ศพ – ตอนที่ 317 ผีร้ายชุดเหลือง

ศพ

ตอนที่ 317 ผีร้ายชุดเหลือง

ขณะที่รอบๆเพิ่งเกิดความผิดปกติขึ้น หยางเนิ่วที่เคยทําท่าเหนี่อยอ่อนก็กลับมากระปรี้กระเปร่าอีกครั้ง

เธอเลิกคิ้ว รําดาบต่อไป ในปากก็พูดมากขึ้นกว่าเดิม “ ภูติผีร้ายที่อยู่รอบๆทั้งหลาย จงกลับมา จงกลับมา !!”

ขณะที่คาถาเรียกวิญญาณดังขึ้น ลมที่อยู่รอบๆก็เริ่มแรงขึ้นเรื่อยๆไอเย็นที่ปล่อยออกมาก็เริ่มมากขึ้นเรื่อยๆ

ระหว่างนั้น ผมถึงกับสัมผัสได้ถึงพลังชั่วร้ายที่ลอยมาตามลม

เห็นได้ชัดว่า ผีผู้หญิงที่จากไปตนนั้น โดนคาถาเรียกวิญญาณเรียกกลับมา ห่างจากเราใกล้ขึ้นเรื่อยๆแล้ว

ผมและเหล่าเพิ่งหันมามองตากัน เราพยักหน้าเล็กน้อยในเวลาเดียวกันก็เปิดตาตามที่จิตใต้สํานึกบอก

ขณะที่ความเย็นของน้ําตาวัวปราฏกขึ้นที่เปลือกตา ทุกอย่างที่อยู่รอบตัวก็ชัดเจนขึ้นมาทันที

ตอนนี้เรามองเห็นได้อย่างชัดเจนแล้ว ในตําแหน่งทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ กําลังมีหมอกสีขาวลอยเข้ามา

มันจางมากไม่ได้หนาทึบ แต่ถ้าสังเกตจากรอบๆ มันจะดูชัดเจนเป็นพิเศษ

ไม่ผิดแน่ นั่นก็คือพลังหยินที่ผีผู้หญิงคนนั้นปล่อยออกมา

และทิศทางที่อีกฝ่ายจะปรากฏตัวขึ้น ก็ต้องเป็นทิศตะวันออกเฉียงใต้อย่างแน่นอน

ผมและเหล่าเฟิงส่งสัญญาณมือปรับทิศทางในการซุ่มโจมตี

ส่วนหยางเฉ่ว ยังคงทําพิธีต่อไป เธอจะต้องเรียกวิญญาณผีผู้หญิงเข้ามาใกล้ๆ พิธีถึงจะเสร็จสิ้น

ไม่อย่างนั้นวิญญาณผีผู้หญิงที่ถูกเรียกมาอาจหนีไปได้ตลอดเวลา

หยางเฉ่วก็รู้เรื่องนี้ ตอนนี้เธอเพ่งสมาธิทั้งหมดไปที่พิธีท่องคาถาเรียกวิญญาณไม่หยุด

ผมและเหล่าเฟิงถอยไปซ่อนตัวอยู่หลังเนินดินของทั้งสองข้างในมือกําเชือกแดงเอาไว้

หากยัยผีนั่นเข้ามาในกับดักที่พวกเราวางเอาไว้ เราก็จะกระตุกเชือกแดงทันทีขังผีผู้หญิงเอาไว้ในนั้น

จํากัดการเคลื่อนไหวของเธอ แล้วสุดท้ายเราก็จะจับกุมเธอได้

รอบๆเริ่มมีพลังหยินเยอะขึ้นเรื่อยๆ หมอกก็เริ่มหนาขึ้นเรื่อยๆ

หลังจากนั้นประมาณห้านาที ร่างของใครคนหนึ่งก็ปรากฎตัวขึ้นอย่างกระทันหัน

เห็นเพียงจู่ๆทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ก็มีร่างของใครคนหนึ่งกําลังลอยมาทางพวกเราอย่างรวดเร็ว

เพราะมันเร็วมาก เราเลยมองเห็นไม่ชัดเจน

จนกระทั่งอีกฝ่ายอยู่ห่างจากเรา 200 เมตร พวกเราถึงได้มั่นใจ

ไม่ผิดแน่ นี่ก็คือผีผู้หญิงที่เรารอกันมานานสองนาน

เพียงแต่ตอนที่พวกเราเห็นสีชุดที่ผีผู้หญิงใส่ เราก็อดเครียดขึ้นมาไม่ได้

เพราะสีชุดของผีผู้หญิงคนนี้เป็นสีเหลือง หรือจะพูดอีกอย่างคือผีผู้หญิงตนนี้ไม่ใช่แค่ผีร้าย แต่ยังเป็นผีชุดเหลืองที่ร้ายกาจอีกด้วย

เราแบ่งประเภทของผีออกเป็นห้าระดับใหญ่ คือขาว เหลือง แดง เขียวและม่วง

ในห้าระดับนี้ เรายึดสีเสื้อผ้า ตัดสินความแข็งแกร่งของพวกเธอ

ผมเคยได้ยินอาจารย์บอกว่า ถ้าผีร้ายอยู่ในชุดเหลือง พลังขั้นต่ําสุดจะไม่ต่างจากพลังขั้นเต้าฉือจงฉีของเราคนปราบสิ่งชั่วร้าย

หรือก็คือ พลังของผีชุดเหลืองตรงหน้า อย่างน้อยที่สุดก็มีพลังมากกว่าผมแล้ว

ถ้าเป็นแบบนั้น งั้นมันก็รับมือได้ยากแล้ว

พลังของเหล่าเฟิงและหยางเฉวสูงกว่าผมนิดหน่อยต่างขึ้นเป็นขั้นเต้าฉือเตียนเฟิงแล้ว แต่พวกเขาก็ยังไม่ถึงขั้นเต้าชื่อ

ถ้าพลังของผีชุดเหลืองมีพอๆกับเราก็ยังว่าไปอย่างเพราะถ้าเราสามคนร่วมมือกัน ก็อาจยังมีโอกาสชนะอยู่บ้าง

แต่ถ้าพลังของอีกฝ่ายสูงกว่าพวกเรา ถึงขั้นเต้าซื้อแล้วงั้นก็จัดการยากแล้ว

ผมกังวลในใจ แต่ก็ไม่มีทางเลือกอย่างอื่น

เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ทําได้เพียงแค่เตรียมใจ และรอให้ผีผู้หญิงเข้ามาติดกับเท่านั้น

ผ่านไปไม่นาน ผีผู้หญิงคนนั้นก็อยู่จากพวกเราไม่ถึงสิบเมตรแล้ว

เธอในตอนนี้ เหมือนคนกําลังเดินละเมอ ตาปิดสนิท ลอยมายังแท่นพิธีข้างหน้าอย่างล่องลาย

เมื่อเห็นผีชุดเหลืองเข้ามาใกล้เรื่อยๆ พวกเราก็ไม่กล้าหายใจแรงอีกต่อไป

หยางเนิ่วในเวลานี้กําลังใช้ดาบไม้ชี้ไปที่เทียนที่กําลังมอดไหมปลายดาบสั่นไหว ทําพิธีอย่างต่อเนื่อง

เห็นได้ชัดว่าเธอกําลังกระตุ้นให้ผีผู้หญิงเข้ามาข้างหน้าเรื่อยๆเข้าใกล้ปะรําพิธีและเข้ามาอยู่ในกับดักที่เราวางเอาไว้ก่อนหน้านี้

ผีผู้หญิงไม่มีการป้องกันแต่อย่างใด ผ่านไปไม่นานเธอก็มาถึงด้า นหน้าปะรําพิธีเข้าสู่กับดักที่เราวางเอาไว้ก่อนหน้านี้

แต่ผมและเหล่าเฟิงไม่ได้รีบลงมือทันที เพราะพิธียังไม่จบ

ถ้ารีบลงมือในเวลานั้น ถึงจะเป็นการขัดขวางพิธี

และสามารถทําให้มีผู้หญิงคนนี้ติดอยู่ในกับดักได้ แต่ผู้ทําพิธีหรือก็คือหยางเฉ่ว จะได้รับผลกระทบจากภายนอก ทําให้บาดเจ็บ ด้วยเช่นกัน

ด้วยเหตุนี้ จึงทําได้เพียงรอให้หยางเฉิวทําพิธีให้เสร็จ แล้วเราถึงจะลงมือจับยัยผีตัวนี้ได้

กลับมาดูหยางเนิ่วในปะรําพิธี เธอไม่ได้เก่งเรื่องการเรียกวิญญาณมากนัก การเรียกวิญญาณผีผู้หญิงมาถึงจุดนี้ได้นั้น ถือว่าเธอมาถึงขีดสุดของตัวเองแล้ว

เมื่อเห็นผีผู้หญิงเข้ามาในกับดักแล้ว หยางเนิ่วก็สูดหายใจ หมุนมือประสานเป็นรูปดาบ แล้วตะโกนออกมาว่า “ ขอเชิญเทพลุ่ยลิ้งเพี้ยง ! ”

คาถาเพิ่งออกมา ดาบในมือของหยางเนิ่ว ก็ชี้ไปทางเทียนในแท่นบูชาอย่างรวดเร็ว

เดิมที่เทียนเล่มนั้นก็ติดไฟ ลุกไหม้ด้วยเปลวไฟสีแดง

แต่พอหยางเนิ่วชี้ไป “ ตูม” ไฟก็ระเบิดกลายเป็นกลุ่มไฟสีเขียวทันที

ขณะที่ไฟสีเขียวกําลังพวยพุ่ง ยันต์ที่แขวนเอาไว้ก่อนหน้านั้นก็มอดไหม้ตามไปด้วย

เพียงแค่นี้ พิธีเรียกวิญญาณก็ถือว่าเสร็จสิ้นแล้ว

หยางเนิ่วไม่กล้าอยู่ต่อนานนัก เพราะเธออยู่ใกล้ตัวผีผู้หญิงมาก

ดังนั้นพอพิธีเพิ่งเสร็จสิ้น หยางเนิ่วก็รีบวิ่งมาทางผมทันที

เมื่อหันไปมองผีผู้หญิงในปะรําพิธีอีกครั้ง เพราะพิธีเสร็จสิ้นแล้วดวงตาที่เคยปิดสนิทของเธอ จึงเริ่มลืมขึ้นอีกครั้ง

แต่ในขณะที่ผีผู้หญิงลืมตา ออร่าสีดําก็ค่อยๆแพร่ออกมาจากร่าง

ของเธอ

จากมุมของผม ดวงตาที่เปิดขึ้นของผีผู้หญิง มีสีขาวโพนเหมือนกับตาปลาตายที่ไร้ซึ่งนัยน์ตา

แต่สิ่งที่น่าหวาดกลัวยิ่งกว่านั้นคือ ขณะลืมตา หน้าของเธอก็เริ่มดูดุร้ายขึ้น

เล็บในมือ ก็ยาวขึ้นภายในชั่วพริบตา เขี้ยวอันแหลมคมก็ยื่นออกมาจากมุมปาก

ต่อจากนั้น จู่ๆเสียงผู้หญิงที่เยือกเย็นเข้ากระดูกก็ดังขึ้นจากทุกทิศทุกทาง “ชายชั่วสมควรจาย ทรมานฉันมานานขนาดนี้ ยังไม่ยอมปล่อยฉันไปอีกตายควรตายไปให้หมด ! ”

เสียงเพิ่งเงียบลง ดวงตาของผีผู้หญิงคนนั้นก็หันมาอย่างรวดเร็วใบหน้าที่ดุร้ายจ้องมาตรงที่ผมซ่อนอยู่อย่างโหดเหี้ยม

วินาทีนั้น ผมรู้สึกเหมือนโดนสัตว์ร้ายจ้องเขมือบ

ต่อมา พลังชั่วร้ายที่ท่วมท้น ก็ทําให้ผมรู้สึกเหมือนโดนกดเอาไว้อย่างที่ไม่ควรจะเป็น

ฉากนี้เกิดขึ้นอย่างกระทันหัน ทุกอย่างเกิดขึ้นในเวลาแค่ชั่วพริบ

ตาเท่านั้น

ตอนผมสัมผัสได้ถึงพลังชั่วร้ายที่น่ากลัว และยังเห็นอีกฝ่ายจ้องผม ผมก็เกร็งขึ้นมาทันที ในหัวมีเสียงดัง “ เวิ่ง ”

ผมแอบพูดว่าแย่แล้ว ต้องโดนจับได้แล้วแน่ๆ

ผมเองก็ไม่สนใจอย่างอื่น จับเชือกในมือแน่น พร้อมตะโกนบอกเหล่าเฟิงว่า “ ลงมือ ! ”

เหล่าเฟิงก็เตรียมพร้อมอยู่แล้ว เมื่อได้ยินเสียงผมเขาก็ไม่ละเลยแต่อย่างใดรีบกระตุกเชือกในมือกับผมทันที

วินาทีนั้น พวกเชือกแดงกับแผ่นยันต์ที่ฝังอยู่ใต้ดิน ก็ถูกดึงขึ้นมาทันที

ยึดตําแหน่งใจกลางของผีผู้หญิง วงเวทย์กลายเป็นรูปสี่เหลี่ยมขึ้นมาทันที

เมื่อเห็นสิ่งนี้ ผมก็อดทําหน้าดีใจออกมาไม่ได้

ถึงเธอจะมีพลังชั่วร้ายที่ล้นหลามขนาดไหน แต่ตอนนี้ก็โดนขังอยู่ในวงเวทย์ของเราแล้ว ดูซิว่าเธอจะทําอะไรได้อีก

แต่ผีผู้หญิงคนนั้น กลับเหมือนไม่สนใจอะไรเลยสักนิด เธอยังเอาตาสีขาวโพนนั้นจ้องมาที่ผม

ขณะเดียวกันก็ตะคอกออกมาว่า “ ชายชั่ว เอาชีวิตของฉันคืนมา 2)

หลังจากพูดจบ ผีผู้หญิงคนนั้นก็ตัวสั่นทันที ยกมือมาทางผม แล้วก็ออกแรงบีบ

วินาทีนั้น ผมรู้สึกเหมือนโดนคนอื่นบีบคอ เจ็บปวดจนเกินจะรับ

ไหว

แต่มันยังไม่จบเท่านี้ ต่อจากนั้นก็มีแรงดูดมหาศาลตามมา

ไม่รอให้ผมได้ตอบสนองแต่อย่างใด ตัวผมก็ควบคุมไม่อยู่แล้ว พุ่งเข้าไปหาผีชุดเหลืองตรงกลางวงเวทย์ทันที่……..

ศพ

ศพ

อ่านนิยายเรื่องศพ
Status: Ongoing
โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset