ศพ ตอนที่ 322 ถ่วงเวลา

ตอนที่ 322 ถ่วงเวลา

เวลาสามสิบวินาที่จะบอกว่ามากก็มาก จะบอกว่าน้อยก็น้อย

เพียงแค่ตอนเรียกมู่หลงเหยียนออกมา มันต้องใช้เวลาสักหน่อย

ถ้าเรียกมู่หลงเหยียนมาได้ แล้วให้เธอปล่อยพลังตอนมาถึง ก็คงแจ่มไปเลย

พอถึงตอนนั้น พวกเราสามคนคงผ่านเรื่องนี้ไปอย่างตื่นเต้น หรือแม้แต่อาจช่วยหาแก่นหยินแดงให้เหล่าเพิ่งได้อีกด้วย

แต่ถ้าจัดการได้ไม่ดี ผลลับที่ตามมาก็คงจะรู้ๆกันอยู่แล้ว

ภายใต้การเผชิญหน้ากับผีชุดแดง เราสามคนไม่มีใครได้รอดกลับไปแน่ๆ

หรือแม้แต่ในช่วงเวลานี้ ผมยังไม่กล้าสั่นกระดิ่งในมือมั่วๆด้วยซ้ํา

ตอนเป็นชุดแดงครึ่งตัวเมื่อกี้ เสียงกระดิ่งยังเอาไม่อยู่เลย แล้วตอนนี้เป็นชุดแดงเต็มตัวแล้วผมเลยเดาว่ากระดิ่งต้องไม่ได้ผลแล้วแน่ๆ

ในช่วงเวลานั้น สมองของผมคิดถึงเรื่องพวกนี้อย่างรวดเร็ว และวางแผนในขั้นต่อไปเอาไว้แล้ว

ผมเริ่มเอามือไปไว้ข้างหลัง แล้วประสานมือเสกคาถา

เตรียมกระตุ้นไฝดํา เรียกมู่หลงเหยียนมาช่วย

ในเวลาเดียวกัน เหล่าเฟิงและหยางเฉวก็มีปฏิกิริยาตามมาเช่นกัน

ทั้งสองคนทําหน้าตกใจ ในเวลาเดียวกันเราก็ได้ยินหยางเนิ่วพูดด้วยเสียงท้อแท้ “ ติงฝานเพิ่งเฉวหาน คืนนี้ คืนนี้เรารอดยากแล้ว ! ”

“ อีกเดี๋ยวฉันจะถ่วงเวลาเธอเอาไว้เอง เธอกับเหล่าติงหาทางหนีไปนะ ” ขณะพูด เหล่าเฟิงก็กําดาบในมือแน่น มืออีกข้างหนึ่งหยิบขวดยาออกมาตามที่จิตสํานึกบอกเขาคิดจะเรียกพี่เพิ่งออกมาช่วย

แต่วิธีนี้ไม่ได้การแน่ๆ เวลาที่ใช้เรียกพี่เฟิงออกมานานยิ่งกว่าที่ผมใช้เรียกมู่หลงเหยียนมาซะอีกระหว่างนั้นอันตรายเกินไป เขาอาจโดนฆ่าได้ทุกเมื่อ

“ อย่าวู่วาม ถ่วงเวลาเธอเอาไว้ ! ฉันมีวิธี !” ผมรีบพูด ใช้มืออีกข้างหนึ่งจับมือข้างที่จับขวดยาเอาไว้ของเหล่าเพิ่ง

ผมละกลัวจริงๆ ว่าเหล่าเฟิงจะทําอะไรบ้าๆเพื่อช่วยชีวิตพวกเรา

ถ้าทําแบบนั้นไม่ใช่แค่เขาจะตาย แต่ผมยังอาจเรียกมู่หลงเหยียนไม่สําเร็จอีกด้วย

เมื่อเหล่าเฟิงและหยางเนิ่วได้ยินผมพูดถึงขนาดนั้น พวกเขาก็อดหันมามองหน้าผมด้วยความ ตกใจและความสงสัยไม่ได้

นี่มันผีร้ายชุดแดงเชียวนะ แต่ผมกลับบอกว่ามีวิธี จึงทําให้ทั้งสองคนสงสัยมากแต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาคุยกัน

เมื่อเห็นทั้งสองคนหันมามอง ผมก็ได้แต่พยักหน้าให้เล็กน้อย เพราะไม่มีเวลามาอธิบายแล้ว

แต่ในตอนนี้เอง จู่ๆผีผู้หญิงที่อยู่บนเสาคอนกรีตก็พูดออกมา แต่น้ําเสียงไม่ดุร้ายแถมยังฟังดูสบายๆอีกต่างหาก “ เป็นอะไรไป ตอนนี้กลัวแล้วเหรอ ? ทําไมไม่สั่นกระดิ่งในมือแกอีกละ ? ”

แม้น้ําเสียงนี้จะฟังดูสบายๆ แต่ผมกลับรู้สึกได้ถึงแรงกดดันบางอย่าง ความรู้สึกแบบนั้นทําให้ผมรู้สึกอึดอัดสุดๆ

ระหว่างนั้น ความหนาวเย็นก็แล่นพล่านไปทั่วตัว ขนบนตัวก็ยิ่งตั้งขึ้นให้เห็นได้ทันที

ผมรู้ดี ในเวลานี้จะทําอะไรมั่วชั่วไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้นยังห้ามกระตุ้นผีผู้หญิง จะต้องถ่วงเวลาให้ได้มากที่สุด

“ จากพลังของเธอในตอนนี้ ฉันสั่นไปแล้วมันได้อะไรขึ้นมาเหรอ ? ถึงฉันจะรู้ว่ายังไงคืนนี้ฉันก็ต้องตาย

แต่ฉันอยากรู้มากว่า เธอมีความแค้นอะไรอยู่ในใจกันแน่ ” ผมพูดออกมาช้าๆ

ขณะเดียวกัน มือข้างหลังของผม ก็แอบเคลื่อนพลังกระตุ้นไฝดําตรงข้อมือแล้ว

ในเวลาเดียวกัน ก็ใช้น้ําเสียงที่เบาจนฟังออกได้ยากพูดว่า มู่หลงเหยียน

เสียงมันเบามาก แม้แต่หยางเนิ่วและเหล่าเพิ่งที่ยืนอยู่ข้างๆผม ก็ยังได้ยินแค่ผมพูดอะไรบางอย่างออกมา

แต่ก็ไม่มีใครได้ยินอย่างชัดเจน

ส่วนผีผู้หญิงที่ยืนอยู่บนเสาคอนกรีต จู่ๆก็ทําหน้าบิดเบี้ยว

เผยสีหน้าดุร้ายออกมาทันที “ ไอ้ชายชั่ว แกยังกล้าถามฉันอีกเหรอฮะ ? แกทําให้ฉันตายยังไงแกไม่รู้อีกเหรอฮะ ? ”

เสียงผีผู้หญิงทั้งแสบแก้วหู และปนด้วยเสียงแหบหน่อยๆ แถมเสียงนี้ยังฟังดูผิดปกติสุดๆราวกับมันกําลังดังมาจากรอบๆทิศ

ขณะที่เสียงนี้ดังขึ้น บนตัวของผีผู้หญิงตนนั้น ก็ปล่อยพลังหยินที่เข้มข้นออกมาอีกครั้งเธอตัวสั่นสองสามครั้ง ราวกับพร้อมลงมือกับพวกเราทุกเมื่อ

ผมใจสั่น เหงื่อออกเต็มหน้าผาก ถึงยัยนี่จะเลื่อนไปถึงขั้นผีชุดแดงแล้ว แต่เธอก็ยังไม่มีสติเหมือนเดิม

ในใจมีแต่ความแค้น เห็นผมเป็นคนชั่วที่ทําร้ายเธอตอนมีชีวิต พูดแบบนี้ก็แล้วกัน มันเหมือนการกวนประสาทเธอ โดยที่ตัวผมเองก็คิดไม่ถึง

แต่ผมยังนับเวลาต่อไป หนึ่ง สอง สาม เพิ่งผ่านไปสิบวิ ปากของผมก็พูดต่ อมู่หลงเหยียน

ตอนนี้ ผมพูดออกมาสองครั้งแล้ว ไฝดําที่ข้อมือซ้าย ก็เริ่มร้อนขึ้นมาหน่อยแล้ว

ผมรู้ดี ขอแค่ทนต่ออีกยี่สิบวินาที รอให้ได้เรียกชื่อน้องศพเป็นครั้งที่สาม

มู่หลงเหยียนก็จะออกมาปรากฏตัว ด้านหน้าพวกเราอย่างรวดเร็ว ช่วยพวกเราให้พ้นจากภัยอันตราย

แต่สิ่งที่ทําให้ผมคิดไม่ถึงคือ หลังจากที่ผมพูดชื่อน้องศพออกมาเป็นครั้งที่สอง

จู่ๆยัยผีตัวนั้นก็หันมาจ้องผม “ ไอ้ชั่ว แกยังคิดถึงผู้หญิงคนอื่น ยังกล้าเรียกหาผู้หญิงคนอื่นอีกเหรอฮะ……”

เมื่อได้ยินคําพูดนี้ ผมก็ใจสั่นทันที เสียงผมเบาขนาดนั้น ยัยนี่ยังได้ยินอีก

แต่ผมยังไม่ได้กระวนกระวาย ยังอยากยื้อเวลาต่อไป “ เธอ เธอฟังผิดหรือเปล่า ฉันไม่ได้พูดสักหน่อย !”

พอพูดประโยคนี้จบ สิบวินาทีที่เหลือก็ยังขาดอีกแค่สี่วินาที

ปกติส่วินาทีมันแค่ชั่วพริบตา แต่ตอนนี้ ผมกลับรู้สึกมันเนิ่นนานเหลือเกิน

ผมภาวนาอย่างต่อเนื่อง หวังว่ายัยผีตัวนี้จะพูดไร้สาระกับผมต่ออีกสักสองสามประโยคอย่าขัดจังหวะการเรียกของผมเด็ดขาด

แต่ผลลัพธ์ละ กลัวอะไรได้อย่างนั้น เสียงของผมเพิ่งเงียบลง จู่ๆผีผู้หญิงคนนั้นก็ตะคอกเสียงดังลั่น

“ ไอ้ชั่วยังกล้าโกหกฉันอีก เอาชีวิตฉันคืนมา ! ”

เสียงเพิ่งเงียบ ยัยผีนั่นก็ยกมือขึ้นอย่างรวดเร็ว

วินาทีนั้น ลมกระโชกแรงถาโถมเข้ามาทันที

ยังไม่ทันให้ผมได้ตอบสนองใดๆ ผมก็รู้สึกถึงลมหนาวที่หน้า ร่างกายกระเด็นออกไปทันที

“ ปัง” ตัวผมทรุดลงกับกองทรายที่อยู่ห่างออกไป

นี่ไม่ใช่เรื่องสาคัญอะไร เพราะมันไม่ได้เป็นอันตรายถึงชีวิต

แต่ การโจมตีครั้งนี้ของผีผู้หญิง ทําลายการเรียกของผมทันที

ไฟสีดําที่ยังร้อยอยู่เมื่อกี้ ตอนนี้ไม่มีความรู้สึกอะไรแล้ว มันเปลี่ยนกลับเป็นไฝดําสองเม็ดดังเดิม

สมควรตาย การเรียกวิญญาณถูกทําลายแล้ว

อีกแค่นิดเดียวเท่านั้น เหลืออีกแค่ไม่กี่วิเอง

รอยประทับก็จะสมบูรณ์ และเรียกม่หลงเหยียนออกมาได้แล้วเชียว

“ เหล่าติง ! ”

* ติงฝาน !

หยางเนิ่วและเหล่าเฟิงเห็นผมโดนทําร้ายกระเด็นออกไปไกลหลายเมตร และตัวยังเข้าไปติดอยู่ในกองทรายครึ่งหนึ่ง พวกเขาจึงอดไม่ได้ที่จะหวาดกลัวแต่ละคนต่างรีบวิ่งเข้ามาหาทันที

“ ฉัน ฉันไม่เป็นอะไร !” ผมกลั้นความเจ็บปวดที่หน้าอกและหน้าท้องเอาไว้ พูดออกมาด้วยความยากลําบาก และพยายามจะปืนออกมา

แต่ยัยผีผู้หญิงตนนั้นกลับเค้นเสียงดัง ฮี “ ไม่เป็นอะไรใช่ไหม งั้นฉันจะทําให้เป็นอะไรเอง !”

เสียงเธอยังแหบและแสบหูเหมือนเดิม

และเสียงเพิ่งเงียบลง ยัยผีตัวนั้นก็ลอยเข้ามา จากนั้นเธอก็พุ่งเข้ามาจนเห็นเป็นลําแสงสีแดง

เมื่อเห็นภาพนี้ ผมก็รีบตะโกนออกมาทันที “ ระวัง ! ”

อาจเป็นเพราะกังวลมากเกินไป บวกกับเมื่อกี้เพิ่งโดนโจมตีอย่างหนัก เลือดเลยพุ่งพล่าน “ อัก” เสียงกระอักเลือด

ย้อนกลับไปดูที่เหล่าเฟิงและหยางเฉ่ว พวกเขาหมุนตัวกลับไปแล้ว

เมื่อเห็นผีผู้หญิงกําลังพุ่งเข้ามา พวกเขาก็ยกดาบขึ้นเตรียมรับการต่อสู้ พวกเขาคิดจะปิดกั้นไม่ให้ผีผู้หญิงเข้ามาใกล้ผม

แต่พลังของทั้งสองฝ่ายต่างกันเกินไป ยังไม่รอให้ทั้งสองคนได้ลงมือ ผีผู้หญิงตนนั้นก็ลอยผ่านทั้งสองคนมาแล้ว

ส่วนเหล่าเฟิงและหยางเฉ่ว ต่างล้มกลิ้งกับพื้น บนตัวต่างมีรอยฝ่ามืออยู่บนตัว

โชคดีที่พวกเขาใส่เสื้อผ้าหนา ไม่อย่างนั้นหน้าอกคงจะเป็นแผลเหวอะ เลือดไหลนองกันไปแล้ว

สายเกินไปแล้วที่จะสนใจเลือดตรงมุมปาก ม่านตาของผมขยายใหญ่ รีบลุกขึ้นคิดจะหลบให้พัน

แต่ผีชุดแดงตรงหน้า ไม่ให้โอกาสผมเลยสักนิด

มือของผีผู้หญิงยึดเข้ามา จับที่หัวของผมเอาไว้

เพิ่งลุกได้ครึ่งตัว ทันใดนั้นผมก็โดนยัยผีดินกลับไปเหมือนเดิม จมเข้าไปในกองทรายอีกครั้ง

ทรายที่ติดอยู่บนหน้าค่อยๆไหลลงมา ทําให้ผมเหล่ตาได้แค่ข้างเดียว และนั่นทําให้ผมรู้สึกอึดอัดมาก

แต่สิ่งที่ร้ายแรงยิ่งกว่านั้นคือ ขณะที่ผีผู้หญิงปล่อยลมหายใจที่เยือกเย็นออกมาเขี้ยวตรงมุมปากของเธอ

ก็จ่ออยู่ที่คอผมไม่ขยับ ทําให้ผมไม่กล้าหายใจในทันที..

ศพ

ศพ

อ่านนิยายเรื่องศพ
Status: Ongoing
โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset