ศพ – ตอนที่ 328 มาตามคําสั่ง

ตอนที่ 328 มาตามคําสั่ง

ขณะมองแสงไฟดวงเล็กๆดวงนั้น ในใจของพวกเราไม่ได้รู้สึกดีแม้แต่น้อย ยิ่งไปกว่านั้นยังมีแต่ความรู้สึกสับสนที่ไม่อาจพูดออกมาได้

สับสนว่าผีผู้หญิงถูกหรือผิด ดีหรือชั่ว

ถึงผมจะไม่ได้เจอเรื่องประเภทนี้ครั้งแรก และเข้าใจต้นสายปลายเหตุของเรื่องนี้ดี

ผู้หญิงแสนดีคนหนึ่ง ตอนนี้กลับกลายเป็นผีร้ายในสายตาคนอื่น

พวกเราในฐานะคนปราบสิ่งชั่วร้าย การฆ่าเธอก็ถือว่าเป็นเรื่องที่สมเหตุ

สมผล

แต่ ในใจของผม กลับคิดถึงคนที่ทําร้ายเจียหย่าจือ บัณฑิตซิ่วในชั่วที่ยัง เธอเอาไว้ในโลงเหล็ก ต้นเหตุที่ทําให้เธอกลายเป็นแบบนี้

เพียงแต่เวลาผ่านมาร้อยกว่าปีแล้ว เจ้าบัณฑิตซิ่วไฉคนนั้นก็คงตายไปนานแล้ว และเหลือแต่เศษธุลีเท่านั้น

คนร้ายไม่อยู่แล้ว บทสรุปย่อมไม่อาจรู้ได้

เพราะเจ้าชั่วนั่นผีผู้หญิงถึงต้องตาย ตอนนี้ผมคิดแค่เพียง อยากให้เจ้าชั่วนั่นได้รับบทลงโทษที่สาสม

แต่ก็สงสารเจียหย่าจือผีผู้หญิงชุดแดงตนนั้น เพราะเจ้าชั่วนั่นเธอถึงต้อง ตาย ต้องทําชั่ว แล้วสุดท้ายยังต้องมาวิญญาณแตกสลายอีก

พอคิดมาถึงตรงนี้ ผีผู้หญิงก็หายไปจากสายตาผมแล้วไซต์งานที่ว่างเปล่าเหลือเพียงพวกเราไม่กี่คนเท่านั้น

ตอนนี้มีร้ายโดนกําจัดแล้ว ภารกิจของพวกเราก็ถือว่าเสร็จสิ้นแล้วถึงจะ คิดมากไปก็ไม่มีอะไรดีขึ้นมา

นอกจากจะพูดขอบคุณกับพี่เพิ่งและพี่หวางแล้ว ผมยังมีเรื่องบางอย่าง อยากคุยกับทั้งสองตน

เพราะเหล่าเฟิงและหยางเนิ่วอยู่ด้วย ผมเลยไม่กล้าพูดเท่าไหร่

ด้วยเหตุนี้ ผมเลยหันไปพูดกับเหล่าเฟิงและหยางเฉีวว่า   เหล่าเฟิงหยางเฉ่ว งานเสร็จแล้ว พวกนายกลับไปบอกเสี่ยวม่านก่อนนะฉันมีบางอย่าง อยากจะคุยกับพี่ชายทั้งสองตามลําพัง ! ดังนั้นพวกนายกลับไปก่อนนะเออใช่ในกระเป๋าไปเปาของพวกนายมีข้าวหยินไหมถ้ามีเอามาให้ฉันหน่อย

พอเหล่าเฟิงและหยางเนิ่วได้ยินผมพูดแบบนั้นก็ไม่ได้ถามอะไรมากนัก 2004 เนื่องจากเห็นได้ชัดว่าเพิ่งหนิวและหวางเป้าเฉิงมาเพื่อผมโดยเฉพาะ

แบบนี้ดูเหมือน พวกเขาทั้งสองจะกลายเป็นคนนอกไปโดยปริยายสําหรับพวกเขาเรื่องบางอย่าง ก็ไม่อาจพูดออกมาได้ตรงๆและผีทั้งสองตนนี้ก็ยัง เป็นระดับผู้นํา ย่อมมีความลับของตัวเองอยู่แล้ว

ส่วนข้าวหยิน ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่อะไร มันต้องถูกเอามาใช้เป็นของขวัญตอบแทนผีทั้งสองอยู่แล้ว

ผ่านไปไม่นาน เหล่าเฟิงก็เอาข้าวหยินถุงน้อยๆออกมาจากกระเป๋าไปเปาของพวกเขา แล้วส่งมาให้ผม

ในเวลาเดียวกัน พวกเขาก็โบกมือให้เทิงหนิวและหวางเป้าเฉิงหลังจาก นั้นก็ได้ยินทั้งสองพูดว่า

  พี่เทิง พี่หวาง คืนนี้ขอบคุณพวกท่านมากนะคะ/ครับพวกเราขอตัวก่อนนะคะ/ครับ !  

เพิ่งหนิวและหวางเป้าเฉิงคลี่ยิ้ม และโบกมือกลับ  เกรงใจแล้วเกรงใจ แล้ว ! 

จากนั้น เหล่าเฟิงและหยางเฉ้วก็ไม่ได้อยู่ต่อหลังจากพยักหน้าให้ผมแล้ว พวกเขาก็ออกไปทันที

เหล่าเฟิงและหยางเฉ่วเพิ่งเดินออกไปผมก็เอาข้าวหยินในมือให้ทั้งสอ งตน   พี่ชายทั้งสองพวกเราไม่ได้เตรียมของขวัญอะไรเอาไว้นี่เป็นข้าวหยิ นสามถุง หวังว่าพวกท่านจะรับไว้ !  

เพิ่งหนิวและหวางเป้าเฉิงเห็นผมยื่นข้าวหยินให้ก็เผยสีหน้าดีใจออกมา เล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้เว่อร์อะไรเบอร์นั้นพวกเขายังพอเก็บท่าทีอยู่บ้าง

แต่จากท่าทีที่ละเอียดอ่อนของพวกเขาก็ทําให้ผมดูออกมาว่าทั้งสองตน ดีใจมาก

  ฮ่าฮ่าฮ่า น้องติงฝานเกรงใจไปแล้ว ! ในเมื่อเป็นแบบนี้งั้นพวกเราก็ไม่เกรงใจแล้วนะ   เทิงหนิวหัวเราะ แล้วหันไปสบตากับหวางเป้าเฉิงจากนั้นก็เอื้อมมือออกมารับข้าวหยิน

  พี่ชายทั้งสอง ถ้าไม่ได้พวกท่านช่วยเอาไว้ พวกเราคงตายไปแล้ววัน หน้าน้องคนนี้จะเอาของขวัญไปเซ่นไหว้ให้พวกท่านอย่างแน่นอน !   ผมพูด

ผมเพิ่งเงียบลง หวางเป้าเฉิงก็พูดกับเทิงหนิว  สหาย เป็นไงละฉันบอก แล้วว่าน้องติงฝานเป็นคนมีคุณธรรมมาก ! 

  คือจริง จริง   เทิงหนิวพยักหน้า มือข้างหนึ่งจับถุงข้าวหยินไม่ยอมปล่อย

ดูจากท่าทางของเขา คงไม่มีใครเอาของไปไหว้เขาหลายร้อยปีแล้ว

พอพูดถึงตรงนี้ ผมก็ไม่พูดอ้อมค้อม รีบพูดต่อทันที   พี่ชายทั้งสองไม่ท ราบว่าทําไมจู่ๆพวกท่านก็มาที่นี่ละ ? 

ทั้งสองคนฉีกยิ้มให้กัน หลังจากนั้นก็ได้ยินเสียงหวางเปาเฉิงพูดว่า  น้องติงฝานอาจจะไม่รู้ ก่อนหน้านี้จู่ๆแม่นางมู่หลงก็ส่งข้อความมาหาบอกว่าเจ้าอาจตกอยู่ในอันตรายให้พวกเรารีบมาช่วยเจ้าที่นี่ทันที  

  พอข้าได้ยินว่าน้องติงตกอยู่ในอันตราย ก็รีบเดินทางมาที่นี่ทันทีโชคดีที่สุสานจินชานอยู่ห่างจากที่นี่ไม่ไกลก็เลยมาทันพอดี…  

เพิ่งหนิวพูดต่อทันที   ใช่แล้ว ! ข้าก็ได้รับข้อความจากแม่นางมู่หลงเหมีอนกัน และรู้ว่าแม่นางมู่หลงกําลังเก็บตัว ไม่สามารถออกมาได้และเรียกให้ คนอื่นมาช่วยไม่ทันแล้ว ข้าก็รีบมาช่วยทันทีระหว่างทางบังเอิญเจอกับน้อ งหวางพอดีเพราะฐานะของแม่นางมู่หลง เมื่อกี้ยังมีคนอื่นอยู่ด้วยเราสอง คนก็เลยไม่รู้จะเริ่มพูดยังไง !  

เมื่อได้ยินถึงตรงนี้ ผมก็อดรู้สึกอบอุ่นหัวใจไม่ได้

ถึงตอนที่ทั้งสองตนปรากฏตัว ผมจะเดาว่าเป็นแบบนี้อยู่แล้วแต่คําพูดจากปาก ก็ทําให้ผมดีใจยิ่งกว่าเดิมอยู่ดี

ถึงว่าหลังจากผมกระตุ้นตราประทับสีดําเสร็จ และเรียกมู่หลงเหยียนสามครั้งแล้วเธอก็ไม่ออกมา ที่แท้ก็กําลังเก็บตัวออกมาไม่ได้นี่เอง

แต่ผมก็คิดไม่ถึงว่า แม้มู่หลงเหยียนจะมาไม่ได้แต่เธอก็คิดวิธีขอความ ช่วยเหลือจากผู้นําสุสานจินชานและผู้เฒ่าเขาผีสองตนนี้ให้มาช่วยพวกเรา

แทน

น้ําใจแบบนี้ ทําให้ผมรู้สึกซึ้งใจไม่น้อย

พอกลับไปแล้ว ต้องหาเวลาไปเยี่ยมมู่หลงเหยียนสักหน่อยพูดขอบคุณ กับเธอดีๆสักครั้ง อย่างมากสุดผมก็อาจโดนเธอ  อัด  คืนเดียว

หลังจากรู้ความจริงแล้ว ผมก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก

ส่วนหวางเป้าเฉิงกลับหัวเราะฮ่าๆใส่ผม   น้องติงฝานโชคดีจริงๆเลยนะที่ได้แต่งกับแม่นางมู่หลงน่ะ  

จู่ๆก็ได้ยินคําพูดแบบนี้ ผมก็ทั้งดีใจ และอึดอัดใจในเวลาเดียวกัน

ที่ผมดีใจเป็นเพราะ ผมพบว่าเหมือนตัวเองจะเริ่มชอบยัยเจ้าอารมณ์นั่นขึ้นมาหน่อยแล้ว

แต่ที่อึดอัดใจคือ ก็เพราะต่อหน้าและลับหลังของยัยเจ้าอารมณ์นี่เป็นอ ย่างกับคนละคนนะซิ

โดยเฉพาะกับผม เธอทั้งดุร้ายและขี้โมโห แต่ผมก็ยิ้มตอบเขาจากนั้นก็ไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้มากนัก

เทิงหนิวเห็นว่าตอนนี้ก็ดึกมากแล้วเรื่องราวของที่นี่ก็จบลงอย่างน่าพอใจ แล้วจึงเอ่ยปากบอกลาผม

สิ่งที่ควรถามผมก็ถามไปหมดแล้ว ได้รู้สาเหตุที่แท้จริงแล้วผมจึงไม่รั้งพวกเขาเอาไว้อีก เพียงบอกให้พวกเขาเดินทางอย่างปลอกภัยวันหน้าผมจะไปเยี่ยม

นิยาย เรื่องนี้อัพเดตก่อนที่อื่น เว็ปแรกที่ลง novelza.com

ต่อจากนั้น เทิงหนิวและหวางเป่าเฉิงก็โบกมือให้ผมแล้วหมุนตัวเดินเข้า ไปในความมืด

พวกเขาเดินไปได้ไม่กี่ก้าว ร่างก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยแล้ว

แม้ผมจะเดาไม่ออกว่าทั้งสองคนมีพลังและความแข็งแกร่งถึงขนาดไหน แต่จากการต่อสู้กับผีชุดแดง

อย่างต่ําพลังของพวกเขาต้องมีมากกว่าผีชุดแดงหนึ่งเท่าอย่างแน่นอน

หรือจะพูดอีกอย่างว่า พลังของทั้งสองตน ก็น่าจะอยู่ในขั้นเต้าหวางที่อยู่ เหนือกว่าขั้นเต้าจจิ้น

นี่สามารถได้พูดว่าเป็นพลังที่น่ากลัวเลยทีเดียว เพราะอาจารย์ท่านนัก พรตตู้และคนอื่นๆ ก็ยังอยู่แค่ใน

ขั้นสุดท้ายของขั้นเต้าชื่อเท่านั้น

และเมื่อก่อนผมเคยได้ยินท่านนักพรตคู่ที่เคยออกไปท่องเที่ยวไปทั่วพูด ว่า แม้แต่พวกสํานักใหญ่ๆ หรือพวกที่ได้รับการสืบทอดจากตระกูลคนที่ ถึงขั้นเต้าหวางก็อยู่ในช่วงอายุที่เป็นผู้อาวุโสไปแล้วในสายงานของพวกเรา คนเหล่านั้นล้วนมีชื่อเสียงทั้งนั้น

แต่หวางเป้าเฉิงและเทิ้งหนิว กลับมีพลังแบบนี้ช่างน่าหวั่นเกรงจริงๆ

แต่ถ้าคิดอีกมุมหนึ่ง ในฐานะผู้นําผี มีพลังแบบนี้ก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติทั่วไป

เพียงแค่เมื่อย้อนกลับมามองตัวเอง กลับยังอ่อนถึงขนาดนี้อยู่แค่ขั้นเต้า ถือเท่านั้น หากเอาไปเทียบกับพวกเขาผมมันก็แค่มือใหม่สมัครเล่นเท่านั้น

ผมสูดหายใจเข้าลึกๆ ตัดสินใจแล้วว่าหลังจากกลับไปผมจะฝึกให้หนักก ว่าเดิมทําให้พลังของตัวเองพัฒนาขึ้น

ผมไม่ได้อยู่ต่อ หลังจากเผชิญหน้ากับลมหนาวแล้ว ผมก็หมุนตัวเดินกลับไปที่อาคารหลังเล็กๆในไซต์งานทันที

 

ศพ

ศพ

อ่านนิยายเรื่องศพ
Status: Ongoing
โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset