ศพ – ตอนที่ 301 สามปีศาจรวมตัว

ศพ ตอนที่ 301 สามปีศาจรวมตัว

 

เมื่อเห็นฉากตรงหน้า เราก็ตกใจทันที แอบพูดในใจว่าไม่ดีแล้ว !

 

ตามแผนเดิมของพวกเรา เราควรจะจัดการที่ละตัวๆ ตัวแรกสุดคือผีตานีตนนี้หลังจากนั้นค่อยไปหาผีตานีของซุนเสี่ยวหลิน

 

ท้ายที่สุดถึงจะไปหาตนที่สาม หลังจากนั้นก็ร่วมมือกันกําจัดมันถึงกับฆ่าคนตายคาบ้านได้ จะต้องเป็นผีตานีที่แข็งแกร่งที่สุดอย่างแน่นอน

 

แต่ตอนนี้ ยังจัดการผีตานีตรงหน้าไม่เรียบร้อย ผีอีกสองตนกลับมาหาถึงที่

 

หน้าของพวกเราเปลี่ยนเป็นหนักใจขึ้นมาทันที อาจารย์ตะโกนเสียงดังลั่น “ ให้ตายเถอะ เปลี่ยนแผนไม่ทันแล้ว อีกฝ่ายมาหาโดยไม่ต้องเชิญแล้ว !”

“ มาก็มาซิ เรามีหกคน อีกฝ่ายมีแค่สองเราจะต้องกลัวหรือไง ! ” เหล่าฉันโมโห พูดราวกับไม่เห็นอีกฝ่ายอยู่ในสายตา

 

แต่ท่านนักพรตต์กลับพูดเสริมว่า “ ศิษย์พี่ พลังปีศาจของเดรัจฉานสองตัวนี้มีเยอะมาก คงไม่ได้รับมือได้ง่ายๆ ทางที่ดีเราควรระวังตัวเอาไว้ก่อนดีกว่า ! ”

 

“ ตู้อ่าว ยังไม่ทันลงมือ แกก็กลัวแล้วอย่างงั้นเหรอ ? ยังไงตอนนี้ก็ต้องสู้กันอยู่แล้ว หรือแกจะให้เราวิ่งหนีอย่างงั้นเหรอ ? ”เหล่าฉันทําหน้าอารมณ์เสีย มองท่านนักพรตต์ด้วยความอึดอัดใจ

 

ท่านนักพรตติรู้จักนิสัยใจคอของเหล่าฉันดี และเขายังไม่เคยใส่อารมณ์กับเหล่าฉันมาก่อน

ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาเถียงกับเหล่าฉิน เขาหันมาทางพวกเราแทน “พวกเธอสามคนอย่าหยุดเด็ดขาด จัดการผีตานีตัวนี้ให้เรียบร้อยก่อนพวกเราจะไปขวางเจ้าเดรัจฉานสองตัวนั้นให้ ! ”

 

“ ครับท่านลุงตู !”

 

“ รับทราบอาจารย์ ! ”

 

“ ค่ะ ! ”

 

เราสามคนขานรับ หลังจากนั้นก็ไม่สนใจผีตานีที่กําลังเข้ามาใกล้พวกเราเรื่อยๆหยิบพลั่วขึ้นมาแล้วขุดต่อทันที

 

รากของต้นกล้วยอยู่ไม่ลึกมาก เราสามคนร่วมมือกันผ่านไปไม่นานก็ขุดเจอแล้ว

 

พอผมดันพลั่วลงไป ก็เจอเข้ากับของแข็งบางอย่างหลังจากนั้นก็เห็นเลือดสีแดงสดพุ่งออกมาจากพื้น

 

ในเวลาเดียวกันเสียงกรีดร้องของผีตานีในต้นกล้วยก็ดังขึ้น “อร้าย ! เจ็บมาก พี่ทั้งสอง รีบ รีบมาช่วยข้าเร็ว ! อร้าย !”

 

ขณะที่เสียงกรีดร้องดังขึ้น เมื่อผีตานีอีกสองตนเห็นแบบนั้นก็ขมวดคิ้ว เผยสีหน้าโมโหจัดออกมาทันที

หนึ่งในนั้นตะโกนตามมาติดๆ “ หยุดเดี๋ยวนี้นะไม่อย่างนั้นพวกแกได้วิญญาณแตกสลายแน่ ! ”

พอพูดจบ เธอก็วิ่งมาทางพวกเราอย่างรวดเร็ว

 

พลังปีศาจที่ทรงพลังประทุขึ้นมา ท่าทางดุร้ายสุดๆ

อาจารย์เค้นเสียงดัง ฮี “ พูดจาอวดดี วันนี้ข้าจะทําให้พวกแกไม่มีวันผุดวันเกิด ! ”

 

หลังจากพูดจบ อาจารย์ก็ยกดาบเข้าไปปะทะทันที

 

ท่านนักพรตตูและเหล่าฉันก็รีบตามไปติดๆ เตรียมสู้สุดกําลังกับอีกฝ่าย

เป็นธรรมดาที่พวกเราจะไม่หยุดลงมือ ไม่ว่ารากจะมีเลือดออกเยอะขนาดไหน พวกเราก็พยายามขุดลงไปเรื่อยๆ

 

ผีตานีตนนั้นก็ร้องโอดครวญไม่หยุด เสียงค่อนข้างดัง สะท้อนดังไปทั่วเขาอย่างต่อเนื่อง

 

แต่ต่อมา เสียงของผีตานีตนนี้ก็เริ่มเปลี่ยนเป็นเสียงหายใจเห็นได้ชัดว่าเธอกําลังจะตายแล้ว..

 

ฝั่งอาจารย์ ตอนนี้เริ่มสู้กับผีทั้งสองตนแล้ว

พวกเขาต่อสู้ได้ดุเดือดมาก ผีตานีสองตนนี้ร้ายกาจมากมีพลังไม่จํากัด แม้แต่พวกอาจารย์สู้สามต่อสอง

 

ก็เห็นได้ชัดว่าลําบากมาก หากประมาทเพียงเล็กน้อยก็อาจได้รับบาดเจ็บทันที

พวกเราไม่เร่งความเร็วไม่ได้ สุดท้ายเห็นเพียงเหล่าเฟิงยกพลั่วขึ้นงัดโคนรากต้นกล้วยขึ้นมาทั้งแผง

 

เหง้าของต้นกล้วยต้นนี้ไม่เหมือนกับเหง้าต้นอื่น เหง้าของมันเหมือนหัวเผือกหัวมัน ตรงกลางใหญ่มาก ข้างๆมีรากฝอยจํานวนมากแพร่ออกมา

 

ตัวเหง้าที่เราขุดขึ้นมาได้ มีขนาดประมาณครึ่งหนึ่งของตัวโม่

แม้จะถูกขุดขึ้นมาแล้ว แผลที่เห็นได้ด้วยตายังมีของเหลวสีแดงไหลออกมาอย่างต่อเนื่อง

 

แต่เรากลับพบว่า ตรงหน้าของเหง้า มีแสงสีเขียวจางๆกําลังส่องแสงอยู่เหมือนกับการเต้นของหัวใจ

มันอ่อนแรงมาก แต่ก็ยังเต้นอยู่

 

เมื่อเหล่าเพิ่งเห็นสิ่งนี้ เขาก็รีบพูดขึ้นมาทันที “ นั่นน่าจะเป็นหัวใจของยัยปีศาจนี่ ขอแค่เราทําลายตรงนั้น

 

ยัยนี่ก็น่าจะตายแล้ว ! ”

 

เมื่อได้ยินเหล่าเฟิงพูดแบบนั้น ผมก็กําพลั่วแน่น “ ได้ ฉันจะลงมือเอง ! ”

พอพูดจบ ผมก็กําลังจะลงมือ

 

แต่ในเวลานั้นเอง จู่ๆผีตานีก็พูดด้วยเสียงคร่ําครวญ “ ขอร้องเจ้าละอย่าอย่าฆ่าข้าเลย ! ข้าสามารถแปลงกายเป็นอย่างที่เจ้าต้องการได้ขอแค่ไม่ฆ่าข้าให้ข้าเป็นตัวอะไรก็ได้ ! ขอร้องเจ้าละ…”

 

เมื่อได้ยินคําพูดนี้ จู่ๆผมก็รู้สึกเวียนหัว ตรงหน้าเหมือนมีเงาของคนสองสามคนผุดขึ้นมา

 

คนสองสามคนนั้นมีมู่หลงเหยียน เสี่ยวม่านอู่ฮุยฮุยเหมือนผีตานี้จะกลายเป็นคนพวกนี้

ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ผมสับสนในทันที พลั่วในมือหยุดอยู่กลางอากาศ

แต่หยางเนิ่วที่อยู่ข้างๆกลับเค้นเสียงดัง ฮี “ ความตายมาเยือนแล้วยังกล้าใช้วิชามารอีก ! ”

หลังจากพูดจบ เธอก็ยกพลั่วขึ้น เล็งไปที่หัวใจปีศาจดวงนั้นแล้วแทงลงไปทันที

 

“ ไม่……”

 

เสียงแห่งความกลัวดังขึ้น มันปะปนไปด้วยความกลัวและความนหวัง

แต่เสียงนี้ก็ดังขึ้นเพียงชั่วขณะ หลังจากนั้นมันก็หยุดลงทันที

 

ในเวลาเดียวกัน ความรู้สับสนก็หายไป ผมได้สติกลับมาอีกครั้ง

พอมองไปที่เหง้าบนพื้น ผมก็พบว่ามันโดนหยางเจิ่วเจาะเป็นรูเรียบร้อยแล้ว

หัวใจผีตานีตนนั้น ถูกสับเละ พร้อมกันนั้นยังมีของเหลวสีเขียวๆไหลออกมา

 

ส่วนของเหลวสีแดงคล้ายเลือดเมื่อกี้ ตอนนี้ได้เปลี่ยนสีแล้ว เปลี่ยนเป็นสีดําลื่นๆ แถมยังเหม็นมาก

 

เหมือนโคลนไม่มีผิด

เมื่อเห็นภาพนี้ ผมและเหล่าเฟิงก็อดไม่ได้ที่ถอนหายใจออกมา

 

ดูจากท่าทางของเหล่าเฟิง เมื่อกี้เขาก็คงเป็นเหมือนผม ต่างตกอยู่ในมนต์ของยัยผีตานี เลยมันไปชั่วขณะ

หยางเนิ่วที่มีสติอยู่เพียงคนเดียว ถึงได้ลงมือ จัดการผีตานี้แทน

 

หยางเฉ่วกลอกตาให้ผมและเหล่าเฟิง จากนั้นก็พูดขึ้นมาว่า “ เจ้าโง่สองตัวแค่ลูกไม้เล็กๆแค่นี้ก็ยังโดนเล่นงานเข้าไปได้ ไม่มีความหนักแน่นเลยสักนิด ! ”

พอถูกหยางเจ๋วดูถูก ผมและเหล่าเฟิงก็ลําบากใจมากแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา

เมื่อกี้เราต้องมนต์จริงๆนั่นแหละเสียสติไปชั่วคราว

 

โชคดีที่อีกฝ่ายไม่เหลือแรงโจมตีแล้ว ไม่อย่างนั้นอาการตกอยู่ในภวังค์เมื่อกี้ อาจทําให้เราเสียชีวิตได้เลย

 

แต่ในเวลาเดียวกันนั้น จู่ๆผีตานีสองตนที่อยู่ห่างออกไปกลับตะคอกออกมาดังลั่น

 

“ อร้าย ! สมควรตาย น้องจํา ”

 

“ กล้าฆ่าน้องสาวของฉัน ฉันจะทําให้พวกแกเหลือแต่ซากศพ !

 

เสียงตะคอกนี้ ดังไปทั่วผืนปา

หลังจากปีศาจทั้งสองตนตะคอกเสร็จ ผีตานีตัวหนึ่งก็ทําลายวงล้อมของอาจารย์ ท่านนักพรตต์ และเหล่าฉันสามคมออกมาได้ เธอพุ่งมาทางพวกเราอย่างบ้าคลั่ง

 

เมื่ออาจารย์และท่านนักพรตตู้เห็นผีตานีหลุดจากวงล้อมไปได้และพุ่งจะไปฆ่าพวกเรา พวกเขาก็อดตกใจไม่ได้

“ เสี่ยวฝานระวัง ! ”

“ เสี่ยวเฟิงระวัง ! ”

หลังจากพูดจบ ทั้งสองคนก็ถอยออกจากสนามรบ คิดจะมารวมตัวกับพวกเราเพื่อรับมือกับอีกฝ่าย

 

พวกเขากลัวว่าเราสามคนมีพลังไม่พอ ไม่อาจเป็นคู่ต่อสู้ของผี

ตานีตนนี้ได้ล้วว่าเราสามค

แต่ผีตานีอีกตนก็ร้ายกาจ ทําให้พวกเขาไม่อาจปลีกตัวออกมาได้

เมื่อได้ยินอาจารย์และท่านนักพรตต์พูด ผม เหล่าเฟิงและหยางเฉวก็หมุนตัวหันกลับไปมองทันที

 

เราเห็นเพียงผีตานีตนนั้นบ้าคลั่งมาก ถลึงตาโต หน้าตาน่าเกลียดน่ากลัวมาก

 

ขณะเดียวกันเธอก็ตะคอกออกมาอีกครั้ง “ฆ่าน้องสาวฉันแล้วฉันจะทําให้พวกแกเหลือแต่ซากศพ

เหลือแต่ซากศพ………….”

 

ขณะวิ่งเข้ามา นอกจากจะตะคอกไม่หยุดแล้ว ร่างกายของเธอยังเปลี่ยนแปลงไม่หยุด

 

ระเบิดพลังปีศาจเป็นระลอก เส้นเอ็นบวมปูด เล็บกับเขี้ยวเริ่มยาวขึ้นเรื่อยๆ

 

ตัวก็เริ่มใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ เหมือนพละกําลังก็จะเพิ่มขึ้นหลายเท่า

 

นี่เป็นเพียงเวลาแค่ครู่เดียว เธอก็กลายร่างเป็นเหมือนสัตว์ร้ายตัวเขียวไร้ขนแล้ว..

 

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset