ศพ ตอนที่ 321 เลื่อนเป็นชุดแดง

ศพ

ตอนที่ 321 เลื่อนเป็นชุดแดง

ฉากแปลกๆ และการเปลี่ยนแปลงอย่างกระทันหันนี้อยู่ในสายตาของพวกเราทั้งหมด

พลังหยินไม่จัดว่าเป็นเรื่องแปลกอะไร ทุกคนรบราฆ่าฟันในสายงานนี้มานานขนาดนั้นก็ต้องเคยเห็นมาไม่น้อยอยู่แล้ว

พลังหยินพวกนี้ อย่างมากที่สุดก็แค่เข้มข้นหน่อย ทรงพลังหน่อยเท่านั้นไม่ได้มีปัญหาอะไรใหญ่โต

แต่ที่มันร้ายแรงกว่านั้นคือ สีชุดของผีผู้หญิงกําลังเปลี่ยนไป

มันหมายความว่าอะไรละ มันก็คือระดับพลังของยัยผีตัวนี้กําลังเลื่อนขึ้น

หรือจะพูดอีกอย่างว่า ยัยผีตัวนี้กําลังเลื่อนขั้น เดิมทีเธอใส่ชุดสีเหลืองแต่ตอนนี้มันกําลังเปลี่ยนไปเป็นสีแดง

เวรละ ! นี่มันอะไรกันวะเนี่ย แค่ชุดเหลืองก็จะสู้ไม่ไหวอยู่แล้ว

ถ้าปล่อยให้ยัยผีชุดเหลืองนี้เปลี่ยนเป็นผีชุดแดงได้จริงๆ เราจะยังรับมือได้อีกเหรอทุกนาทีต่อจากนี้จะโดยยัยนี่ไล่ฆ่าตลอดเลยเหรอ

หลังจากสีแดงดุจเลือดปรากฏขึ้น ผมก็ใจเต้นรัว ในหัวเหมือนมีเสียงฟ้าผ่าตอนกลางวันแสกๆดังขึ้น

พวกเราสามคนต่างทําหน้าตกใจ วินาทีนั้นเราหยุดยืนอยู่กับที่ทันที

หลังจากนั้นประมาณหนึ่งวิสองวินาที ผมก็ได้สติขึ้นมาอย่างกระทันหันขณะนั้นเองผมก็ตะโกนออกมาว่า “ ไม่ดีแล้วยัยผีนี่กําลังจะเลื่อนขั้นแล้วรีบฆ่าเธอเร็วเข้า ! ”

เสียงเพิ่งเงียบลง เหล่าเฟิงและหยางเฉวก็ได้สติอีกครั้ง

ตอนนี้เราจะกล้าชักช้าได้ยังไง หากยัยผีนี่เลื่อนขั้นสําเร็จจริงๆ ผลที่ตามมาก็ต้องเป็นหายนะอย่างแน่นอน

พอถึงตอนนั้น กระดิ่งในมือผมจะสะกดเธออยู่หรือเปล่า ผมก็ยังไม่แน่ใจเลย

เพราะผมเคยได้ยินอาจารย์บอกว่า หากผีถึงขั้นชุดแดงแล้ว พลังขั้นต่ําที่สุดก็เทียบได้กับขั้นเต้าจจิ้นของคนปราบสิ่งชั่วร้ายอย่างพวกเรา

หรือจะพูดอีกแบบคือ เมื่อยัยผีตรงหน้าเปลี่ยนเป็นผีชุดแดงเมื่อไหร่เธอก็จะมีพลังเยอะกว่าพวกเราในตอนนี้ถึงสองเท่า

พวกเราทุกคนต่างเข้าใจเรื่องนี้ดี ดังนั้นทุกคนเลยรู้สึกกังวลมาก

ก่อนหน้ายังเป็นแค่การทดลองเข้าใกล้ ในเวลานี้เหล่าเฟิงและหยางเนิ่วต่างกัดฟันยกดาบในมือพุ่งเข้าไปข้างหน้าทําท่าเหมือนคนกําลังจะสู้สุดชีวิต

ผมเองก็ไม่ได้ว่างงาน ในมือสั่นกระดิ่งสะกดผีผู้หญิงเอาไว้ให้เธอไม่มีแรงโต้กลับ ส่วนมืออีกข้างหนึ่งก็หยิบยันต์ออกมาเตรียมจะโจมตีเธอทุกเวลา

ภายในชั่วพริบตา เหล่าเฟิงและหยางเฉ้วก็เข้าใกล้ผีผู้หญิงแล้ว

ยัยผีตนนั้นยังกลิ้งอยู่บนพื้น ไม่รู้ว่ากระดิ่งทําให้เธอทรมานจนกลายเป็นแบบนี้หรือเป็นเพราะการเลื่อนขั้นที่ทําให้เธอได้รับความเจ็บปวด

ทันใดนั้นเอง ก็ได้ยินแค่เสียงของเหล่าเฟิงตะโกนว่า “ ยัยเดรัจฉานไปตายซะ !”

พอพูดจบ สองมือก็กําดาบแน่น กระโดดตัวลอย และแทงลงไปที่พื้นทันที

หยางเฉวเองก็ส่งเสียงออกมาหนึ่งครั้ง ดาบไม้ในมือก็พุ่งเข้าไป โจมตีพร้อมกับเหล่าเฟิงทั้งทางซ้ายขวาเตรียมฆ่ายัยผีตัวนั้นทันที

แม้ผีผู้หญิงจะมีท่าทางทรมานผิดปกติ แต่ในเวลานี้เธอก็รับรู้ได้ถึงอันตรายเช่นกันพอหันมาเห็นเหล่าเฟิงและหยางเฒ่วกําลังเข้ามาฆ่า

เธอก็ทําหน้าดุร้าย กลั้นความเจ็บปวดบนร่างกายและแรงสะกดของกระดิ่งเอาไว้จากนั้นก็ตะคอกออกมาทันที “ ไม่ ฉันไม่มีทางปล่อยให้พวกแกทําสําเร็จ !”

หลังจากพูดจบ เธอก็ใช้มือทั้งสองข้ายันพื้น ตัวลอยสู่จากพื้นดินไม่กี่เมตรหลังจากนั้นก็ลอยถอยให้ห่างพวกเราทันที

ครั้งนี้หยางเฒ่วและเหล่าเฟิง แทงเข้ากับอากาศ ไม่มีใครทําร้ายตัวผีผู้หญิงได้เลย

และสืบนชุดของผีผู้หญิง กลับเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว

เมื่อกี้ยังมีสีแดงอยู่แค่มุมเสื้อ แต่ในเวลานี้กลับเปลี่ยนเป็นสีแดงครึ่งชุดแล้ว

แถมพลังหยินที่เธอปล่อยออกมา ยังเข้มข้นกว่าเมื่อกี้ไม่น้อย เป็นการเปลี่ยนแปลงที่ผิดปกติจนน่ากลัว

หยางเน่วและเหล่าเฟิงไม่ได้หยุดเพียงเท่านั้นพวกเขาไล่ตามไปทันที

ส่วนผีผู้หญิงก็ยังทําท่าทางเจ็บปวด ราวกับขณะที่สีพวกนั้นกําลังเพิ่มมากขึ้นเท่าไหร่ตัวเธอก็จะเริ่มอ่อนแอมากขึ้นเท่านั้น

ตอนนี้ เธอไม่ร้องตะโกนโวยวายเหมือนในตอนแรกแล้ว

ผ่านไปแค่ชั่วพริบตา พวกเราก็เข้ามาถึงรัศมีสังหารอีกครั้ง

แต่ผีผู้หญิงคนนั้นกลับไม่สู้กับพวกเรา เธอลอยถอยไปอย่างรวดเร็ว พยายามทิ้งระยะห่างจากพวกเราอย่างต่อเนื่อง

ตอนนี้ร่างของเธอเหมือนเป็นลําแสงเส้นหนึ่ง หลังจากหายวับไปสองสามครั้ง เธอก็ปรากฏตัวขึ้นอีกที่บนโครงเหล็กของอาคารที่อยู่ห่างออกไปกว่าสิบเมตร

เพราะที่นี่คือไซต์งานก่อสร้าง จึงมีงานก่อสร้างเล็กๆขึ้นแล้วและพวกงานคอนกรีตเสริมเหล็ก

ส่วนผีผู้หญิงตนนั้น ตอนนี้กําลังยืนอยู่บนเสาคอนกรีต

ตัวเสาไม่สูงมาก แต่ก็น่าจะประมาณห้าเมตรได้

สําหรับผีผู้หญิง การกระโดดขึ้นห้าเมตรไม่ใช่เรื่องยากอะไร แต่สําหรับพวกเราแล้วมันก็ไม่ได้ง่ายขนาดนั้น

พวกเรามีพลัง เข้าใจการโคจรพลัง และร่ายคาถาอาคม

แต่ในด้านพละกําลังของร่างกาย ตอนโคจรพลัง ร่างกายของเราจะแข็งแรงกว่าคนทั่วไปอยู่สักหน่อย

ความสูงห้าเมตร หากคิดจะปีนขึ้นไปเราก็ทําได้ แต่ถ้าคิดจะกระโดดขึ้นไปตรงๆรีบสู้กับผีผู้หญิงให้จบเรื่อง เห็นที่จะเป็นไปได้ยาก

และในเวลานี้เราก็อยู่ในช่วงเร่งด่วน ยึดจากความเร็วนี้ของผีผู้หญิง อย่างมากที่สุดเธอก็น่าจะเหลือเวลาอีกแค่หนึ่งนาที ก็จะเลื่อนขั้นเป็นผีชุดแดงสําเร็จแล้ว

แล้วเมื่อถึงเวลานั้น เราจะยังสู้ไหวได้ยังไงละ

เพราะเวลาเร่งรีบ ดังนั้นพวกเราสามคนจึงเร่งความเร็วยิ่งกว่าเดิม

ตอนมาถึงหน้าเสาและกําลังจะปีนขึ้นไปนั้น

ผลลัพธ์กลับออกมาดีเหลือเกิน เรายังปืนขึ้นไปไม่ถึงหนึ่งเมตร มือของยัยผีตัวนั้นก็โบกมืออย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นเองผ้าใบกันน้ําด้านนอกตัวอาคารก็เข้ามาคลุมพวกเราสามคนเอาไว้ด้านใน

จู่ๆก็โดนผ้าใบคลุม พวกเราจึงตกใจ แอบกลัวว่ายัยผีผู้หญิงจะแอบลอบโจมตีขึ้นมาทันที

เหล่าเฟิงเป็นคนช่วยเราออกมา เขาดึงดาบออกมา แล้วฟันไปที่ผ้าใบอย่างรวดเร็ว

แต่ หลังจากพวกเราออกมาจากผ้าใบแล้ว

สิ่งที่ไม่อยากให้เกิดขึ้นที่สุด ก็เกิดขึ้นแล้ว

ผีผู้หญิงชุดแดง ปรากฏตัวขึ้นแล้ว

พอหันไปมา เห็นเพียงบนเสาคอนกรีตเสริมเหล็กสูงห้าเมตร มีผีผู้หญิงชุดแดงตนหนึ่งยืนอยู่อย่างเด่นสะดุดตาเลยที่เดียว

เธอหน้าขาวซีด ผมสีดําโบกสบัด ชุดแดงทั้งตัว ภายใต้คลื่นลม เธอเลื่อนขั้นสําเร็จแล้ว

เมื่อเห็นสิ่งนี้ พวกเราก็อึ้งไปพักหนึ่ง จิตใต้สํานึกบอกให้เราหยุดเคลื่อนไหว

ส่วนผีผู้หญิงตนนั้น ไม่กรีดร้อง บ้าคลั่งเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว

เห็นได้ชัดว่าเธอสงบมาก ไม่ได้ทําหน้าดุร้าย เห็นเพียงใช้ดวงตาปลาตายสีขาวโพลนคู่นั้นจ้องพวกเรา

หรือแม้แต่ยกยิ้มเล็กน้อยที่มุมปาก

6 ออก ออกมาแล้ว ผีผีชุดแดง ! ” หยางเฒ่วทําหน้าตกใจ เธออดกลืนน้ําลายไม่ได้

เหล่าเฟิงไม่ได้พูดอะไร แต่ในสายตาของผม ผมกลับรู้สึกผิด

ถ้าไม่ได้เป็นเพราะกระดิ่งในมือ พวกเราก็สู้ผีชุดเหลืองเมื่อกี้ไม่ได้ด้วยซ้ํา แล้วจะมาพูดอะไร กับผีชุดแดงตรงหน้า

เพิ่งถึงตรงนี้ ในใจของผมก็มีเสียงดัง “ อีก ” ไม่ถูกซิ ! ชุดแดง ชุดแดง ! เฮ้ยผีชุดแดงนิหว่าพวกเรากําลังตามหาผีชุดแดงอยู่ไม่ใช่เหรอ ?

ก่อนหน้านี้เราสู้อย่างดุเดือดมาโดยตลอด ไม่มีเวลาให้คิดเลยสักนิด สมาธิทุกอย่างอยู่กับการต่อสู้หรือแม้แต่สู้ด้วยใช้จิตใต้สํานึกด้วย

เรื่องนี้ทําให้พวกเราลืมเรื่องที่สําคัญมากไปเรื่องหนึ่ง นั่นก็คือเรื่องของพี่เฟิง

พี่เฟิงต้องการแก่นหยินแดงเม็ดหนึ่ง เจ้าแก่นหยินแดงนี้ ก็คือแก่นพลังภายในตัวผีชุดแดง

ก่อนหน้านี้พวกเราไม่ได้เป็นทุกข์เป็นร้อนกับการหาเบาะแสของผีชุดแดงไม่เจอเหรอ

ตอนนี้ ตรงหน้าของพวกเราไม่ได้มีผีชุดแดงตัวเป็นๆยืนอยู่แล้วเหรอ

ขอแค่พวกเราจัดการผีตนนี้ได้ ดึงเอาแก่นพลังหยินในตัวเธอออกมาได้ เรื่องของพี่เฟิงก็ไม่เสร็จสิ้นแล้วเหรอ

และจากนี้เป็นต้นไป เหล่าเฟิงก็จะไม่ต้องกังวลว่าจะถูกพี่เฟยแย่งร่างไปอีกแล้วไม่ใช่เหรอ

แต่ แต่ตรงหน้าเป็นถึงผีชุดแดงเลยนะ

ถ้ามีอาจารย์และคนอื่นๆด้วยก็ว่าไปอย่าง เพราะเวลาทุกคนร่วมมือแล้ว ไม่ว่าผีแบบไหนเราก็โค่นได้

และจะได้เก็บแก่นหยินมาครองได้อีกด้วย

แต่ปัญหาก็คือ พวกเราสามคนไม่ใช่คู่ต่อสู้ของผีชุดแดงจริงๆ มันไม่ใช่ปัญหาเรื่องจํานวนคน

และถ้าเข้าไปปะทะกับเธอ ก็มีแต่เอาชีวิตไปสังเวยเท่านั้น

.

เมื่อคิดถึงตรงนี้ ผมก็กวาดตามองข้อมือซ้ายตามที่จิตใต้สํานึกบอก

เชิญเซียนมาประทับร่างไม่ได้แน่นอน เชิญเซียนมาเข้าร่าง อย่างน้อยที่สุดต้องใช้เวลาถึงสอง สามนาที

ในช่วงเวลานั้น ยัยผีนี่คงฆ่าพวกเราไปเจ็ดแปดครั้งแล้ว มันไม่ทันการแน่ๆ

ดังนั้น มีแค่เรียกมู่หลงเหยียนมาออกโรงเท่านั้น

แต่ตอนเรียกน้องศพ ก็ต้องใช้เวลาประมาณสามสิบวินาที

และต้องตะโกนออกมาสามครั้ง ไฝดําตรงข้อมือถึงจะถูกกระตุ้นอย่างสมบูรณ์

แต่เมื่ออยู่ตรงหน้าผีชุดแดงตนนี้ เราจะต้านได้ถึงสามสิบวินาที่จริงไหม หรือจะคิดหาวิธีจัดการเธอให้ได้ภายในสามสิบวินาทีหรือเปล่า

ต่อจากนั้น พอยัยผีเมียขี้โมโหของผมมาถึงแล้ว ถึงจะเป็นผีชุดแดงอย่างเธอก็เถอะสุดท้ายแล้วเดี๋ยวก็จะเหลือแต่ชุดเน่าๆอยู่ดี

ศพ

ศพ

อ่านนิยายเรื่องศพ
Status: Ongoing
โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset