ศพ – ตอนที่ 3 หายนะ

เมื่อเห็นผีสาวพาหุ่นกระดาษไป ใจที่เคยหวาดกลัวก็โล่งอกทันที ในที่สุดก็ออกไปได้ซะที

ตอนนี้ทั้งตัวของผมเปียกโชก เมื่อคิดถึงฉากเมื่อกี้ ใจของผมก็ยังรู้สึกกลัวไม่หาย

แม้ว่าผีสาวจะจากไปแล้ว แต่ด้านนอกยังมืดอยู่ อากาศก็เย็นยะเยือก ไม่กล้าออกไปเลยแฮะ

ผมซ่อนตัวอยู่ในโล่งอย่างอกสั่นขวัญหาย  ผมเป็นแบบนี้จนกระทั่งถึงตอนตี 4

เพราะจู่ๆฝาโล่งก็มีเสียงดัง “คลึกคลึก” ในใจเริ่มกลับมากลัวอีกครั้ง หือ!  หรือผีผู้หญิงลึกลับนั้นจะกลับมาอีกแล้วนะ

ตอนแรกผมเริ่มรู้สึกง่วงนิดหน่อยแล้ว แต่เมื่อได้ยินเสียงนั้นตัวเองก็ตื่นตัวขึ้นมาอีกครั้ง

จ้องฝาโลงอย่างเอาเป็นเอาตาย แต่ก็ไม่กล้าพูดอะไรออกมา

แต่แล้วก็มีเสียง “ปึก” ดังขึ้น ฝาโลงถูกคนข้างนอกเปิดออกแล้ว

เมื่อลองมองดู ก็พบว่าเป็นอาจารย์นั้นเอง

ผมเลยตะโกนออกมาตามสัญชาตญาณ “ อาจารย์ ” จากนั้นผมก็รีบลุกขึ้นนั่งทันที

อาจารย์สีหน้าเคร่งขรึม เขาพยักหน้าเล็กน้อย

บอกว่าไม่เป็นอะไรแล้ว ออกมาได้!

โลงศพเป็นสถานที่ที่คนเป็นไม่ควรอยู่จริงๆ นอนอยู่ในนั้นหนึ่งคืน ก็รู้ว่าร่างกายจะแตกสลายแล้ว ปวดเมื่อยไปทั้งตัว

ตอนที่อาจารย์กลับมา เขาไม่กังวลอะไรเลยสักนิด เขาเดินดุ่มๆออกจากข้างในทันที

ในเวลาเดียวกันผมก็ถามอาจารย์ว่า ทางด้านลุงซานเป็นยังไงบ้าง

อาจารย์ถอนหายใจออกมา บอกว่าหลี่เหล่าซานยังมีชีวิตอยู่ แต่ตอนที่ผีน้ำไปหาเขา มันทำให้เขากลัวมาก! ตอนนี้เขาพึ่งจะได้นอนพักเอง

ในเวลาเดียวกันอาจารย์ก็ถามผมว่า ก่อนหน้านี้ที่นี่เป็นยังไงบ้าง

เมื่อได้ยินอาจารย์ถาม ผมเลยเล่าเหตุการณ์ที่เห็นเมื่อคืนให้ฟัง ไม่เพียงเท่านั้นตอนเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดผมยังพูดแบบละเอียดจนเห็นภาพด้วย

หลังจากที่อาจารย์ถามเสร็จ เขาก็พยักหน้าให้เล็กน้อย

แต่ก็ยังพูดต่อ “แต่นี่มันยังเป็นแค่คืนแรก คืนนี้ผีน้ำตนนั้นโดนหลอก ดังนั้นคืนพรุ่งนี้มันจะต้องมาเอาชีวิตอีกแน่!”

ก่อนหน้านี้ก็ทำให้ผมกลัวจนเกือบจะตายแล้ว ถ้าคืนพรุ่งนี้เธอยังมาหาผมอีก ผมไม่รู้เลยจริงๆว่าหัวใจดวงนี้ของตัวเองจะรับไหวไหม

แม้ว่าจะกลัว แต่ผมก็ยังพูดกับอาจารย์ “อาจารย์ ถ้าคืนนี้ซ่อนตัวอยู่ในโลง แล้วยังจะใช้หุ่นกระดาษนั้นมาหลอกอีกไหม”

อาจารย์ส่ายหัว และพูดว่าจะใช้วิธีซ้ำกันไม่ได้

เมื่อคืนผีน้ำติดกับแล้ว ถ้าคืนพรุ่งนี้เรายังใช้หุ่นกระดาษอีก เห็นทีมันคงเป็นไปไม่ได้แล้วละ

และยังบอกว่าถ้าคืนพรุ่งนี้ผีน้ำนั้นมาอีก จะต้องมาแบบไม่ดีแน่ และจะต้องไม่เลิกลากับแกง่ายๆแน่

ผมรู้สึกว่าคืนนี้ตัวเองจะต้องเจอกับอันตรายที่ร้ายแรงกว่าเดิม จึงถามอาจารย์ว่าคืนนี้ผมควรทำยังไง ถึงจะสามารถซ่อนตัวให้ผ่านพ้นค่ำคืนที่แสนยาวนานนั้นไปได้

ผมยังพูดไม่จบ จู่ๆด้านนอกก็มีของเหล่าฉินดังขึ้น “เหล่าติง! แย่แล้ว เกิดเรื่องไม่คาดคิด เกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้นแล้ว……”

เมื่ออาจารย์ได้ยินเสียงตะโกนของเหล่าฉิน เขาก็หันหลัง และรีบเดินออกไปดูทันที

เมื่อได้ยินคำว่า “เกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้นแล้ว” ผมเองก็รีบตามติดอาจารย์ไปเช่นกัน

เมื่อมาถึงประตู ก็เห็นเข้ากับสีหน้าที่ร้อนรนของเหล่าฉิน ตอนนี้เขากำลังอ้าปากหายใจด้วยความเหนื่อยหอบอยู่

เมื่อเขาเห็นผมและอาจารย์ออกมา ก็รีบพูดขึ้นทันที “เหล่าติงแย่แล้ว หลี่เหล่าซาน หลี่เหล่าซานเขา……”

อาจารย์เป็นคนใจร้อน เห็นผู้อาวุโสเหล่าฉินพูดอืดอาดยืดยาดแบบนั้น จึงตัดบทพูดทันที “เจ้าหลี่เหล่าซานเป็นอะไรกันแน่”

ผู้อาวุโสเหล่าฉินพูดด้วยเสียงหอบเนื่อย “หลี่เหล่าซาน หลี่เหล่าซานจมน้ำตายแล้ว……”

เสียงพึ่งขาดหายไปเท่านั้น สีหน้าของผมและอาจารย์ต่างเปลี่ยนไปทันที ในสมองเหมือนกับมีเสียงดัง“ตูม” ระเบิดออกมา

เป็นไปไม่ได้! เมื่อกี้อาจารย์ยังบอกว่าหลี่เหล่าซานไม่เป็นไรอยู่เลย

แต่ตอนนี้ ทำไมตอนนี้ตายแล้วล่ะ

อาจารย์ก็ดูไม่เชื่อเช่นกัน เขาพูดพร้อมสีหน้าที่ตกใจ “ไก่ขันตั้งสามรอบแล้ว หลี่เหล่าซานจะตายได้ยังไง เร็ว รีบพาผมไปดู”

อาจารย์ดูเครียดมาก แม้แต่บนใบหน้าของเขาจะยังแสดงสีหน้าที่เศร้าสร้อย

เหล่าฉินเองก็ไม่รอช้า รีบพาพวกเราตรงไปยังสุสานทันที

หลังจากที่พวกเรามาถึงสุสาน ก็พบว่าห่างออกไปไม่ไกลจากด้านหน้า มีผู้ชายพุงโตราวกับลูกบอลกำลังนอนแข็งอยู่ที่พื้น

อาจารย์เลิกคิ้วขึ้น จากนั้นพวกเราก็รีบวิ่งเข้าไปทันที

เมื่อเข้ามามองใกลๆ คนที่นอนตัวแข็งอยู่ก็คือหลี่เหล่าซานที่ตายมานานแล้ว

ดวงตาทั้งสองของเขาเปิดอยู่ เผยให้เห็นใบหน้าที่สยดสยอง

เขาอ้าปากกว้าง เหมือนกับว่าก่อนหน้านี้เขาได้เจอกับอะไรที่น่ากลัวสุดๆเข้า

ไม่เพียงแค่นี้ ร่างกายของเขาเปียกโชก โดยเฉพาะส่วนท้องมันขยายใหญ่มาก คงน่าจะเป็นเพราะดื่มน้ำเข้าไปจำนวนมากแน่

อาจารย์มองที่ศพของหลี่เหล่าซาน จากนั้นก็ขมวดคิ้วแล้วถามว่านี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่

ท่านเหล่าฉินก็ทำหน้าสับสนเช่นกัน ดังนั้นเขาจึงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ให้ฟัง……

เรื่องราวบอกว่าก่อนหน้านี้เหล่าฉินและอาจารย์ได้ใช้วิธีหลอกผีน้ำเหมือนกับของตัวเอง หลังจากรอให้ไก่ขันครบสามครั้ง พวกเขาก็ส่งหลี่เหล่าซานกลับไปพักผ่อนที่ห้อง

และอาจารย์ ก็รีบกลับมาหาผม

เมื่อเหล่าฉินเห็นว่าหลี่เหล่าซานหลับแล้ว เขาก็ไม่รออยู่ข้างๆต่อ จากนั้นเขาก็เดินไปพักที่กระท่อม

แต่พอกลับมา กลับพบว่าหลี่เหล่าซานไม่ได้นอนอยู่บนเตียงแล้ว

เขาจึงรีบออกไปตามหารอบๆด้วยความกระวนการวาย ผลลัพธ์คือเขามาพบตัวหลี่เหล่าซานอยู่ในโอ่งขนาดใหญ่ที่อยู่ในสวนหย่อม

จากนั้นเขาก็นำตัวออกมา แต่ตอนนั้นหลี่เหล่าซาน ก็หมดลมหายใจไปแล้ว

เหล่าฉินไม่แน่ใจ จึงรีบวิ่งมาบอกอาจารย์

เมื่ออาจารย์ฟังเสร็จ ก็เข้าไปตรวจสอบศพของหลี่เหล่าซาน บอกว่าหลี่เหล่าซานตายเพราะจมน้ำจริง และมันยังเกิดจากฝีมือของผีด้วย

อาจารย์ยังบอกว่าศพของหลี่เหล่าซานยังอันตรายยิ่งกว่าคนที่ตายโหงซะอีก ดังนั้นต้องรีบเอาไปเผาทันที

เหล่าฉินเองก็อยู่ในสุสานมาสิบกว่าปี เขาเองก็รู้ดีว่าสิ่งไหนควรทำหรือไม่ควรทำ

เมื่อได้ยินประโยคนี้ สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นซีดขาวทันที เขารีบพยักหน้าเห็นด้วย

ในเวลาเดียวกัน อาจารย์ยังพูดอีกว่า ผีชาวประมงนั้นไม่ธรรมดา กล้าออกมาฆ่าคนตอนไก่ขันสามครั้งแล้ว

บอกให้เหล่าฉินระวังตัวในช่วงเวลาสองสามวันนี้ อย่าทำอะไรที่ไม่ควร เพราะเดี๋ยวจะตกเป็นเหยื่อผีน้ำตนนั้น

เมื่อพูดจบ อาจารย์ก็ใช้มือปิดตาหลี่เหล่าซาน และยกศพหลี่เหล่าซานไปเผากับเหล่าฉิน จากนั้นก็พาผมกลับบ้าน

แต่พึ่งมาถึงประตูเท่านั้น พวกเราก็ต้องแปลกใจเพราะตอนนี้ที่หน้าประตูมีหุ่นกระดาษตัวหนึ่งถูกวางทิ้งไว้

รูปร่างขาดบิดเบี้ยว และบนตัวของหุ่นยังใส่เสื้อผ้าอยู่ด้วย

เห็นได้ชัดว่ามันก็คือหุ่นกระดาษที่อาจารย์ใช้แทนตัวผมนั้นเอง

ผมเห็นกับตาว่าผีสาวตนนั้นพาหุ่นไปแล้ว ทำไมจู่ๆมันถึงมาอยู่ที่หน้าประตูบ้านได้ล่ะ

เมื่อเห็นทุกสิ่ง ใจของผมก็เริ่มตื่นกลัวทันที

และทางด้านของอาจารย์ ก็ถึงกับขมวดคิ้ว แต่ก็ยังคงแสดงท่าทางที่หนักแน่น

“อาจารย์  ทำไมหุ่นนี่ถึงกลับมาได้ละ” ผมไม่รู้จริงๆว่ามันเป็นไปได้ยังไง

อาจารย์พูดหน้านิ่ง “อย่าพึ่งไปสนใจสิ่งนี้ เข้าบ้านแล้วค่อยคุยกัน!”

ขณะที่พูด เขาก็รีบดันตัวเองเข้ามาให้บ้านทันที

เมื่อเข้ามาถึงในบ้าน อาจารย์กลับสูดหายใจเข้าลึกๆ “เสี่ยวฝาน เรื่องนี้เริ่มเป็นไปตามที่ผมคิด สองสามีภรรยาคู่นี้กล้าออกมาตอนไก่ขันสามรอบ และยังเอาหุ่นกระดาษกลับมาคืนก่อนเจ็ดโมง เห็นได้ชัดว่าพวกนั้นไม่ธรรมดา”

ก่อนหน้านี้ผมไม่เคยเห็นอาจารย์แสดงท่าทางกังวลแบบนี้มาก่อน ดังนั้นผมจึงถามออกไปด้วยความกลัว “งั้น งั้นอาจารย์ ผมจะตายไหม”

อาจารย์ไม่ได้รีบตอบกลับมา เขาเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วบอกว่าตอนนี้เขาก็ไม่มั่นใจเหมือนกัน

บอกว่าหลี่เหล่าซานก็ตายไปแล้ว ตอนนี้สองสามีภรรยาคู่นั้นก็เหลือแค่มาเอาชีวิตอีกคนเท่านั้น ดังนั้นคืนนี้สามีภรรยาคู่นั้น จะต้องมาหาผมแน่!

ถ้าสามารถซ่อนตัวได้ ทุกอย่างก็จะผ่านพ้นไปด้วยดี แต่ถ้าซ่อนไม่ได้ผมคงจะต้องเป็นคนไปแทนที่พวกเขา

ยังบอกว่าถ้าคืนนี้อีกฝ่ายมาถึง พวกเขายังจะต้องได้เห็นเลือด

ผมไม่เข้าใจเลยสักนิด จึงถามอาจารย์ว่าทำไมตอนนั้นพวกเขา “ต้องเห็นเลือด” ด้วย อาจารย์กลับไม่ยอมตอบผม

แค่บอกให้ผมพักผ่อนให้ดีๆ พอถึงตอนเย็น ก็ให้ผมฟังคำสั่งจากเขาอีกที

และเมื่อพูดประโยคนี้จบ เขาก็รีบเดินออกจากบ้านทันที

ผมถูกทิ้งไว้ในบ้านเพียงลำพัง เมื่อคิดถึงภาพศพหลี่เหล่าซาน ผมก็เกิดกลัวขึ้นมาทันที

สภาพแบบนั้นเหมือนกับคนที่ถูกกดน้ำจนหายใจไม่ออกตาย ตอนตายไม่รู้ว่าเขาต้องทรมานแค่ไหน……

เวลาประมาณห้าโมงเย็น อาจารย์ก็กลับมาพร้อมอาการเหนื่อยหอบ

แต่ตอนที่อาจารย์กลับมา เขายังเอาไก่สีเหลืองนวลตัวใหญ่กลับมาตัวหนึ่งด้วย

มันตัวใหญ่มาก ท่าทางกระปรี้กระเปร่ามีชีวิตชีวา และยังมีขนดก

เมื่อผมเห็นอาจารย์อุ้มไก่มา จึงถามอาจารย์ว่าเอามาทำอะไร

อาจารย์กลับพูดว่า เขาออกไปตั้งนาน ก็เพื่อไปหาไก่เหลืองตัวใหญ่ตัวนี้

และยังพูดว่าคืนนี้ผมจะรอดรึป่าวนั้น มันก็ขึ้นอยู่กับไก่ในมือของเขาตัวนี้

ผมถึงกับงง ถามอาจารย์ว่าไก่ตัวนี้จะช่วยผมได้จริงงั้นเหรอ

อาจารย์ยกไก่ขึ้น และพยักหน้าเล็กน้อย ในเวลาเดียวกันก็อธิบายให้ผมฟัง

บอกว่าไก่ตัวนี้มีพลังชีวิตคล้ายคน ถ้าใช้ได้ทันท่วงที  มันจะเป็นตัวแทนชีวิตของผม  ทำให้ไม่มีปัญหาอะไรเกิดขึ้นอีก

อาจารย์บอกว่าเมื่อเข้าสู่ช่วงกลางคืน ใช้กระดาษสีเหลืองพับเป็นรูปคน จากนั้นก็เขียนวันเกิดของผมลงไป เอาไปให้ไก่กิน และผูกเชือกสีแดงไว้ที่ข้อเท้าไก่อีกที

เมื่อผีร้ายนั้นมาถึง ก็แค่ปล่อยไก่ออกไป

ก็เหมือนกับที่เมื่อคืนผีผู้หญิงเห็นหุ่นกระดาษ ดังนั้นครั้งนี้เองเธอก็จะต้องเห็นไก่เป็นผม

ขอแค่ผมซ่อนตัวให้ดี แม้ว่าเมื่อคืนผีผู้หญิงนั้นจะตกหลุมพรางรอบหนึ่งแล้ว แต่เมื่อเห็นไก่ที่มีเลือดเนื้อ ตัวเองก็จะสามารถซ่อนตัวผ่านพ้นไปได้อีกครั้งแน่

มันถือว่าเป็นหุ่นกระดาษ ที่ได้รับการอัปเกรดขึ้น นี่เป็นสิ่งที่อาจารย์พูด

ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด การผ่านคืนนี้ไปจะต้องไม่มีปัญหาอะไรแน่

แน่นอน ก่อนอื่นตัวเองต้องไปซ่อนตัวให้ดีก่อน เปิดเผยตัวเองออกมาไม่ได้

ถ้าออกมา ผลที่ตามมาก็คือหายนะ

เพราะตอนนี้เป็นเวลาไม่เย็นมาก ดังนั้นผมกับอาจารย์จึงหาอะไรกินกันเล็กน้อย

แต่ผมง่วงมาก จึงทรุดตัวลงนอนบนโซฟา

เวลาผ่านมาจนถึงประมาณ 4 ทุ่ม จู่ๆอาจารย์ก็เข้ามาปลุกด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “เสี่ยวฝาน รีบตื่นเร็ว ผีชาวประมงจะเข้ามาในบ้านแล้ว……”

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset