ศพ – ตอนที่ 300 สัตว์ประหลาดตัวเขียว

ตอนที่ 300 สัตว์ประหลาดตัวเขียว

ในบรรดาสามคนนี้ เหล่าฉินมีพลังน้อยที่สุด

แต่เหล่าฉินกลับเป็นคนอารมณ์ร้อนที่สุด ตอนนี้เขาตะโกนเสียงดังลั่น บวกกับอาจารย์และท่านนักพรตตู่อยู่ขนาบข้าง ทําให้การเข้าแถวนี้ดูทรงพลังไม่น้อย

 

พอผีตานีตนนั้นได้ยินคําพูดนี้ เดิมก็ทําหน้าตกใจอยู่แล้ว ตอนนี้ เธอยังถอยไปอีกสองก้าว

“ นักพรตปราบ ปราบสิ่งชั่วร้าย ”

 

“ ใช่ ถ้าสํานึกผิดก็เข้ามาตายเอง เราจะเลือกรากพิการเอาไว้ให้แกเส้นหนึ่ง แต่ถ้าไม่ยอม งั้นก็ตายไปทั้งเหง้านั่นแหละ !” เหล่าฉินพูดออกมาอีกครั้ง ท่าทางน่าเกรงขามพอดู

 

อาจารย์และท่านนักพรตตู่ ตัวสั่น โคจรพลังของตัวเอง

พวกเขาระเบิดพลังออกมาทันที ขณะเดียวกันมันก็พุ่งไปหาหน้าของอีกฝ่าย

พอผีตานี้ตนนั้นสัมผัสได้ถึงพลังของพวกอาจารย์ เธอก็อดตกใจขึ้นมาไม่ได้

 

ตอนนี้เธอกําลังบาดเจ็บอยู่ เธอยังคิดว่ารอให้ถึงเวลาแล้ว ค่อยไปดูดพลังจากหลงอ่าวเทียนอีกสักรอบ

แบบนี้ เธอก็จะได้ฟื้นฟูบาดแผลของตัวเอง และหาอาหารบํารุงให้ตัวเองด้วย

แต่คิดไม่ถึงว่า พวกเราจะมาถึงก่อน

 

แต่หลังจากผีตานีตกใจ เธอก็กลับมาใจเย็นอีกครั้ง เธอมองไปที่พวกอาจารย์แล้วพูดว่า

 

“ น้ําบ่อไม่ยุ่งกับน้ําคลอง ทําไมพวกแกต้องทําตัวเป็นศัตรูกับฉันด้วย ไม่กลัวฉันลากพวกแกลงนรกไปด้วยเหรอ ? ”

 

“ ฮี! เราทํางานแทนสวรรค์ มีศัตรูเป็นเรื่องปกติ อย่าพูดมาก เอาชีวิตมา! ” เหล่าฉินพูดออกมาอีกครั้ง

 

คราวนี้เขาตวัดดาบในมือ

ผีตานีเห็นเรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว จึงไม่มีอะไรต้องพูดกันอีกต่อไป

เธอทําท่าเยือกเย็น พูดออกมาอย่างดุร้าย “ ใช้กําลังข่มคนอื่น ฉันก็ไม่ได้รังแกง่ายๆขนาดนั้นหรอกนะ !”

 

เสียงเพิ่งเงียบลง ต่อจากนั้นผีตานีตนนั้นก็คํารามออกมา “ อ้า

หลังจากเสียงร้องจบลง ก็มีการเปลี่ยนแปลงสุดแปลกเกิดขึ้นกับผีตานีตนนี้

 

จู่ๆร่างกายของเธอ ก็มีควันสีเขียวพวยพุ่งออกมา

 

ต่อจากนั้น เส้นเลือดสีเขียวก็ผุดขึ้นมาบนผิวของเธอ เปลี่ยนสภาพได้น่าสยองสุดๆ

สิ่งที่น่าขนลุกยิ่งกว่านั้นคือ แขนขาทั้งสองข้างของเธอ ตอนนี้มันบวมขึ้น หรือจะเรียกว่าโตขึ้นก็ได้

เพียงชั่วพริบตาเดียว ใบหน้าของอีกฝ่ายก็เปลี่ยนไปจากเดิม มันยาวกว่าเมื่อกี้อย่างเห็นได้ชัด และใบหน้าที่งดงามเมื่อกี้ ตอนนี้ได้เปลี่ยนเป็นสีเขียวและมีเขี้ยวงอกออกมาแล้ว

ผมเองก็เปลี่ยนเป็นสีเขียว ผิวก็กลายเป็นสีเขียวมันเงา และยังดูแข็งแรงมากอีกด้วย

 

บวกกับเส้นเอ็นสีเขียวที่ปูดออกมา สภาพแบบนั้นดูเหมือนเดอะ ฮัคในหนังอเมริกาไม่มีผิด

 

พวกเราที่อยู่ห่างออกไปมองกันตาค้าง แม้เจ้าผีตานียังมีลูกเล่นนี้ด้วย เธอยังแปลงกายได้อีก

 

ช่วงครึ่งเดือนนี้ หลงอ่าวเทียนนัวเนียกับยัยสัตว์ประหลาด เอ็นปูดนี้มาโดยตลอด

ถ้าเจ้านั้นมาเห็นสภาพแบบนี้ จะต้องอ้วกอาหารที่กินมาทั้งชีวิตออกมาแน่……

 

เหล่าฉินอ้าปากเล็กน้อย เขาเองก็คิดไม่ถึงว่าผีตานีตนนี้จะยังมีรูปร่างแบบนี้

หลังแปลงกายเสร็จผีตานีก็ถลึงตาสีเขียวคู่นั้น แล้วเปิดปากพูดกับเหล่าฉินและพวกอาจารย์

 

“ อยากเอาชีวิตฉัน ? งั้นก็เข้ามาซิ! ”

พอพูดจบ เท้าของผีตานีก็เขย่งขึ้น และพุ่งเข้ามาหาพวกเหล่าฉินทันที

 

“ ลงมือ ! ” ท่านนักพรตตู่ที่มีพลังเยอะที่สุดตอบสนองเป็นคนแรก

 

อาจารย์และเหล่าฉินก็กลืนน้ําลาย ยกดาบไม้ขึ้นแล้ววิ่งเข้าไปปะทะทันที

ตอนที่พวกเขาเข้าไปใกล้ มือสองข้างของผีตานีตนนั้น ก็เปลี่ยนเป็นต้นกล้วย กวาดเป็นแนวนอนเข้ามาที่ท่านนักพรตตู่และอาจา

 

เมื่อคืนพวกเราก็โดนท่านี้เล่นงาน ถ้าโดนเข้าไปก็ไม่มีทางด้านได้เลย เพราะมันแรงมาก

 

ผมกังวลแทนอาจารย์และท่านนักพรตตู่จนเหงื่อตก แต่ขิงแก่ต้นนี้ยังร้อนแรงอยู่

ทั้งสองคนโค้งหลบกันได้อย่างน่าประหลาด ไม่ได้คิดจะต้านท่านี้ตรงๆ แต่เป็นพุ่งเข้าหาผีตานีตนนั้นแทน

ผีตานีก็ไม่กล้าให้พวกอาจารย์เข้ามาใกล้เกินไป เธอพ่นควันสีเขียวออกมา จากนั้นก็ถอยออกมาในทันที

 

ขณะที่พวกเขากําลังสู้กัน จู่ๆหยางเนิ่วก็พูดขึ้นมาว่า “ เราก็ควรลงมือได้แล้ว! ”

เมื่อได้ยินคําพูดนี้ ผมถึงได้กลับมามีสติอีกครั้ง

เมื่อกี้ผมมองเพลิน จนลืมภารกิจของตัวเองไปเลย

 

ผมและเหล่าเฟิงพยักหน้า ใช้โอกาสที่ผีตานีกําลังสู้เลือดเดือดกับพวกอาจารย์อยู่ เข้าไปหาต้นกล้วยของผีตานีตนนี้อีกครั้ง

พวกเขาต่อสู้กันอย่างดุเดือด ผีตานี้ไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ําว่าพวกเรากําลังเข้าใกล้ที่สถิตร่างของเธอ

หลังจากนั้นประมาณสองนาที พวกเราก็มาหยุดอยู่ตรงต้นกล้วย

ต้นกล้วยต้นนี้เขียวใสผิดปกติ ใหญ่กว่าต้นที่อยู่ข้างๆถึงสองเท่าหัวปลี่สีเลือดด้านบน ก็เด่นสะดุดตาสุดๆ

ส่วนเชือกแดงของพวกเรา ในเวลานี้กําลังผูกติดอยู่กับลําต้น

เราสามคนไม่ได้ลังเลแต่อย่างใด หลังหันมาสบตากัน พวกเราก็เอาพลั่วที่พกติดตัวออกมา เล็งและแทงเข้าไปที่ลําต้นทันที

 

ได้ยินเพียงเสียงดัง “ ฉีก ” พลั่วตัดแทงเข้าลําต้นตรงๆ ทันใดนั้นเองของเหลวสีแดงก็กระเซ็นออกมา

จากปากแผลของต้นกล้วย พร้อมด้วยกลิ่นเน่าเหม็น

 

ต่อจากนั้นตัวลําต้น ก็เกิดสั่นขึ้นมาสองสามครั้ง

 

ห่างออกไปผีตานีที่กําลังสู้อยู่กับพวกอาจารย์ ก็ร้อง “ อร้าย ” ขึ้นมาทันที เสี้ยววินาทีต่อมา “ อัก ”

เธอก็กระอักเลือดตามมาติดๆ และหันมามองทางพวกเราอย่างรวดเร็ว

 

ทันใดนั้นเองใบตองบนหัวพวกเรา ก็สั่นดัง “ พับพับพับ” ไ

 

หลังลงมือเสร็จ เราก็ไม่ได้ลังเลอะไรมากนัก พอยกพลั่วขึ้นได้เราก็แทงซ้ําทันที

 

เมื่อผีตานีที่อยู่ห่างออกไปเห็นแบบนั้น ก็เผยสีหน้าหวาดกลัว แล้วตะโกนออกมาทันที “ อย่านะ !”

แต่มันสายไปแล้ว พวกเราสามคนร่วมแรงกัน แทงเข้าที่ต้นอีกรอบแล้ว

 

ในเวลาเดียวกัน พวกอาจารย์ก็ใช้ช่องว่างที่ผีตานีกําลังสนใจเรา แยกย้ายกันลงมือ

“ ฉีก ” ดาบไม้ของทั้งสามคนแทงทะลุร่างที่บึกบึนของผีตานี

“ อร้าย !” ผีตานีกรีดร้องอีกครั้ง คราวนี้เธอสูญเสียพลังรบไปแล้ว

ย้อนมองมาทางฝั่งเรา ตอนนี้พวกเราสามคนร่วมมือกันอย่างต่อเนื่อง ตัดต้นกล้วยให้ล้มครืนลงไปกับพื้นได้แล้ว

ตําแหน่งที่ขาดออกจากนั้น มีของเหลวสีแดงไหลออกมาไม่หยุด เหมือนกับเลือดสดๆไม่มีผิด เพียงของเหลวชนิดนี้เย็น ไม่อุ่น และยังมีกลิ่นเหม็นเน่า

ตอนลําต้นขาดออกจากกัน ผีตานีที่กําลังโดนแทงอยู่ ก็มีเสียงระเบิดดัง “ตูม ” กลายเป็นหมอกสีเขียว หลังจากนั้นเราก็เห็นแสงสีเขียวลูกหนึ่ง พุ่งเข้ามาหาแล้วสุดท้ายก็ดิ่งลงตรงลําต้นที่เหลือ

พวกอาจารย์รีบวิ่งเข้ามา มองต้นกล้วยที่มีของเหลวสีแดงไหลออกมา แล้วก็อดไม่ได้ที่จะเค้นเสียงดึง ฮี

ในเวลาเดียวกันเราก็ได้ยินอาจารย์พูดว่า “ จะเก็บยัยปีศาจนี้เอาไว้ไม่ได้ รีบขุดมันออกจากดิน ทําลายเหง้ามันซะ! จะได้จัดการ มันให้สิ้นซาก”

 

“ ครับอาจารย์ ! ” ผมขานรับ

 

หลังจากนั้นเราสามคนก็ยกพลั่วเริ่มขุดกันทันที เตรียมทําลายรากเหง้าของยัยนี้ให้สิ้นซาก

แต่ในตอนนั้นเอง จู่ๆก็มีเสียงเย็นชา ดังมาจากส่วนลึกของป่ากล้วย “ ใครกล้ามาแตะน้องของเรา! ”

 

เสียงดังขึ้นอย่างกระทันหัน เหมือนกับเสียงระฆังยักษ์ ที่พุ่งมาทางพวกเราโดยเฉพาะ

 

รอบๆมีลมกระโชกแรงเกิดขึ้น เสียง “ ฮี่ฮี่ฮี่ ” ดังขึ้นไม่หยุด ใบตองที่อยู่รอบๆปลิวไปตามแรงลมดัง

“ พับพับพับ ”

 

ดูเหมือนกับพายุกําลังเข้ามาใกล้ เมื่อเห็นฉากแบบนี้ ผมก็อดรู้สึกแน่นหน้าอกไม่ได้ ตามหาที่มาของเสียงทันที

วินาทีที่เราหันไป กลับพบว่าในความมืดที่อยู่ห่างออกไป จู่ๆมีคนสองคนกําลังเดินเข้ามา

พอลองมองให้ดีๆ สองคนนั้นเป็นผู้หญิงทั้งคู่ รูปร่างหน้าตางดงามไม่มีใครเปรียบ แต่บนตัวพวกเธอกลับแพร่จิตสังหารออกมาด้วย

 

ผมรู้ดีแก่ใจ พวกเธอไม่ใช่มนุษย์ แต่เป็นผีนางตานีอีกสองตัว

 

แม้ภายนอกของพวกเธอจะดูเหมือนคน แต่ดวงตาคู่นั้น กลับเหมือนสัตว์ร้าย ภายใต้ความมืดมันเปล่งแสงสีเขียวเรืองแสง

 

ภายใต้ดวงตาสวรรค์ บนตัวพวกเธอยังปล่อยคลื่นไอปีศาจออกมาอย่างน่าสะพรึงกลัว

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset