ศพ – ตอนที่ 299 เข้าปากล้วย

ตอนที่ 299 เข้าปากล้วย

 

ป่ากล้วยผืนนี้อยู่ติดกับภูเขา รอบๆไม่มีบ้านคน เป็นป่าประเภทค่อนข้างไกลผู้คนเป็นพิเศษ

 

ไม่ใช่แค่นี้ ในป่ากล้วย ยังมืดและรกทึบ มีงูหนูมดแมลงและ สัตว์พิษต่างๆอยู่เพียบ นอกจากจะดึงดูดนักท่องเที่ยวบางกลุ่มได้แล้ว ก็ไม่มีใครเข้ามาที่นี่อีก

 

และคืนนี้ พวกเราไม่ได้แค่เข้าไปเฉยๆ แต่ยังต้องจัดการผีตานี สามตนในป่านั้นอีกด้วย

 

ไม่อย่างนั้นพอผีสามตนนี้บําเพ็ญสําเร็จแล้ว จะต้องเป็นตัวหายนะอย่างแน่นอน

 

พอถึงเวลานั้น เก้าในสิบคนที่เดินผ่านไปผ่านมาแถวนี้ ก็คงโดนผีตานีพวกนี้ดึงดูดเข้ามา แล้วสุดท้ายก็โดนดูดพลังหยางจนตาย

 

ตอนนี้พวกมันเพิ่งตื่นขึ้นมา หากเทียบกันแล้วยังจัดการง่ายอยู่ แต่ถ้ารอให้มันดูดพลังหยางได้มากพอ

 

แล้วคิดจะสู้กับมันในตอนนั้น สถานการณ์ก็คงเปลี่ยนเป็นยากลําบากมาก

 

หลังสูดหายใจเข้าลึกๆแล้ว ผมก็พยักหน้าให้อาจารย์และคนอื่นๆ

 

อาจารย์เห็นพวกเราพร้อมแล้ว เลยพูดเตือนอีกเล็กน้อย “ เปิดตากันให้หมด พอเข้าไปแล้วอย่าแยกกันเด็ดขาด ทําอะไรก็ระวังให้ดีๆ ! อย่าเดินไปไหนมาไหนตุ่มสี่สุ่มห้า ”

 

“ เข้าใจแล้วอาจารย์ !” ผมพยักหน้ารับ เหล่าเฟิงและหยางเฉ่ว ไม่มัวพูดไร้สาระ ต่างคนต่างเปิดตาตัวเองทันที

 

หลังเปิดตาเสร็จ ทุกคนก็ไม่พูดพร่ําทําเพลง ภายใต้การนําของพวกอาจารย์ เราก็เดินไปที่ป่ากล้วย

 

จากข้อมูลที่หลงอ่าวเทียนและซุนเสี่ยวหลินบอก ผีตานีที่พวกเขาไปยุ่งด้วย อยู่ในส่วนลึกของปากล้วยผืนนี้

 

เรื่องตําแหน่งและทิศทาง พวกเรามั่นใจพอสมควร เพียงแต่ต้นกล้วยของผีตานีต้นสุดท้ายอยู่ที่ไหนนั้น ตอนนี้พวกเรายังไม่รู้อะไรเลย

 

แต่ตามแผนของพวกเรา พวกเราเลือกจะจัดการที่ละตัว ตัวแรกสุดก็คือผีตานีของหลงอ้าวเทียน

 

จัดการจากอ่อนไปแข็ง

 

เพราะผีตานีตนนี้โดนผงชาดเล่นงานไปไม่น้อย แม้จะรู้ตัวก่อนพิษจะกําเริบโดยสมบูรณ์แต่ผงชาดก็ทําให้เธอบาดเจ็บแน่นอน

 

ตอนนี้ ในบรรดาผีตานีทั้งสามตน เธอเป็นตัวที่อ่อนแอที่สุด

 

และยังโดนพวกเราเอาเชือกแดงหมายเอาไว้ จึงจัดว่าเป็นตัวที่หาง่ายที่สุด และยังเลี่ยงการสู้กับผีตานีสามตนในเวลาเดียวกันอีกได้

 

เมื่อเป็นแบบนี้ เราก็จะสามารถปกป้องตัวเองได้มากที่สุด ในเวลาเดียวกันโอกาสที่จะเอาชนะได้ก็จะมีมากตามไปด้วย

 

เมื่อเดินมาถึงหน้าปากล้วย ผมสัมผัสได้แค่เพียงในปาผืนนี้มีความซับซ้อนบางอย่างซ่อนอยู่

 

หมอกขาวลอยละล่อง และภายใต้ดวงตาสวรรค์ ผมเห็นไอปีศาจจางๆ

 

ยิ่งเดินเข้าไปข้างใน ไอปีศาจก็ยิ่งเข้มขึ้น

 

ความรู้สึกแบบนั้นทําให้คนรู้สึกหวาดกลัว ถ้าคนธรรมดาเข้ามาที่นี่ เปื้อนไอปีศาจเข้าไปสัญชาตญาณจะรับรู้ได้ถึงความหวาดกลัว ใจสั่น หรือแม้แต่เป็นลมเลยก็ว่าได้ และยังทําให้จิตใจสับสนวุ่นวายอีกด้วย

 

หลงอ่าวเทียนเคยพูดว่า ผีตานีที่เขาไปยุ่งด้วย จากจุดที่เดินเข้าไป เขาก็เดินตรงไปตลอดจนกระทั่งเห็น

 

หินก้อนใหญ่ก้อนหนึ่ง พอเดินผ่านหินก้อนนั้นไปแล้วก็เดินต่อไปอีกสักพัก ก็จะถึงที่หมายแล้ว

 

และตอนนี้ ตรงหน้าของเราก็มีหินก้อนใหญ่ก้อนหนึ่งตั้งอยู่

 

บนหินก้อนนั้นเต็มไปด้วยมอส และวัชพืชชนิดต่างๆ

 

ทุกคนหยุดพักกันตรงนี้ครู่หนึ่ง หลังจากนั้นเราก็ได้ยินเสียงเหล่าฉันพูดว่า “ นี่คงเป็นหินก้อนใหญ่ที่เจ้าเด็กแซ่หลงบอกดูเหมือนเรา ใกล้จะหาผีตานีตัวแรกเจอแล้วซินะ !”

 

เสียงของเหล่าฉันเพิ่งเงียบ จู่ๆเหล่าเฟิงก็เดินออกมาจากกอหญ้าข้างๆ เขาเจอเชือกแดงเส้นหนึ่ง

 

“ อาจารย์ ท่านลุงติง ท่านลุงฉินพวกท่านดูนี่ซิ ! ”

 

พอพูดจบ เขาก็ถือเชือกแดงออกมา

 

พวกเราจ้องเชือกแดงเส้นนั้น แต่ละคนต่างมั่นใจกันทั้งนั้น “ นี่มันไม่ใช่เชือกแดงที่นายซื้อมาวันนั้นเหรอ ?”

 

ผมพูดด้วยความสงสัย เหล่าเฟิงพยักหน้าเล็กน้อย “ ใช่ เป็นแบบที่ฉันซื้อมา ตอนนี้ดูเหมือนขอแค่เราตามเชือกแดงเส้นนี้ ไปก็น่าจะหาผีตานีตัวนั้นเจอแล้ว !”

 

อาจารย์ ท่านนักพรตตูและคนอื่นๆต่างพยักหน้าในเวลาเดียวกันก็ส่งสัญญาณให้พวกเราระวังตัว

 

ยิ่งเดินเข้าไปมากเท่าไหร่ ก็อาจมีอันตรายรอเราอยู่มากเท่านั้น การเล่นกับชีวิต ทุกคนรู้ดีว่ามันเป็นยังไง

 

ทุกคนต่างตั้งสติ หลังจากนั้นก็ค่อยๆเดินตามเชือกตรงหน้าไปที่ละนิดๆ

 

หลังเดินผ่านหินก้อนนั้น มาประมาณห้านาที จู่ๆอาจารย์ที่เดินอยู่หน้าสุดก็ยกมือขึ้น พร้อมพูดออกมาด้วยเสียงทุ่มต่ํา “หยุด ! ”

 

เมื่อได้ยินอาจารย์พูด พวกเราทุกคนก็ตกใจ ต่างหยุดอยู่กับที่ทันที

 

หลังจากนั้นเราก็เห็นอาจารย์ชี้ไปข้างหน้า “ หาเจอแล้ว ตรงนั้นไง ! ”

 

เรามองตามนิ้วของอาจารย์ พบว่าในที่มืดมิดข้างหน้ามีต้นกล้วยอยู่ต้นหนึ่งจริงๆ

 

เพราะอยู่ไกลมาก ผมเลยมองไม่ค่อนเห็น

 

แต่สิ่งที่ผมมั่นใจได้เลยก็คือ ต้นกล้วยต้นนี้ใหญ่มาก ใหญ่กว่าต้นกล้วยที่อยู่ข้างๆอย่างเห็นได้ชัด

 

และยังสูงมากอีกด้วย

 

ทุกคนย่อตัว สังเกตต้นกล้วยต้นนี้อย่างละเอียด

 

หลังจากนั้นเราก็ได้ยินเสียงท่านนักพรตต์พูดว่า “เลี่ยงการต่อสู้ ที่ดุเดือดไม่ได้ อีกเดี๋ยวพอเริ่มสู้แล้ว”

 

ทุกคนอย่าชักช้าเด็ดขาด รีบจัดการให้เสร็จ สู้กับผีตานีไปก็ไม่ได้อะไร เราต้องทําลายต้นกล้วยของมัน

 

อีกเดี๋ยวเราสามคนจะสู้กับผีตานี พวกเธอสามคนไปตัดต้นกล้วยของมันซะ ”

 

“ จําไว้ พอตัดต้นกล้วยแล้ว ต้องทําลายรากมันด้วย ไม่อย่างงั้นปีหน้ามันก็จะงอกขึ้นมาใหม่ ถ้าเกิดออกปลีอีกครั้ง ก็จะมีคนโดนผีตานีดูดพลังหยางอีก ! ”

 

สําหรับเรื่องที่ท่านนักพรตตู้พูด พวกเราต้องจําให้ขึ้นใจอยู่แล้วพวกเราเลยพยักหน้าให้เขาทันที

 

หลังตกลงเรียบร้อยแล้ว อาจารย์ ท่านนักพรตตู๋ และเหล่าฉันจะเป็นคนสู้กับอีกฝ่าย

 

ขณะที่พวกเขาสามคนกําลังจะสู้ เราสามคนจะปลีกตัวออกไปด้านข้าง หลังจากตัดต้นกล้วยแล้วก็ทําลายรากของมันต่อ

 

หลังจากรู้หน้าที่ของตัวเองแล้ว อาจารย์ ท่านนักพรตตู๋ และเหล่าฉันก็แยกตัวจากพวกเราเดินเข้าไปข้างหน้า

 

ครั้งนี้พวกเขาไม่ได้ปกปิดอะไร เดินเข้าไปหาต้นกล้วยต้นนั้นตรงๆ

 

ส่วนผมสามคนก็ไม่รอช้า เดินอ้อมจากด้านข้างไปหาต้นกล้วยต้นนั้นจากอีกทาง

 

หลังจากเข้าใกล้ต้นกล้วยได้ประมาณสิบเมตร ในที่สุดเราก็เห็นต้นกล้วยต้นยักษ์ต้นนั้นอย่างชัดเจน

 

ต้นกล้วยต้นนั้นนอกจากจะใหญ่แล้ว ยังมีลําต้นใสเว่อร์ ท่าทางไม่มีร่องรอยขีดข่วนหรือสิ่งสกปรกเลยสักนิด ใบตองและลําต้นก็เขียวยิ่งกว่าอะไร แถมยังมันเงาผิดปกติ

 

ส่วนตัวหัวปลีที่ห้อยลงมาจากด้านบนก็มีสีเหมือนเลือด รูปร่างเหมือนกับหัวใจมนุษย์ขนาดใหญ่

 

ทันใดนั้นเอง จู่ๆใบตองก็โบกสบัด ไอปีศาจแพร่ออกมาจากต้นกล้วย คล้ายกับระลอกคลื่น

 

หมอกขาวที่อยู่รอบทิศถูกพัดกระจายในเวลาเดียวกัน สาวสายคนหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้น

 

หากมองให้ดีๆ จะเห็นว่าเธอเหมือนเสี่ยวม่านอย่างกับแกะ

 

ใช่แล้ว นี่ก็คือผีตานี้ที่หลงอ่าวเทียนไปดึงออกมา

 

ผีตานี้เพิ่งปรากฏตัว ก็เผยหน้าตาเย้ายวนออกมาทันที เธอเข้ามาใกล้พวกอาจารย์หลายเมตร ขณะเดียวกันก็พูดออกมาด้วยเสียงอ่อนเสียงหวาน “ท่านลุงทั้งสาม ราตรียาวนาน ไม่สู้เรามากอดกันให้ตัวอุ่นเถอะ !”

 

พอพูดจบ ผีตานตัวนั้นก็ดึงเสื้อลง เผยให้เห็นไหล่ที่เย้ายวนสภาพแบบนั้นล่อใจคนมากเลยละ

นอกจากนี้ ปากของผีตานตัวนั้นยังพ่นควันสีเขียวออกมาใส่พวกอาจารย์ คิดจะทําให้จิตใจของพวกเขาปั่นป่วน

 

แต่อาจารย์ไม่ขยับเลยสักนิด เขาดึงหน้าลงต่ํา

 

เมื่อเห็นผีตานีตนนั้นพ่นควันสีเขียวออกมา ท่านนักพรตต์ก็ประสานมือข้างหนึ่ง แล้วโบกมือหนึ่งครั้ง “ทําลาย ! ”

 

“ ตูม ” ควันสีเขียวพวกนั้นกระจายหายไปในทันที

 

เมื่อผีตานีเห็นฉากนี้ ก็หน้าเปลี่ยนสีทันที

 

เมื่อกี้ยังทําตัวยั่วยวนคน แต่ตอนนี้กลับทําหน้าตกใจ พร้อมพูดด้วยความสงสัย “ พวกแก พวกแกไม่ใช่คนธรรมดา

 

เหล่าฉันดึงดาบไม้ออกมาอย่างดุดัน แล้วโต้กลับเธอว่า “ เดรัจฉาน เราเป็นนักพรตปราบสิ่งชั่วร้าย ยังคิดจะใช้เสน่ห์จิ้งจอกหลอกล่อพวกเรา ฮึ รนหาที่ตายจริงๆ !”

 

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset