ศพ – ตอนที่ 304 ปีศาจตัวที่สาม

ตอนที่ 304 ปีศาจตัวที่สาม

 

วินาทีที่ร่างของผีตานีกลายเป็นควันสีเขียวและจางหายไปนั่น ก็มีแสงสีเขียวพุ่งขึ้นท้องฟ้า หลังจากนั้นก็ลอยหายเข้าไปในป่าลึกอย่างรวดเร็ว

 

ผมรู้ดี แสงสีเขียวนี่ก็คือร่างเดิมของผีตานี

 

และผีตานีตนนั้นก็ยังไม่ตาย เพียงแค่ร่างปีศาจโดนทำลาย และตัวเธอก็บาดเจ็บสาหัส

 

หากอยากจะกำจัดอีกฝ่ายให้สิ้นซาก ยังไงก็ต้องไปทำลายเหง้าของมัน

 

ไม่อย่างนั้นปีหน้าต้นกล้วยก็จะเติบโตและออกปลีอีกครั้ง ถึงเวลานั้นผีตานีก็จะออกมาปรากฏตัวอีกครั้ง

 

ผมจดจำทิศทางที่ลำแสงลอยหายไป คิดว่าอีกเดี๋ยวค่อยตามไปตัดรากถอนโคนก็ยังไม่สาย

 

แต่ตอนนี้สิ่งที่ผมเป็นห่วง ยังเป็นเหล่าเฟิง

 

เมื่อกี้เขาเข้าไปปะทะกับผีตานี สุดท้ายยังโดนผีตานีตบจนล้มกลิ้ง กระเด็นออกไปไกลมาก เห็นได้ชัดว่าเขาต้องได้รับบาดเจ็บสาหัสแน่

 

ผมรีบหมุนตัว วิ่งไปทางเหล่าเฟิง เพื่อตรวจสอบอาการบาดเจ็บของเขา

 

“ เหล่าเฟิง เป็นยังไงบ้าง ? ” ผมวิ่งไปพูดไป

 

หน้าเหล่าเฟิงค่อนข้างซีด มีรอยช้ำตามตัวเล็กน้อย ตอนนี้มีหยางเฉ่วประคองอยู่

 

เพียงแค่แขนซ้ายของเขา ดูเหมือนจะยุบลง ห้อยต่องแต่งอย่างกับคนไร้กระดูก สูญเสียความสามารถในการควบคุมไปแล้ว

 

สีหน้าท่าทางของเหล่าเฟิง เห็นได้ชัดว่ากำลังทรมานมาก หายใจหอบเหนื่อยอย่างต่อเนื่อง

 

เขาจ้องผม พร้อมพูดอย่างคนทรมาน “ แขนขวา แขนขวาเคลื่อน ขยับไม่ได้แล้ว ! ”

 

ผมรีบเข้าไปข้างหน้า ช่วยกันตรวจดูอาการของเหล่าเฟิงกับหยางเนิ้ว

 

เราพบว่านอกจากรอยข่วนบนไหล่แล้ว แขนขวาของเขาก็เคลื่อนอย่างไม่ต้องสงสัย และไม่ได้หักอย่างแน่นอน

 

แต่เหมือนเขาจะสุดพลังปีศาจไปเยอะพอสมควร บวกกับใช้พลังไปมากเกินไป ตอนนี้เลยค่อนข้างอ่อนแอ

 

“ นายทนหน่อยนะ ! ฉันจะย้ายกระดูกกลับมาให้ ” ขณะพูดผมก็เตรียมตัวจะลงมือ

 

หยางเฉ่วหยิบกิ่งไม้มาให้เหล่าเฟิงกัด เพื่อไม่ให้เขากัดลิ้นตัวเองในเวลาเดียวกันเธอก็ปรับท่าประคองเขาให้ดี

 

ผมเห็นเหล่าเฟิงพร้อมแล้ว หลังจากขยับแขนขวาของเขาสอง สามครั้งผมก็เริ่มออกแรง “ กึกกึก ”

 

ย้ายกระดูกแขนที่เคลื่อนของเหล่าเพิ่งกลับมาทันที

 

เหล่าเฟิงเจ็บจนเหงื่อออก กิ่งไม้โดนกัดจนเห็นเป็นรอยฟันลึก

 

แต่เหล่าเฟิงแมนมาก เขาไม่ร้องลั่นเลยสักนิด

 

“ เหล่าเฟิง นายลองขยับดู ! ”

 

เหล่าเฟิงเจ็บจนตัวสั่นอยู่บ้าง แต่เขาก็พยักหน้า พยายามควบ คุมแขนให้มันขยับสองสามครั้ง

 

แม้แขนจะบวม และยังต้องการพักฟื้น แต่ดูจากสภาพในตอนนี้มันก็กลับมาขยับได้ดังเดิมแล้ว

 

“ ฉันไม่เป็นอะไรแล้ว พวกนาย พวกนายสองคนรีบไปช่วยอาจารย์ฉันกับพวกท่านลุงติงเถอะ ! อย่าชักช้าอยู่เลย ฉันไม่ตายหรอก ” เหล่าเพิ่งทำหน้าจริงจัง ขณะพูดก็หยิบดาบจักรพรรดิขึ้นมาอีกครั้ง ในเวลาเดียวกันก็ผลักผมครั้งหนึ่ง

 

ตอนนี้ผีตานีสามตน โดนจัดการราบคาบไปแล้วหนึ่งตน อีกตนบาดเจ็บหนักสูญเสียงพลังรบ เหลือเพียงแค่ไปทำลายเหง้ามันเท่านั้น

 

ตอนนี้ เหลือแค่ผีตรงหน้าตัวสุดท้ายแล้ว

 

และผีตัวนี้ ก็เป็นตัวที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาผีทั้งสาม ผีตานีที่ฆ่าคนตายคาบ้าน

 

พวกอาจารย์ และปีศาจตนนี้สู้กันมานานขนาดนี้แล้ว แต่ก็ยังไม่รู้ว่าใครจะแพ้ใครจะชนะ จะเห็นได้ว่าอีกฝ่ายแข็งแกร่งขนาดไหน

 

ผมรู้ว่ามันร้ายแรงขนาดไหน หากไม่กำจัดผีตัวนี้ให้สิ้นซาก พวกเราก็ไม่อาจอยู่อย่างปลอดภัยได้ หรือแม้แต่มีอันตรายถึงชีวิต

ผมมองเหล่าเฟิงที่กำลังหายใจหอบเหนื่อย และพยายามลุกขึ้นด้วยความยากลำบาก จากนั้นผมก็พูดขึ้นมาว่า “ ได้! นายพักผ่อนก่อนนะ ! ”

 

พอพูดจบ ผมก็มองหยางเฉ่ว “ หยางเฉ่ว พวกเราไป ! ”

 

หลังจากพูดจบ ผมก็ยกดาบไม้ขึ้นแล้ววิ่งไปทางที่พวกอาจารย์อยู่ทันที

 

หยางเนิ่วหันมาพยักหน้าให้เหล่าเฟิง จากนั้นก็รีบวิ่งตามไป

 

เหล่าเพิ่งตัวสั่น เขาเองก็อยากไปช่วย

 

แต่เมื่อกี้เขาสู้กับผีตานีตนนั้นหนักเกินไป บวกกับเขาสูญเสียพลังไปกับกระจกหยินหยางค่อนข้างเยอะ

 

และสุดพลังปีศาจเข้าไป แถมยังมีปัจจัยอื่นๆอีก

 

ผลลัพธ์เขาเพิ่งเดินได้ไม่กี่ก้าว ก็ “ ปัก ” ล้มลงกับพื้น และสลบไปในทันที

 

ฝั่งของอาจารย์และท่านนักพรตต์ ก็ต่อสู้กันอย่างดุเดือด

 

แม้ว่าอาจารย์และท่านนักพรตตูจะเป็นมีวิชาอาคมเก่งกล้า แต่พวกเขาก็ยังไม่อาจปราบปีศาจตนนี้ได้

 

ผมและหยางเนิ่วมาถึงสนามรบอย่างรวดเร็ว พอเห็นโอกาสโจมตีพวกเราก็เข้าไปทันที

 

แม้เราสองคนจะไม่พลังไม่สูงมาก แต่พวกเราก็มาถึงขั้นถือเต้าจงและเตียนเฟิงแล้ว

 

ถ้าสู้ตัวต่อตัวละก็ เราสามคนไม่มีทางเป็นคู่ต่อสู้ของผีตานีตนนี้ได้เลย

 

แต่สถานการณ์ในตอนนี้ไม่เหมือนกัน มีพวกอาจารย์เป็นตัวหลักส่วนพวกเราก็คอยลอบโจมตี

 

ในเวลาเดียวกันก็สามารถช่วยลดแรงกดดันได้บ้าง

 

เดิมที่เป็นการสู้ที่รับมือยากมาก ไม่อาจหาฝ่ายแพ้ชนะได้สักที

 

แต่หลังจากผมและหยางเฉ่วเข้ามา สถานการณ์ก็เริ่มมีการเปลี่ยนแปลง

 

ผีตานีตนนี้จะต้องแบ่งสมาธิมาคอยระวังผมและหยางเฉ่ว ดังนั้นเธอจึงเริ่มตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ

 

ตอนแรกผีตานีตนนี้ยังคิดว่าผมและหยางเฉวอ่อนแอ จึงโจมตีใส่พวกเราสารพัดวิธี คิดจะฆ่าเราสองคนก่อน

 

แต่ผมสองคนก็ไม่ได้โง่ พอยัยปีศาจนี่เข้ามาพวกเราก็ถอยหนีขณะเดียวกันพวกอาจารย์ก็จะเข้าไปกันข้างหน้าเอาไว้

 

ทำให้ผีตานีจนปัญญา ได้แต่คำราม “ โฮกโฮกโฮก ” ด้วยความโมโห

 

เธอในตอนนี้ ไม่อาจสู้ได้ จะถอยก็ถอยไม่ได้ ได้แต่กัดฟันปะทะกับพวกเราต่อไป

 

แต่จากสถานการณ์แบบนี้ การที่ผีตานีตนนี้จะโดนฆ่าเมื่อไหร่ก็ขึ้นอยู่กับเวลาแล้ว

 

เหมือนการต่อสู้จะผ่านไปราวๆสิบนาทีกว่าๆ จู่ๆหยางเฉวก็ได้โอกาส เธอเล็งไปที่ร่างผีตานี พร้อมหยิบยันต์ขึ้นมาหนึ่งแผ่น

 

หยางเนิ่วใช้วิชายันต์ผนึกเก่งที่สุด ตอนนี้พอยันต์ลอยออกจากมือ เธอก็ยกมือข้างเดียวทำเป็นรูปดาบ

 

พร้อมพูดขึ้นมาว่า “ ขอเชิญเทพลุ่ยลิ้ง เพี้ยง !”

 

คาถาเพิ่มดังขึ้น ยันแผ่นนั้นก็เปล่งแสงออกมา “ ตูม” ทันใดนั้นเองมันก็เข้าไปที่หลังผีตานี

 

ผีตานีตนนี้แข็งแกร่งที่สุด มันก็รับรู้ได้ถึงอันตราย จึงหมุนตัวพ่นควันสีเขียวออกมา คิดจะเปายันต์ให้ปลิว

 

ราวกับยันต์แผ่นนี้ติดปีก มันลอยผ่านม่านควันสีเขียว พุ่งตรงไปหาผีตานีอย่างเดียว

ผีตานีทำหน้าหวาดกลัว รีบกางกรงเล็บ คิดจะฉีกยันต์แผ่นนี้ทิ้ง

 

แต่มือของเธอเพิ่งสัมผัสกับยันต์ หยางเฉ่วก็พูดขึ้นมาอีกครั้ง “ ทำลาย ! ”

 

“ ตูม” เสียงระเบิดดังขึ้น ยันต์แผ่นนั้นระเบิดในทันที

 

พลังของยันต์ ทำให้กรงเล็บที่ง่างออกไป โดนระเบิดเป็นแผลหลายแห่ง เลือดสดๆไหลหยดตามนิ้ว

 

เมื่อเห็นภาพนี้ ผมก็พุ่งเข้าไป ยังไม่รอให้ผีตานี้รู้ตัว ดาบของผมก็เกือบประชิดตัวเธอแล้ว

 

แม้ผมจะทำได้สมบูรณ์แบบขนาดไหน แต่การเคลื่อนไหวของปีศาจตนนี้ก็เร็วเกินไป วินาทีที่ผมกำลังจะแทงโดนเธอ เธอก็เบี่ยงตัวหลบอย่างรวดเร็ว

 

ดาบไม้เฉียดคางรอยบาดเล็กน้อย

 

การโจมตีครั้งนี้ไม่อาจฆ่าเธอได้ ช่างน่าเสียดายมาก แต่ผมก็ยังมีลูกเล่นอีกอย่าง

 

วินาทีที่ผีตานีเบี่ยงตัวหลบ ผมก็ใช้มือขวา “ แปะ ” แปะยันต์ทำลายเข้าไปที่เอวของอีกฝ่าย

 

ดวงตาของอาจารย์ ก็เห็นฉากนี้

 

บวกกับยันต์ของผม เป็นวิชาที่อาจารย์ถ่ายทอดให้ทั้งหมด เมื่อเห็นผมแปะยันต์ทำลายลงบนเอวผีตานี

 

เขาก็ดีใจขึ้นมาทันที

 

พวกเราสู้กันมาตั้งนาน ยังหาโอกาสเข้าใกล้อีกฝ่ายไม่ได้เลย

 

ผลลัพธ์กลับคิดไม่ถึงว่าผมและหยางเนิ่วที่เพิ่งเข้ามาได้แค่สิบกว่านาที กลับลงมือทำสำเร็จทั้งคู่

 

อาจารย์ไม่คิดอะไรมากนัก เสกคาถายันต์ทำลายก่อนผม แล้วสุดท้ายก็ประสานมือเป็นรูปดาบ และพูดขึ้นว่า “ ขอเชิญเทพลุ่ยลิ้ง ทำลาย ! ”

 

เสียงเพิ่งดังขึ้น แสงสีขาวก็ทอประกาย

 

“ ตูม ” ยันต์ทำลายระเบิดในทันที

 

ต่อจากนั้นเสียงกรีดร้อง “ อร๊าย ” ของผีตานีก็ตามมาติดๆ พลังเวทอันทรงพลังระเบิดทำให้ผีตานี้กลิ้งไปนอนกองกับพื้นทันที

 

พลังของอาจารย์มีเยอะกว่าผมและหยางเฉ่ว ยันต์ที่เขาเป็นคนที่องคาถาย่อมทรงพลังกว่าของผมอยู่แล้ว

 

หรือจะบอกว่ายันต์แผ่นนี้ มีพลังมากกว่าตอนผมเสกคาถาถึงสองเท่า

 

พลังเวทอันทรงพลัง ทำให้เอวผีตานีโดนระเบิดจนเป็นแผลเหวอะ เลือดไหลไม่หยุด ตัวสั่นไปหมด

 

ท่านนักพรตตู้และเหล่าฉินที่อยู่อีกทางด้านหนึ่งล้วนเป็นคนเจนสนาม พวกเขากำลังรอโอกาสนี้อยู่

 

จึงเป็นธรรดาที่พวกเขาจะไม่ปล่อยมันไป

 

ทั้งสองคนต่างแยกย้ายลงมือ ยังไม่รอให้ผีตานีได้ลุกขึ้นมาพวกเขาก็พุ่งเข้าไปหาแล้ว

 

ดาบเล่มหนึ่งปักลงที่หน้าอกของผีตานี ดาบอีกเล่มหนึ่งก็ปักลงบนหน้าผากผีตานี

 

ผีตานีตนนั้นตัวสั่น ยังไม่ทันได้ร้องออกมา ร่างปีศาจของเธอก็กลายเป็นควันสีเขียว แล้วลอยหายไปในอากาศ

 

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset