์ในคืนนี้สว่างมาก ผีตานีตนนั้นยังยืนอยู่หน้าประตู

 

ดังนั้น สองสามีภรรยาสกุลหลงจึงเห็นฉากนี้เต็มสองตา

 

คุณหลงตกใจจนตัวสั่น วินาทีนั้นเขาพูดไม่ออกทันที

 

ส่วนคุณนายหลงทนไม่ไหว สุดท้ายหลังจากกลอกตา เธอก็สลบในทันที

 

แม้คุณหลงจะกลัว แต่เมื่อเห็นภรรยาตัวเองล้มสลบไปแล้ว ก็ยังรีบวิ่งเข้าไปประคองทันที “ คุณ คุณ….”

 

ผลลัพธ์หลังจากคุณหลงตะโกนออกมาสองครั้ง หลงอ้าวเทียนที่ซ่อนตัวอยู่ใต้โต๊ะก็เห็นแม่ตัวเองสลบไป

 

จึงไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น รีบพุ่งออกมาทันที

 

“ แม่ ! แม่…”

 

จู่ๆก็เห็นหลงอ้าวเทียนพุ่งออกมา ผมนี้ใจฝ่อเลยทีเดียว แอบพูดในใจว่าจบกัน

 

เมื่อกี้ยังมียันต์บังตาเอาไว้ ถึงผีตานีจะรู้ทันแล้ว แต่ก็ไม่มีทางหาที่ซ่อนของหลงอ่าวเทียนเจอในครึ่งชั่วโมงแน่นอน

 

แต่ตอนนี้ เจ้าหมอนี่กลับออกมาดื้อๆ นี่มันไม่เหมือนมาถวายตัวถึงที่เหรอ ?

 

เป็นอย่างที่คิด พอผีตานีตนนั้นเห็นหลงอ้าวเทียน เธอก็หัวเราะ “ ฮีฮีฮี” อย่างน่าขนลุก หลังจากนั้นก็ตามด้วยเสียงยั่วยวน “ พี่อ้าวเทียน ที่แท้พี่ก็ซ่อนอยู่ที่นี่ ให้ฉันหาตั้งนาน ! ”

 

หลงอ้าวเทียนเข้าไปประคองแม่ตัวเอง พอเห็นผีตานีพูดได้น่ารังเกียจแบบนั้น ก็โต้กลับทันที “ พอแม่แกซิ ! อีนางตานีสมควรตาย รอให้ถึงพรุ่งนี้ก่อนเถอะฉันจะเอาไฟไปเผาป่ากล้วยเขตทิศตะวันออกให้หมด ! ”

 

เมื่อผีตานีได้ยินคําพูดนี้ ก็หน้าเปลี่ยนสี ดึงหน้าลงทันที “ ไอ้คน หลายใจ ! ดูเหมือนฉันจะให้แกอยู่นานไปแล้ว ! คืนนี้ฉันจะดูดพลังหยางของแกให้หมด”

 

หลังจากพูดจบ ผีตานีก็ไม่สนใจผม เหล่าเฟิง และหยางเฉ่วที่ขวางอยู่ข้างหน้าเลย ลิ้นยืดยาวอันนั้น

 

พุ่งไปหาหลงอ้าวเทียนอย่างรวดเร็ว

 

เมื่อเห็นผีตานีเริ่มโจมตี ก็ไม่มีอะไรต้องคุยกันแล้ว ผมทําหน้าเข้ม แล้วพูดขึ้นทันที “ ลุย !”

 

พอพูดจบ พวกเราสามคนก็ลงมือพร้อมกัน ดึงดาบไม้ออกมา แล้วเล็งไปที่ผีตานีทันที

 

ผีตานีตนนี้ก็ร้ายกาจ วิญญาณต้นกล้วยที่บรรลุแล้ว ไม่เพียงสามารถควบคุมจิตใจคนได้ แต่ยังสามารถทําให้พ่นควันลุ่มหลงออกมาได้

 

หากโดนเข้าไป จะกลายเป็นเหมือนหลงอ้าวเทียนและซุนเสี่ยวหลินในตอนแรกเริ่ม ถูกควบคุมจิตใจ หรือแม้แต่ความจําเสื่อม

 

ผมเข้าไปปะทะคนแรก กวัดกวาดดาบใส่ผีตานี

 

ผลลัพธ์ผีตานีตนนั้นก็ยกมือขึ้น ทันใดนั้นแสงสีเขียวก็ปรากฏขึ้น มือของเธอเปลี่ยนเป็นต้นกล้วยในชั่วพริบตา แถมขนาดของมันยังหนากว่าเอวผมซะอีก

 

ต้นกล้วยใหญ่ขนาดนี้กวาดเข้ามาในแนวนอน ผมตกใจ จึงรีบ เอาดาบในมือไปต้านเอาไว้ทันที

 

แต่ดาบไม้จะไปต้านต้นกล้วยที่ใหญ่ขนาดนั้นได้ยังไง ?

 

ทันใดนั้นเสียง “ ปัง ” ก็ดังขึ้น ผมสัมผัสได้แค่พละกําลังที่มหาศาล เหมือนกับโดนรถบรรทุกพุ่งชน

 

ตัวผมกระเด็นออกไปทันที โชคดีที่สุดท้ายไปหล่นกระแทกเข้ากับโซฟา

 

“ เหล่าติง ! ”

 

“ ติงฝาน ! ”

 

เหล่าเฟิงและหยางเฉ่วประสานเสียง พวกเขาโมโหสุดๆ รีบกวัดแกว่งดาบเข้าไปสังหารทันที

 

ผีตานีตนนี้ก็กล้าผิดปกติ ภายนอกดูอ้อนแอ้นบอบบาง แต่กลับแกว่งต้นกล้วยสองต้นที่ยาวกว่าสองเมตร

 

ได้อย่างใจคิด

 

พวกเราไม่สามารถเข้าใกล้ได้เลย ลําบากมากๆ

 

“ พลังอย่างพวกแก ยังคิดจะมาทําลายเรื่องดีๆของฉันอีกเหรอฮะ ? รนหาที่ตายจริงๆ ! ” ผีตานีพูดด้วยความโมโห แกว่งต้นกล้วยยักษ์ เข้ามาในบ้านอย่างบ้าคลั่ง

 

แม้อีกฝ่ายจะร้ายกาจ แต่พวกเราก็ไม่ได้ยอมแพ้ ต่างพยายามต่อต้านและโจมตีอย่างต่อเนื่อง

 

ครอบครัวสกุลหลงตกใจจนเสียสติแล้ว ตอนนี้พวกเขาอุ้มคุณนายหลงไปชิดติดมุมกําแพง มองเหตุการณ์ตรงหน้าด้วยความหวาดกลัว

 

ผีตานีตนนั้นดุร้ายมาก นอกจากแขนต้นกล้วยยักษ์กวัดแกว่งไปมาแล้ว หากพวกเราเข้าไปประชิดเธอได้

 

เธอก็จะพ่นควันสีเขียวออกมาทันที

 

พวกเราจึงจําใจต้องถอยออกมาอีกครั้ง และไม่กล้าลุยเข้าไปมั่วๆ

 

หลังจากสู้กันมาได้ประมาณสิบนาที่กว่า พวกเราสามคนก็ถูกผีตานีฟาดกระเด็นอีกครั้ง แต่ยังโชคดีที่ไม่ได้บาดเจ็บหนัก

 

ส่วนผีตานีกลับหยิ่งผยองยิ่งกว่าอะไร โห่ร้องต่างๆนานา ทําท่าอย่างกับกําลังเล่นกับพวกเราก็ไม่ปาน

 

ยังบอกว่ารออีกเดี๋ยวจะจับพวกเรา แล้วจะดูดพลังหยางจากพวกเราที่ละคนๆ ทําให้พวกเรากลายเป็นซากศพ

 

แต่สิ่งที่ผีตานีคิดไม่ถึงคือ ต่อจากนั้นสิบนาที เธอกลับรู้สึกถึงความผิดปกติบางอย่าง

 

เธอเริ่มหายใจหอบเหนื่อย ในเวลาเดียวกันพลังของเธอก็ถูกกดเอาไว้ เริ่มรู้สึกเจ็บปวดร่างกาย

 

เธอเริ่มขยับต้นกล้วยยักษ์ไม่ไหวแล้ว เห็นได้ชัดว่าเธอกําลังทรมานมาก

 

เมื่อเห็นภาพนี้ ท่าทางตึงเครียดของผม เริ่มมีรอยยิ้มปรากฏขึ้นที่ใบหน้า

 

“ เป็นอะไรไป ? ไม่มีพลังแล้วเหรอ ? ทรมานมากใช่ไหมละ ? เคลื่อนพลังไม่ได้ซินะ ?” ผมเยาะเย้ย

 

ผีตานีถอยไปสองก้าว เธอเริ่มทรมานขึ้นเรื่อยๆ หรือแม้แต่ “ เฮือก ” กระอักเลือดออกมา

 

มือกลับมาเป็นเหมือนเดิมอีกครั้ง เธอเอามือกุมหน้าอกเอาไว้ จากนั้นก็หันมาจ้องเราอย่างดุร้าย

 

“ พวกแก พวกแกทําอะไรฉัน ? ”

 

“ ของที่ทําให้แกตายได้ไง !” ผมพูดอย่างเย็นชา

 

จากนั้นเองผีตานี ก็กวาดสายตามองหุ่นฟางที่ล้มอยู่ข้างๆ ทันใดนั้นเองเธอก็เห็นว่าบนตัวหุ่นเต็มไปด้วยผงชาด

 

วินาทีนั้น ผีตานีก็หน้าถอดสีทันที เผยให้เห็นใบหน้าที่หวาดกลัว “ ผง ผงชาด ! ”

 

“ ฮึ! รู้เอาปานนี้ก็สายไปแล้ว !” จู่ๆเหล่าเฟิงก็ตะคอกออกมา ไม่เสียเวลาพูดกับอีกฝ่ายมากนัก ต่อจากนั้นเขาก็ยกดาบขึ้นเข้าไปสังหารทันที

 

ผีตานีเห็นเหล่าเพิ่งจะเข้ามาฆ่าตน จึงเผยสีหน้าหวาดกลัว แล้วรีบยกมือต้านเอาไว้ทันที

 

ช่วงเวลาที่ยกมือขึ้น แสงสีเขียวก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง แต่ครั้งนี้มันกลับไม่ใช่ต้นกล้วย แต่เป็นใบตองแทน

 

เธอใช้ใบตองเป็นโล่ ต้านเพิ่งเฉ้วหานเอาไว้

 

และใบตองที่เปราะบางในวันธรรมดา ตอนนี้มันกลับแข็งแรงผิดปกติ อย่างกับโล่จริงๆอย่างงั้นแหละ

 

ได้ยินเพียงเสียงดัง “ ปัก ” มันสามารถกันดาบของเหล่าเฟิงเอาไว้ได้จริงๆ

 

แต่ผีตานีกลับตกใจจนถอยไปหลายก้าว ท่าทางแทบยืนไม่อยู่หรือแม้แต่กระอักเลือดออกมา เห็นได้ชัดว่าผงชาดทําให้เธอบาดเจ็บหนัก บวกกับการสู้กับพวกเรา ทําให้พิษกําเริบก่อนเวลาที่กําหนด

 

เมื่อผมและหยางเฉ่วเห็นสถานการณ์แบบนั้น ก็เป็นธรรมดาที่จะไม่ปล่อยโอกาสนี้ให้ผ่านไปง่ายๆ

 

พวกเราก็เข้าไปซ้ําต่อทันที

แต่ผีตานีตนนี้ก็ไม่ได้โง่ เธอรู้ว่าถ้ายังสู้ต่อไป ตัวเองจะไม่มีจุดจบที่ดีแน่

 

วินาทีที่พวกเราเข้าไป ผีตานีตนนี้ก็ตะโกนออกมาว่า “ ฉันจะกลับมาแก้แค้นพวกแกที่หลัง !”

 

พอพูดจบ เธอก็ไม่ลังเลแต่อย่างใด หมุนตัววิ่งออกไปจากวิลล่าทันที การเคลื่อนไหวเร็วมากราวกับแสงสีเขียวเส้นหนึ่งเลยก็ว่าได้……

 

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset