ศพ – ตอนที่ 31 เจอผีดิบ

จู่ๆผมก็เห็นผีดิบโผล่ออกมา วินาทีนั้นผมจึงนิ่งอึ้งทันที

สำหรับผีดิบ ในสายงานของพวกเรา มีเรื่องเล่าเยอะมาก ขนาดที่พูดได้ว่าเป็นเรื่องที่ฟังจนคุ้นหูกันเลยละ

แต่ว่า ผมยังไม่เคยเห็นจริงๆเลยสักครั้ง

ตอนนี้เมื่อได้เห็นแล้ว ผมกลับรู้สึกหวาดผวา เหมือนกับความกลัวนั้นแผ่ซ่านไปทั่วทั้งตัว

ขนเริ่มลุกขึ้นมาเป็นชั้นๆ ตามมาด้วยความหนาวสั่น ตอนนี้ผมไม่รู้ว่าควรทำยังไงดี

ผีดิบตนนั้น กำลังใช้จมูกดมกลิ่น พร้อมหันไปรอบๆอย่างต่อเนื่อง เหมือนกับการปรับให้เข้ากับสภาพแวดล้อมที่อยู่รอบตัว

 

ส่วนดวงตาที่เต็มไปด้วยความโกรธที่ไม่สิ้นสุดนั้น ก็เป็นเพียงของตกแต่ง เพราะมันไม่สามารถใช้ได้จริง

ทันใดนั้น เหมือนจมูกของผีดิบจะได้กลิ่นลมหายใจของผม หลังจากมั่นใจกับตำแหน่งของผม มันก็ก้มหัวลงเล็กน้อย

ใช้ดวงตาขาวโพน มองมาที่ผม

แม้จะพูดว่าดวงตาเป็นแค่ของตกแต่ง แต่วินาทีนั้นที่ดวงตาคู่นั้นหันมาจ้อง ผมกลับรู้สึกหนาวเย็นไปทั้งตัว

ผมจึงถอยหลังตามสัญชาตญาณ แต่วินาทีนั้นกลับพบว่า ด้านหลังเป็นผนัง ผมจึงไม่สามารถขยับไปไหนได้อีก

ผมหายใจถี่ๆด้วยความเครียด กลืนน้ำลายหลายครั้ง ฟันเริ่มสั่นโดยที่ไม่รู้ตัว และสติเริ่มไม่อยู่กับเนื้อกับตัว

 

แต่ผีดิบตนนั้น กลับเขย่งเท้าขึ้น ทันใดนั้น “บึก” เสียงก้าวเท้ามาข้างหน้าก็ดังขึ้น

ตอนนี้ ตัวผมอยู่ห่างจากมันเพียง 2 เมตรเท่านั้น

ขณะที่กำลังพิงติดกับผนัง ผมรู้สึกว่าใจของตัวเองกำลังจะระเบิดออกมาแล้ว

เพราะผมไม่เคยเจอเรื่องแบบนี้มาก่อนในชีวิต การที่จู่ๆก็ต้องมาเผชิญหน้ากับมัน จึงทำให้ผมรู้สึกรับไม่ไหวจริงๆ

แต่ในตอนนั้นเอง เฟิงเฉ่วหานที่อยู่ห่างออกไป กลับตะโกนใส่ผีดิบว่า “อยู่นี่! มองมาทางนี้ซิ!”

เสียงนี้ทำลายความเงียบในห้องโถงทันที และเมื่อเสียงนี้ดังขึ้น

 

ผีดิบที่เคยจ้องผมนั้น ก็หมุนตัวทันที มันมองไปที่เฟิงเฉ่วหาน

วินาทีนั้นผีดิบได้เผยสีหน้าที่สยดสยองออกมา อ้าปากที่เต็มไปด้วยเลือด จากนั้นก็คำรามใส่เฟิงเฉ่วหานทันที “แฮ่!”

เสียงที่ทุ้มต่ำ ราวกับเสียงสัตว์ป่าก็ไม่ปาน

และหลังจากที่คำรามเสร็จ ผีดิบตนนั้นก็ยกมือสองข้างขึ้นและเขย่งเท้าไปที่เฟิงเฉ่วหานทันที

เฟิงเฉ่วหานเผยสีหน้าเคร่งเครียด ถือดาบไม้เอาไว้ และมองไปที่ผีดิบและพูดกับผมว่า “ติงฝาน รีบจับอาวุธ”

ผมที่กำลังกลัวจนสุดขีด เมื่อได้ยินคำพูดแบบนี้ สติของผมก็กลับมาอีกครั้ง

สีหน้าเศร้าหมอง พร้อมตะโกนว่า “อืออือ” จากนั้นก็รีบลุกขึ้น และหาอาวุธที่อยู่ใกล้ตัวทันที

 

ช่วงเวลานั้น แม้ว่าความรู้สึกเครียด กลัว และอารมณ์อื่นๆจะผสมปนเปอยู่ด้วยกัน แต่ผมไม่ได้กลัวจนเสียสติ ผมยังพอมีความคิดอยู่บ้าง

ศพได้เปลี่ยนเป็นผีดิบไปแล้ว ดังนั้นตอนนี้จะพูดอะไรก็ไม่ได้ประโยชน์แล้ว

สิ่งเดียวที่พอทำได้ ก็คือคิดหาวิธีให้มันกลับลงไปนอนในโลงอีกครั้ง

ผมรีบพุ่งตัวไปหากระเป๋าที่กระจัดกระจายอยู่ข้างๆ ผมจับดาบเหรียญ และยันต์อีกสองสามแผ่นขึ้นมา

ตอนนั้น ผีดิบได้เขย่งเท้าไปถึงด้านหน้าของเฟิงเฉ่วหานเรียบร้อยแล้ว เฟิงเฉ่วหานเป็นคนมีฝีมือ

เมื่อก่อนคงได้เผชิญหน้ากับเหตุการณ์ที่เลวร้ายแบบนี้ ดังนั้นเมื่อเห็นผีดิบเข้ามา เขาก็โยนข้าวออกไปหนึ่งกำมือ

 

การโยนข้าวใส่ศพ สามารถลดพลังวิญญาณจากศพได้

เมื่อสิ่งนี้สัมผัสโดนผีดิบ เสียง “ซ่าซ่า” ก็ปรากฎขึ้น พร้อมกันนั้นยังมีควันสีดำๆลอยออกมา ดูเหมือนกับหัวแร้งที่สัมผัสโดนผิวของหนังคน

และข้าวที่โยนออกไป จากความเร็วที่มองเห็น มันกลายเป็นสีดำ ราวกับก้อนถ่าน

นี่เป็นเพราะการติดพิษจากศพ ดังนั้นมันจึงเปลี่ยนสี

ผีดิบทุกข์ทรมาน กรีดร้องโหยหวนออกมา แต่มันไม่ได้ร้ายแรงมากนัก ทำได้เพียงชะลอการเคลื่อนไหวได้ครู่เดียวเท่านั้น

และการโจมตีครั้งนี้ ยังทำให้ผีดิบเริ่มโกรธ

 

ปากของมันคำรามออกมาอย่างต่อเนื่อง มันแยกเขี้ยวที่แหลมคม และเขย่งเข้าไปหาเฟิงเฉ่วหานทันที

เฟิงเฉ่วหานเองก็ไม่พูดอะไร หยิบดาบไม้ขึ้นมาและฟันออกไปอย่างมั่วๆ

หลังจากศพเปลี่ยนไป ร่างกายของเจ้านี้ก็เปลี่ยนไปแข็งกระด้างยิ่งกว่าเดิม

เมื่อดาบไม้สัมผัสโดนตัวมัน ก็ดูเหมือนกับคนปกติที่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น

แขนทั้งสองข้างของผีดิบ ตรงเข้าไปจับตัวเฟิงเฉ่วหานอย่างต่อเนื่อง

แต่ความเร็วและการเคลื่อนไหวตัวที่ไม่ช้าจนเกินไป ทำให้เฟิงเฉ่วหานที่ท่องเที่ยวไปทั่วนั้น สามารถรับมือได้อย่างง่ายได้

ตอนนี้ผมเองก็ได้ถือดาบเหรียญไว้เรียบร้อยแล้ว เมื่อเห็นผีดิบกำลังไล่ล่าเฟิงเฉ่วหาน

 

ผมก็กัดฟัน และพุ่งเข้าไปทันที “ฉันมาช่วยนายแล้ว!”

ขณะที่พูด ผมก็แทงดาบเหรียญไปข้างหน้า

หลังจากนั้นก็มีเสียงดัง “บึก” ดาบเหรียญแทงเข้าตรงกลางของหลังผีดิบ แต่ผมกลับรู้สึกว่ามันแข็งกว่าปกติ

ส่วนผีดิบนั้นกลับระเบิดแรงโมโหออกมา มันกรีดร้องออกมาทันที

จากนั้นก็หมุนตัว และใช้แขนทั้งสองข้างกวาดแกว่งไปมา

ผมตกใจ จึงรีบหลบทันที

กรงเล็บที่แหลมคม เฉียดปลายจมูกของผมไป อีกแค่นิดเดียวก็เกือบทำให้ผมบาดเจ็บแล้ว

 

“ติงฝาน พวกเราสองคนอ่อนเกินไป ถ้าคิดจะเป็นคู่ต่อสู้กับผีดิบ ต้องทำลายประตูชีวิตของมัน!” เฟิงเฉ่วหานรีบพูด

แต่ผมมันไร้เดียงสา ไม่รู้ว่าประตูชีวิตของผีดิบอยู่ที่ไหน

ผมรีบถอยหลังอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ถามว่า “แล้วไอ้ประตูชีวิตนั้นอยู่ที่ไหน ฉันไม่รู้จัก!”

“ที่ปากและตูด แค่สามารถปล่อยพลังจากผีดิบตนนี้ได้ มันก็ทำอะไรไม่ได้มากแล้ว!” ขณะที่พูด เฟิงเฉ่วหานก็ลงมืออีกครั้ง

และผีดิบก็ถูกเฟิงเฉ่วหานทำให้โกรธอีกครั้ง มันก็เขย่งเท้ากลับไปทางเฟิงเฉ่วหานอีกครั้ง

ขณะที่ผมมองผีดิบ ก็เผยสีหน้าที่เขินอายออกมานิดหน่อย

 

ถ้าที่เฟิงเฉ่วหานพูดถูก พลังทั้งหมดที่ผีดิบมี ก็ต้องรวมกันอยู่ภายในร่างของพวกมัน

แค่ปลดปล่อยพลังนี้ออกมา เจ้าผีดิบตนนั้นก็จะอยู่ต่อได้อีกไม่นานแล้ว

แต่เจ้าประตูชีวิตนี้ ช่างลงมือยากลำบากเอาการอยู่นะ เพราะมันคือปาก และตูด

ผมรู้สึกว่า คำพูดนี้ค่อนข้างน่าเชื่อ และตูดก็เป็นส่วนที่ลงมือได้ง่ายที่สุด

เพราะด้านหลังของเจ้านี้ก็ไม่มีตางอกออกมา การแทงตูดเจ้านี้ คงไม่ใช่เรื่องยากอะไร และเจ้านี้ยังเป็นผู้หญิงด้วย

แต่เมื่อเห็นการต่อสู้ที่แสนยากลำบากของเฟิงเฉ่วหาน ผมจึงไม่สนอะไรอีก

 

จับดาบเหรียญให้มั่น จากนั้นก็พุ่งเข้าไปแทงอีกครั้ง

เล็งไปที่ตูดของผีดิบ จากนั้นก็แทงเข้าไปทันที

แต่ก็ไม่รู้ว่าผีดิบตนนี้มีลางสังหรณ์อะไรรึเปล่า ขณะที่ผมเข้าไปแทงมัน จู่ๆในพริบตานั้น มันกลับกระโดดหลบไปข้างๆ ผมจึงแทงเข้ากับอากาศ

แต่นี่ยังไม่จบ แขนของผีดิบ ยังแกว่งไปมา จนโดนที่ไหล่ของผม

วินาทีนั้น ผมรู้สึกว่ามันแรงเยอะมาก จนทำให้รู้สึกเหมือนถูกรถชน

ผมอดไม่ได้ที่จะกรีดร้องออกมา ตอนนั้นร่างของผมยังกระเด็นออกไปตามแรงที่ชน

แต่ผีดิบตนนั้นกลับรีบกระโดดเข้ามาหาผม เธอเร็วมาก ในปากยังพ่นเสียง “กากากา” อย่างต่อเนื่อง

 

“ติงฝานระวัง” เฟิงเฉ่วหานตะโกนออกมาด้วยความตกใจ

เสียงพึ่งจางหาย ผีดิบก็พุ่งเข้ามาทันที

เธอก็เขย่งเท้าเข้ามา เอนตัวลงเล็กน้อย อ้าปากกว้าง และตรงเข้ามากัดที่คอของผม

ตอนนั้นผมรู้สึกเจ็บแขนมาก แต่เมื่อเห็นผีดิบพุ่งเข้ามา ผมจึงรีบยกมือขึ้นป้องกันทันที

ผมจับกามและคอของผีดิบเอาไว้ แต่เจ้านี้แรงเยอะมาก บวกกับเมื่อกี้ไหล่ขวาของผมบาดเจ็บ และต้องตอบสนองอย่างรีบร้อน จึงทำให้ผมเหลือแรงไม่มากนัก

ในตอนนี้ ผมจึงไม่สามารถหยุดผีดิบได้นานนัก

 

ร่างของมันกดตัวลงเรื่อยๆ แรงที่ตามมาก็เยอะมากเช่นกัน

ปากที่ชุ่มเลือด ตรงเข้ามาที่หลอดเลือดใหญ่ของผม

ขณะที่ผมมองเขี้ยวที่ขยับใกล้เข้ามา ผมก็สัมผัสได้ถึงความเย็นที่พ่นออกมาจากปากของมัน ตอนนี้ตัวผมนั้นตกใจจนชาไปครึ่งตัวแล้ว

ไม่เพียงเท่านั้นผมยังกลัวจนหัวใจเต้นผิดปกติ จบกันชีวิต ผมคิดว่าวินาทีต่อไปตัวเองต้องโดนผีดิบกัดตายแน่……

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset