ศพ – ตอนที่ 303 กระจกหยินหยาง

ศพ – กระจกหยินหยาง

ตอนที่ 303 กระจกหยินหยาง

การโจมตีคราวนี้ของคู่ต่อสู้สร้างความน่าสะพรึงกลัวให้กับพวกเราพลังปีศาจที่ระเบิดออกมา ทําให้เกิดกระแสลมที่รุนแรงยิ่งกว่า เดิม ใบไม้แห้งทรายหรือแม้แต่กรวดต่างปลิวว่อน

 

เห็นได้ชัด ว่าอีกฝ่ายคิดจะเอาชีวิตเหล่าเฟิง

 

แต่เมื่อหันไปมองทางเหล่าเฟิง เขาไม่เพียงไม่ถอย แต่ยังก้าวเข้าไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่อง

การกระทํานี้ทําให้ผมเกิดความสงสัย แต่ในเวลาเดียวกันผมก็คิดถึงเมื่อกี้ที่เหล่าเฟิงมองตาผม จู่ๆขาก็ขมวดคิ้ว และพูดคํา พูดที่รุนแรง

หรือว่าเหล่าเฟิงเห็นผมโดนผีตานีทําร้ายจนบาดเจ็บหนักเขาก็เลยหัวร้อน คิดจะเข้าไปปลิดชีวิตอีกฝ่าย

 

เพื่อแก้แค้นให้ผม

 

ต้องใช่แน่ๆ ถึงปกติเหล่าเฟิงจะไม่ชอบพูด แต่ก็เป็นคนรักเพื่อน

 

เราสองคนรู้จักกันได้ไม่นาน แต่เคยผ่านความเป็นความตายด้วยกันมาหลายครั้ง และยังชอบพอซึ่งกันและกัน

 

เหล่าเฟิงต้องเห็นผมบาดเจ็บหนัก เลยโมโหขึ้นมา อยากสังหารผีตานีเพื่อแก้แค้นให้ผม

 

ผมเลยอดไม่ได้ที่จะรู้สึกอบอุ่นหัวใจ มีเพื่อนแบบนี้ ทําให้ผมมีความสุขจริงๆ

แต่ผมก็กลัวจะเกิดอะไรขึ้นกับเหล่าเฟิง เลยรีบเตือนเขาว่า “ เหล่าเฟิงอย่าวู่วามนะ !”

 

ในเวลาเดียวกันผมก็รีบวิ่งตามไปทันที แต่เหล่าเฟิงไม่ได้ตอบกลับมา เขาจ้องผีตานีตาไม่กระพริบ

เดินขึ้นไปข้างหน้าเรื่อยๆ

 

ผีตานีทรงพลังมาก พวกเราที่ยืนอยู่นอกวง สัมผัสได้ถึงอันตรายที่จะคุกคามชีวิตทันที

 

แต่เหล่าเฟิงกลับไม่หวั่นไหว เขายกดาบในมือขึ้นแล้วพุ่งเข้าไปทันที

 

“ ปัง ” กรงเล็บคู่นั้น เข้ามาบัดดาบ…

เพราะผีตานีมีพละกําลังมหาศาล ด้วยพลังของเหล่าเฟิง ไม่มีทางด้านอยู่อย่างแน่นอน

 

ขาสองข้างงอลง ตัวเขาลงไปคุกเข่ากับพื้นทันที

 

แต่เขายังกําดาบเอาไว้แน่น มืออีกข้างหนึ่งดันหลังดาบพยายามสู้กับผีตานีตนนั้นอย่างสุดฤทธิ์

 

กรงเก็บของมันแข็งมาก ตอนนี้มันกําลังปะทะกับดาบจักรพรรดิของเหล่าเฟิงส่งเสียง “ อีดอีด” แสบหู

 

แต่เหล่าเฟิงกลับไม่มีทีท่าว่าจะถอยหนี เขาคิดจะสู้กับผีตานี้ให้ตายไปข้างหนึ่ง

 

พอเห็นเหล่าเฟิงกําลังต้านไม่อยู่แล้ว แต่ทันใดนั้นเองเหล่าเฟงก็ตะโกนออกมา “ กระจกหยินหยาง หลิน ปิง โต้ว เจอะ เยีย เจิ้น เลี่ย เฉียน ฉิง เปิด ! ”

 

เสียงนี้ทั้งเบาและเร็ว หลังจากพูดจบ จู่ๆตรงหน้าอกของเหล่าเฟิงก็มีกระจกหยินหยางโผล่ออกมา

 

และยังมาพร้อมกับประกายแสงสีทอง

 

ผีตานีอยู่ใกล้แค่เอื้อม กรงเล็บทั้งสองข้างยังถูกดาบกดเอาไว้ดังนั้นวินาทีที่กระจกออกมา ผีตานี้ยังไม่ทันรู้ตัว มันก็ลอยเข้าไปติดที่หน้าอกเธอแล้ว

กระจกหยินหยางเป็นของธาตุหยาง แต่มันมีความสามารถสยบปีศาจ ขับไล่พลังชั่วร้ายออกจากศพ

 

ผีตานีตนนั้นรู้สึกร้อนที่หน้าอก พลังหยางแพร่ซานไปทั้งตัวต่อจากนั้นเสียง “ ซ่าซ่าซ่า ” ของการเผาไหม้ และควันที่ดําก็ตามมา

ติดๆ

 

ผีตานีเจ็บหน้าอกมาก แต่ก็โมโหมากกว่า

 

คิดไม่ถึงว่าการโจมตีครั้งนี้ของตัวเองจะโดนเหล่าเพิ่งขัดขวางและยังโดนอีกฝ่ายเล่นงานด้วย

เธอไม่สนใจที่จะดึงกระจกที่หน้าอกออก แต่คํารามออกมาหนึ่งครั้งด้วยความโมโห จากนั้นก็ตวักกรงเล็บลงอย่างรวดเร็ว เธอคิดจะเอาชีวิตเหล่าเฟิงเพื่อระบายความแค้นให้ตัวเอง

 

เหล่าเฟิงจะต้านแรงที่มหาศาลของผีตานี้ได้ยังไง ? ผีตานีเพิ่งออกแรง สันดาบก็กดลงที่ไหล่ของเหล่าเฟิงแล้ว ปลายกรงเล็บที่แหลมคมได้แทงเข้าไปในหัวไหล่ของเหล่าเฟิงแล้วเช่นกันเลือดสดๆค่อยๆไหลซึมลงบนเสื้อของเขา

เสี้ยววินาทีต่อมาเสียง “ ก๊ก ” ก็ดังขึ้น ไหล่ของเหล่าเฟิงโดนกดจนไหล่หลุด จะจินตนาการได้ว่าพละกําลังของเธอนั่นเย อะขนาดไหน

ถ้ากดลงไปมากกว่านี้ ไหล่ของเหล่าเฟิงไม่ใช่แค่หลุดแน่ๆแต่คงขาดหรือแม้แต่ต้องแลกด้วยชีวิตแทน

 

เรื่องนี้เกิดขึ้นเร็วมาก เพียงแค่ชั่วพริบตาเดียวเท่านั้น

ดังนั้นผมและหยางเฉ่ว เลยเข้าไปช่วยเหล่าเฟิงไม่ทัน

 

แต่ขณะที่ผีตานีตนนั้นกําลังจะโจมตีอีกครั้ง กําลังจะเอาชีวิตเหล่าเฟิง ผมและหยางเฉ่วก็ถือดาบเข้าไป

แต่เหล่าเฟิงที่โดนกดอยู่ ยังไม่ยอมแพ้ เขาพูดขึ้นมาว่า “ เพี้ยง!

 

เสียงคาถาดังขึ้นอีกครั้ง ทันใดนั้นเอง ประจกหยินหยางก็ส่องประกายเหมือนกับปล่อยพลังที่มหาศาลออกมา

ส่วนผีตานีตนนั้น ก็กรีดร้องออกมาทันที

 

เพราะความทรมาน การเคลื่อนไหวของเธอเลยหยุดลงแล้วเปิดช่องโหวให้เห็น

“ รีบ รีบฆ่ามันซะ !” เหล่าเพิ่งรีบพูดขึ้นมา ด้วยเสียงที่อ่อนล้า

 

เหล่าเฟิงใช้ชีวิตสร้างโอกาสให้พวกเรา จึงเป็นธรรมดาที่พวกเราจะไม่ปล่อยผ่านไปง่ายๆ

 

ครั้งนี้ไม่เพียงต้องช่วยเหล่าเฟิงอย่างเดียว แต่เรายังต้องเอาชีวิตปีศาจตนนี้ให้ได้

 

ผมไม่พูดพร่ําทําเพลง รีบเร่งความเร็ว

 

ผีตานตนนั้นทรมานยิ่งกว่าอะไรดี เธอบ้าคลั่งขึ้นมาทันที

เธอตบเหล่าเฟิงทันที เหล่าเฟิงกระเด็นออกไปเหมือนใบไม้ร่วงที่ลอยตามลม ท้ายที่สุดเขาก็ร่วงกระแทกกับพื้นและกลิ้งออกไปอีกสองสามตลบ

 

ต่อจากนั้น ผีตานีก็รีบหยุดมือ เอื้อมไปดึงกระจกที่หน้าอกตัวเองออกแสงสีทองทําให้เธอทรมานสุดๆ

 

หรือแม้แต่ทําร้ายจนถึงแก่นพลังปีศาจของเธอ

 

แต่กระจกหยินหยางก็เหมือนถูกทากาวเอาไว้ แม้ว่าผีตานี้จะออกแรงยังไงเธอก็ดึงกระจกออกมาไม่ได้สักที แถมยังแผดเผากรงเล็บของเธออย่างต่อเนื่อง

 

เธอเพ่งสมาธิทั้งหมดไปที่การดึงกระจก จนไม่ได้สังเกตเห็นการเคลื่อนไหวของพวกเราเลยสักนิด

 

ผมและหยางเนิ้วคว้าโอกาสนี้ ไม่ได้หันไปสนใจเหล่าเฟิงที่นอนคว่าอยู่กับพื้น รีบพุ่งเข้าไป เอาดาบไม้ทั้งสองเล่มแทงไปที่หน้าอกของอีกฝ่าย…………

ตอนผีตานีสังเกตเห็นผมและหยางเฉ่วมันก็สายไปแล้ว

ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยความตกใจคิดไม่ถึงว่าพวกเราจะจู่โจมเข้ามาเร็วขนาดนี้

 

และดาบไม้ในมือพวกเรา ก็ห่างจากเธอไม่ถึงครึ่งเมตรมันกําลังเข้าไปคุกคามชีวิตเธอแล้ว

 

สถานการณ์ผลิกเร็วมาก นาทีก่อนมันยังได้เปรียบ สร้างแรงกด ดันต่างๆนานา โจมตีซะพวกเรารับมือไม่ทัน

แต่นาทีนี้ เหล่าเฟิงกลับแลกด้วยชีวิต เอากระจกหยินหยางออกมาโจมตี ทําให้อีกฝ่ายบาดเจ็บจนถึงแก่นพลัง ในเวลาเดียวกันยังสร้างโอกาสสังหารให้พวกเราอีกด้วย

ทําให้ผีตานีที่เคยได้เปรียบ กลับมามีชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้ายอาจโดนพวกเราปลิดชีวิตได้ตลอดเวลา

ผีตานีหวาดผวา ไม่สนใจดึงกระจกที่หน้าอกอีกต่อไป เดิมที่เธอสามารถหลบได้ แต่ตอนนี้มันสายไปแล้ว

 

“ ฉีกๆ ” ดาบไม้ในมือผมและหยางเฉ่า แทงทะลุหน้าอกของอีกฝ่าย

 

เลือดสดๆหยดแล้วหยดเล่า ไหลไปตามปลายดาบ

 

ตัวผีตานีแข็งที่อ ใบหน้าเต็มไปด้วยความหวาดกลัว หรือบางทีเธอเองก็คิดไม่ถึง ว่าตัวเองจะตกอยู่ในเงื้อมมือของพวกเรา

 

ผมจ้องใบหน้า ที่ไม่อยากเชื่อของผีตานีอย่างเย็นชา ขณะเดียวกันก็พูดออกมาว่า “ จบกันที ! ”

 

ขณะพูด ผมก็ขยับดาบไม้ในมือ ทําให้แผลใหญ่กว่าเดิมแล้วจากนั้นก็ยกเท้าถีบอีกฝ่ายทันที

ผีตานตัวเขียวถูกผมถีบกระเด็นล้มกลิ้งไปเกือบสองเมตร

แต่มันยังไม่จบเท่านั้น แม้ผีตานีจะไม่ใช่ร่างดั่งเดิม แต่เธอก็เอาลําต้นมาแปลงเป็นร่างปีศาจ

ตอนนี้เธอยังพอมีกําลังสู้อยู่

 

ผมเลยไม่เหลือโอกาสให้อีกฝ่ายได้พักหายใจ ไม่รอให้อีกฝ่ายได้ลุกขึ้น ผมก็พุ่งเข้าไปแล้ว ผมยกดาบขึ้น

 

เล็งไปที่คอของอีกฝ่าย

 

เมื่อผีตานีเห็นภาพนี้ ก็ทําหน้าหวาดกลัว ม่านตาขยายใหญ่ปากร้องออกมาทันที “ อย่า……”

 

แต่ผมกลับไม่ใยดี “ โต๊ะ ” เสียงร้องของผีตานี้เงียบลงและตอนนี้หัวของเธอก็โดนผมตัดเรียบร้อย

เมื่อหยางเฉ่วเห็นฉากนี้ ก็ไม่ได้สนใจอะไรมากนักเพียงเก็บดาบแล้ววิ่งไปหาเหล่าเพิ่งแทน

สําหรับผีตานีที่โดนตัดหัน พลังปิศาจก็จางหายไปอย่างรวดเร็ว

แล้วสุดท้ายก็ “ ปัง” เหมือนลูกโป่งร่างกายระเบิดกลายเป็นควันสีเขียวเหลือทิ้งเอาไว้เพียงเศษซากต้นกล้วย

 

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset