ศพ – ตอนที่ 32 จินตนาการที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น

ช่วงเวลานั้น ผมยังคงจินตาการถึงฉากที่ตัวเองโดนผีดิบกัดคอตาย

แต่ในช่วงเวลาวิกฤต จู่ๆเฟิงเฉ่วหานก็ปรากฎตัวขึ้น

เขาเองก็ดูหวาดกลัวเช่นกัน แต่ถ้าผมถูกกัดคอ จะยังมีชีวิตอยู่ได้ไงละ

ไม่ต้องพูดถึงพิษจากศพเลย แค่เขี้ยวที่แหลมคมของผีดิบ ก็แทบแทงทะลุคอผมได้แล้ว

เฟิงเฉ่วหานรีบก้มลง จากนั้นก็รัดหัวของผีดิบ ให้ถอยออกไปด้านหลัง

“สมควรตาย! ออกมาเดี๋ยวนี้!” เฟิงเฉ่วหานตะโกน

แต่ผีดิบมีพลังมหาศาล ถึงผมสองคนร่วมมือกัน ก็ยังไม่สามารถผลักมันออกไปได้

 

แต่โชคเข้าข้างพวกเรา เพราะแขนทั้งสองข้างของผีดิบไม่สามารถงอได้ ดังนั้นมันจึงไม่สามารถจับตัวพวกเราได้

ผมหายใจช้าๆ อดกลั้นความเจ็บปวดที่ไหล่เอาไว้และ ใช้แรงอย่างต่อเนื่อง จึงสามารถหยุดผีดิบเอาไว้ได้

ตอนนี้หน้าและปากของผีดิบ อยู่ห่างจากผมไม่ถึง 10 เซนติเมตร

เนื่องจากระยะที่ใกล้ขนาดนี้ จึงมองเห็นใบหน้าที่ขาวซีดได้อย่างชัดเจน และยังมีคมเขี้ยวทั้งสองซี่ ไม่เพียงเท่านั้นเสียงกรีดร้องของผีดิบ ยังส่งผลต่อใจของผมอย่างมหาศาล

แต่นี้เป็นเพียงแค่เรื่องรอง เรื่องที่สำคัญคือกลิ่นปากของผีดิบตัวนี้ต่างหาก

 

อาจเป็นเพราะร่างกายที่ตายแล้ว กลิ่นปากที่ปล่อยออกมาจึงได้เหม็นเน่าอย่างมาก

ตอนนี้เมื่อมันเข้ามาใกล้ผมขนาดนี้ และยังร้อง “โฮกโฮก” ออกมาอย่างไม่หยุดหย่อน

กลิ่นปากนั้นจึงลอยออกมาเหมือนควันบุหรี่ ผมคิดว่าถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป ถ้าไม่ตายเพราะถูกผีดิบกัด ก็ต้องตายเพราะกลิ่นปากที่เหม็นเน่าของเจ้านี้แน่

“เฟิง เฟิงเฉ่วหาน กลิ่นปากเจ้านี้มันเหม็นมาก ฉัน ไม่ไหวแล้ว นายรีบ รีบเอามันออกไปได้ไหม!” ผมพูดติดๆขัดๆ เห็นได้ชัดว่ากำลังลำบากมาก

เฟิงเฉ่วหานเองก็ใช้แรงอย่างสุดๆแล้ว “อย่าพูดไร้สาระ ถ้าฉันตะโกน 1 2 3 พวกเราก็ใช้แรงพลัก เจ้านี้ออกไปทางซ้ายเลยนะ!”

 

“ได้ ได้!” ผมรีบตอบ

เพราะตอนนี้มือของผมกำลังสั่น และเริ่มทนไม่ไหวอีกต่อไป

จากนั้น ผมก็ได้ยินเฟิงเฉ่วหานตะโกน “1 2 3 เอาเลย!”

ทันใดนั้น ผมก็พูดตาม “อ่า!”

จากนั้นพวกเราก็ใช้แรงผลักไปทางด้านซ้าย แม้ผีดิบตัวนี้จะมีแรงเยอะ จนผมสองคนยังสู้ไม่ได้

แต่เมื่อผลักไปด้านซ้ายอย่างแรง ผลลัพธ์กลับเห็นได้ชัด ผีดิบล้มไปทางด้านซ้ายทันที

เมื่อผมเห็นโอกาส ผมก็รีบใช้เท้าทั้งสองข้างถีบไปที่ตัวผีดิบ จนร่างของผมเด้งไปข้างหน้าทันที

 

เฟิงเฉ่วหานเองก็ดึงร่างผีดิบไปทางด้านซ้าย เมื่อเป็นแบบนี้ ตัวผมจึงห่างจากผีดิบ จนได้ระยะที่ปลอดภัย

เมื่อเฟิงเฉ่วหานเห็นผมปลอดภัย เขาก็รีบถอยไปด้านหลังทันที

ต่อมาผมจึงหยิบดาบเหรียญขึ้นมา และตั้งท่าพร้อมรบอีกครั้ง

เท้าเล็กๆของผีดิบ กำลังยกตัวขึ้น

และยังหันมาจ้องผม ด้วยสีหน้าที่สยดสยอง ในปากยังคงแผดเสียง “โฮก” จากนั้นมันก็พุ่งเข้ามาหาผมอีกครั้ง

ผมเองก็กำลังหัวร้อน จึงตะโกนตามเสียงนั้นอย่างกล้าหาญ ยกดาบเหรียญขึ้น และเล็งไปที่ปากของผีดิบ

แต่เมื่อเข้าใกล้ กรงเล็บของผีดิบก็ปัดโดนดาบเหรียญ

 

“ฉึก” เชือกแดงที่ร้อยเหรียญทั้ง 108 เหรียญเอาไว้ ขาดในทันที

“กริ๊งกริ๊งกริ๊งกริ๊ง” วินาทีนั้นที่พื้นตรงหน้าเต็มไปด้วยเหรียญทองแดง ส่วนตัวผมก็เผยสีหน้าแปลกใจและรีบถอยหลังทันที

ส่วนเฟิงเฉ่วหานที่อยู่ด้านหลังของผีดิบ เขาเองก็กำลังถือดาบไม้ และพุ่งตรงเข้ามาแทงที่ตูดของผีดิบ

แต่ผีดิบตนนั้นความรู้สึกเร็วมาก เมื่อรับรู้ได้ถึงอันตราย มันหมุนตัวทันที จากนั้นก็ใช้แขนกวาดไปทาง

เฟิงเฉ่วหาน

เฟิงเฉ่วหานรีบหลบอย่างรวดเร็ว จนตัวเองต้องล้มลงไปกับพื้น

เมื่อผีดิบเห็นแบบนั้น มันก็พุ่งเข้าใส่เฟิงเฉ่วหานทันที

 

ผมไม่รอช้า และไม่หาอาวุธอีกต่อไป

พุ่งตัวไปข้างหน้า เมื่อเข้าใกล้ผีดิบ ก็ใช้เท้าถีบมันจนตัวปลิว

ตามหลักแล้วผมเป็นผู้ชาย การที่ถีบผีดิบผู้หญิงที่มีน้ำหนักไม่ถึง 45 กิโล มันก็ควรถีบจนกระเด็นไม่ใช่เหรอ

แต่ผมไม่รู้อะไร การถีบครั้งนี้ มีเสียง “ปัง” ดังขึ้นทันที แต่ผมกลับรู้สึกเหมือนว่าตัวเองถีบเข้ากับแผ่นเหล็ก

ไม่เพียงไม่สามารถทำให้ผีดิบปลิวได้ แต่ตัวผมยังกระเด็นไปนอนกองกับพื้นอีกด้วย

นอกจากนั้นเท้าของผมยังเจ็บจนไม่รู้จะพูดยังไง เพราะตอนนี้มันชาไปหมดแล้ว

แต่การถีบครั้งนี้ก็ยังทำให้ผีดิบถอยห่างไปได้อีกนิด และทำให้เฟิงเฉ่วหานได้พักหายใจอีกหน่อย

 

เขากำดาบไม้จนแน่น เมื่อเล็งคอของผีดิบเรียบร้อย เขาก็ยกดาบขึ้น และใช้แรงที่เหลือแทงเข้าไปทันที

ทันใดนั้นก็เกิดเสียงดัง “บึก” คอของผีดิบไม่เป็นอะไรเลยสักนิด แต่ดาบไม้กลับหักเป็นสองท่อน

ขณะที่เฟิงเฉ่วหานมองดาบไม้หักลง สีหน้าก็ขาวซีด รีบถอยหลบออกไปทันที

แต่ตอนนี้ผีดิบกำลังโกรธสุดๆ มันเขย่งเท้าทั้งสองข้างเข้ามาไล่ฆ่าพวกเราทันที

พวกเราก็ติดเกียร์หมากัน อย่างทรมานประมาณ 20 นาทีกว่าๆ

และแล้วพวกเราก็มาถึงจุดที่เหนื่อยหอบ วิธีที่มีก็ใช้กันจนเกือบหมด

แต่ในเวลานี้เอง ผมก็พบว่าในห้องโถงมีผ้าขาวเหลืออยู่ เดิมทีมันนำมาใช้ตกแต่งห้องโถง

 

แต่เมื่อผมได้เห็นมัน ความคิดดีๆก็ไหลเข้ามา

แม้ว่าผีดิบจะมีแรงเยอะ แต่มันเคลื่อนไหวได้ไม่เร็ว

ถ้านำผ้าขาวมาทำเป็นเชือก แล้วนำไปมัด แบบนั้นพวกเราก็รับมือมันได้ง่ายๆแล้วนิ

เมื่อคิดถึงจุดนี้ ผมก็ฉีกผ้าขาวทันที จากนั้นก็พันผ้าให้แน่น ทำให้มันกลายเป็นเชือกเส้นหนึ่ง

เพราะพวกเราไม่สามารถต่อสู้กับแรงอันมหาศาลของผีดิบได้ ดังนั้นเพื่อความปลอดภัย ผมจึงเลือกใช้ผ้าขาวที่มีอยู่ มาทำเป็นเชือกหนาเส้นหนึ่ง

ขณะที่ผีดิบกำลังไล่ล่าเฟิงเฉ่วหาน ผมก็ถือเชือกไว้และพุ่งเข้าไปหามันทันที

 

เมื่อเล็งลำตัวของผีดิบเรียบร้อย ผมก็มัดเข้าไปที่ลำตัวทันที จากนั้นก็ใช้ความรวดเร็ว มัดร่างของมันไว้กับเสาหิน

ขณะที่ผีดิบถูกมัด มันยังกระโดดไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่อง แต่เมื่อเชือกถูกมัดจนแน่น

แขนทั้งสองข้างของมันก็ถูกมัดด้วยกันทันที เมื่อร่างกายถูกควบคุมการเคลื่อนไหว มันก็ใช้ดวงตาสองข้าง จ้องมองเฟิงเฉ่วหานและร้อง “โฮกโฮก” ออกมาอย่างต่อเนื่อง เสียงนั้นรุนแรงมาก

และสิ่งที่ร้ายแรงยิ่งกว่านั้นก็คือ แม้จะนำผ้าขาวสองส่วนมาทำเป็นเชือก แต่เมื่อมันดิ้นผ้ากลับมีเสียง “แกร๊กแกร๊ก” ราวกับมันจะขาดจากกันอย่างนั้น

เมื่อเห็นสิ่งนี้ ผมก็ตกใจรีบพูดออกมาทันที “เฟิงเฉ่วหาน ลงมือเลย!”

ไม่ต้องให้ผมเตือน เฟิงเฉ่วหานเองก็เห็นโอกาส

 

หยิบดาบไม้ที่เหลือครึ่งหนึ่งขึ้น เล็งไปที่ปาก จากนั้นก็แทงเข้าไปทันที

“ไปตายซะ!”

เสียงพึ่งจางหาย ดาบเล่มนั้นก็เข้าไปอยู่ในปากผีดิบแล้ว วินาทีนั้นดาบได้แทงทะลุลำคอทันที

ทันใดนั้น เสียงกรีดร้องโหยหวนก็ดังขึ้น

ร่างของผีดิบสั่นอย่างต่อเนื่อง เห็นได้ชัดว่ามันทรมานมาก นอกจากนี้ในปากของมันยังพ่นควันสีดำออกมา

ผมและ เฟิงเฉ่วหานเบิกตากว้าง จ้องมองภาพที่อยู่ตรงหน้า

ขณะที่ควันสีดำนั้นไหลออกมาอย่างต่อเนื่อง บรรยากาศชั่วร้ายที่อยู่ภายในห้องก็ลดลงเช่นกัน

 

หลังจากนั้นประมาณ 5-6 วินาที ร่างของผีดิบก็มีเสียงดัง “ปึก!” และล้มลงกับพื้นไปในทันที

เมื่อเห็นผีดิบล้มลงไปกับพื้น ผมและเฟิงเฉ่วหานก็ถอนหายใจออกมา ท่าทางดีใจมาก

“ฮ่าฮ่าฮ่า! จบซะที! จบซะที!” ผมพูดด้วยความดีใจ และค่อยๆเดินไปหาเฟิงเฉ่วหาน

เฟิงเฉ่วหานเองก็เผยร้อยยิ้มที่มีความสุขออกมา “อันตรายมาก ดีนะที่นายคิดวิธีได้ ไม่งั้นพวกเราคงจบเห่แทน!”

เมื่อได้ยินเฟิงเฉ่วหานพูดแบบนี้ ผมก็รู้สึกเขินนิดหน่อย

ขณะที่กำลังจะพูดอีกสองสามประโยค เรื่องไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นอีกครั้ง

ผีดิบที่เคยล้มลงกับพื้น จู่ๆมันก็ลุกขึ้นมา

 

มันส่งเสียงคำรามในลำคอ จากนั้นผีดิบก็เขย่งเท้าขึ้น ดาบไม้ที่อยู่ในปาก ก็ถูกมันคายออกมาทันที

เมื่อเห็นฉากนี้ ผมสองคนก็ตกตะลึงไม่รู้จะทำยังไงดี

พวกเราคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าพลังชีวิตของเจ้านี้จะแข็งแกร่งขนาดนี้  มันถึงได้ยังไม่ตายซะที

แต่ไม่รอให้พวกเราได้ตอบโต้ ผีดิบตนนั้นก็พุ่งเข้ามา เนื่องจากเชือกเส้นใหญ่ไม่ได้ผูกปม ดังนั้นจึงหลุดลงมาทันที

พวกเราเองก็ยืนอยู่ตรงหน้าผีดิบ เมื่อผีดิบลุกขึ้น ไม่รอให้เราได้ทำอะไร มันก็เข้ามาบีบคอเฟิงเฉ่วหานที่อยู่ใกล้กว่าทันที

 

มันอ้าปากกว้าง ร้องดัง “โฮก” จากนั้นก็ตรงเข้ามากัดที่ลำคอของเขา

เฟิงเฉ่วหานเผยสีหน้าที่หวาดกลัวออกมา วินาทีนั้นเขาจับปากผีดิบเอาไว้แน่น ร่างกายยังขยับถอยหลังอย่างต่อเนื่อง

ในช่วงเวลาวิกฤต จู่ๆผมก็ล้วงเจอยันต์ที่อยู่ในกระเป๋า เป็นยันต์แปดทิศที่อาจารย์ได้สอนให้พอดี

แม้ว่าคาถานี้ผมจะเรียนได้ไม่กี่วัน และยังไม่เคยใช้มาก่อน

แต่ภายใต้สถานการณ์ตรงหน้า ผมจึงไม่คิดอะไรอีก

ผมเลิกคิ้วขึ้น หยิบยันต์และตรงไปแปะที่หัวของผีดิบทันที “เหล่าเฟิงทนเอาไว้นะ!”

 

เสียงพึ่งตกลง “แปะ” ยันต์แผ่นนั้นก็แปะเข้าที่กลางหน้าผากของผีดิบ

ผมไม่รอช้า หลังจากแปะยันต์เสร็จ ก็ทำมืออย่างรวดเร็ว อย่างที่เคยเรียนมา เพิ่มพลังลงไป

หลังจากทำมือเสร็จ ผมก็ตะโกนออกมาทันที “ขอเชิญเทพลุ่ยลิ้ง ทำลาย!”

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset