ศพ – ตอนที่ 33 ลำดับชั้นในสายงาน

จู่ๆก็เกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้น ทำให้ผมและเฟิงเฉ่วหานไม่ทันตั้งตัว

วินาทีนั้นเมื่อหยิบยันต์ได้ แม้ผมจะไม่มั่นใจเท่าไหร่

เพราะภายใต้สถานการณ์ปกติ มันยังไม่สามารถประสบความสำเร็จได้ทุกครั้ง

จู่ๆตอนนี้ก็เกิดเรื่องขึ้น ผมเองก็กลัวเช่นกัน

แต่ ผมไม่มีทางเลือกอื่น

หลังจากที่ผมพูดคำว่า “ทำลาย” ทันใดนั้นยันต์ที่ติดกลางหน้าผากผีดิบ ก็เรืองแสง และมีเสียงดัง “ปัง” ยันต์แผ่นนั้นก็ระเบิดในทันที

 

คาถาดังกล่าวปลดปล่อยพลังหยางที่ร้อนระอุออกมา และยังเป็นการโจมตีอย่างฉับพรัน

ผีดิบที่เคยบีบคอเฟิงเฉ่วหาน จึงกรีดร้องออกมา “บึก” จากนั้นร่างของมันก็ล้มลงไปกับพื้นทันที

เมื่อเห็นฉากนี้ ผมก็ดีใจทันที ดีใจสุดๆจนกระโดดโลดเต้นเลยละ

คิดไม่ถึงจริงๆ การใช้ยันต์ครั้งแรกของผม จะสำเร็จอย่างสมบูรณ์

ขณะที่ผีดิบได้นอนลงไปกองกับพื้น ร่างของมันก็กระตุกสองสามครั้ง ในปากยังเปล่งเสียง “ฮือฮือฮือ” ออกมา มันสำลักควันดำออกมาสองสามครั้ง จากนั้นก็ไม่ขยับอีกเลย

ผมและเฟิงเฉ่วหานไม่กล้าประมาท เพราะเมื่อกี้พวกเราประมาท จึงถูกผีดิบลอบโจมตี

 

พวกเราไม่ได้เข้าใกล้ผีดิบเหมือนครั้งที่ผ่านมา หลังจากสังเกตมาพักหนึ่ง ผมก็ใช้ดาบไม้จิ้มไปที่ตัวของผีดิบสองสามครั้ง

เมื่อแน่ใจว่าเจ้านี้ถูกยันต์ฆ่าตายแล้วจริงๆ พวกเราถึงได้ถอนหายใจออกมา

ผมและเฟิงเฉ่วหานนั่งลงไปกับพื้นทันที ความรู้สึกเหนื่อยล้าโหมกระหน่ำเข้ามา

“ติงฝาน เมื่อกี้ขอบใจมากนะ ถ้าไม่ได้นายช่วยไว้ ป่านนี้ฉันคงตายไปนานแล้ว!” เฟิงเฉ่วหานยิ้มแห้งๆ

ผมกลับส่ายหัว “เอาอะไรมาพูด ตะกี้นายเองก็ช่วยฉันไว้ครั้งนึงไม่ใช่เหรอ!”

ขณะที่พูด ผมสองคนก็จุดบุหรี่หนึ่งมวน จากนั้นก็สูบร่วมกัน

 

พวกเราเหนื่อยกันมากจริงๆ รู้สึกเหมือนว่าไม่เหลือพลังในร่างอีกแล้ว

ส่วนภายในห้องโถง ของทุกอย่างกระจัดกระจายไปหมด เป็นภาพที่น่าปวดหัวมาก

หลังจากที่ผมและเฟิงเฉ่วหานได้พักมาประมาณครึ่งชั่วโมง พวกเราก็เริ่มลุกมาเก็บกวาดสิ่งของต่างๆ

ถ้าให้คุณเหวินและภรรยามาเห็นภาพนี้เข้า พวกเราคงอธิบายกันไม่ถูกเลยทีเดียว

หรือจะพูดกับพวกเขาว่า เมื่อคืนลูกสาวคุณกลายเป็นผีดิบ ดังนั้นห้องจึงกลายเป็นแบบนี้

ถ้าพูดแบบนี้ออกไป คงมีไม่กี่คนที่เชื่อคำพูดของพวกเรา

 

พวกเรานำศพของคุณหนูเหวินกลับเข้าไปในโลงอีกครั้ง หลังจากเก็บข้าวของเรียบร้อย พวกเราถึงได้พักหายใจหายคอกันอีกครั้ง รู้สึกว่าร่างกายผ่อนคลายขึ้นมาก

เมื่อมองดูเวลา ตอนนี้ก็ปาไปตี 4 กว่าๆแล้ว

อีกไม่นานฟ้าก็จะสว่างแล้ว ดังนั้นผมและเฟิงเฉ่วหานจึงไม่กลับไปนอน และไม่ไปปลุกอาจารย์และนักพรตตู๋ พวกเรานั่งคุยกัน คิดว่าพรุ่งนี้ ควรบอกเรื่องในคืนนี้ให้สองคนนั้นฟังยังไงดี

เมื่อบวกกับประสบการณ์การต่อสู้ในครั้งก่อน ความสัมพันธ์ของผมและเฟิงเฉ่วหานจึงพัฒนาขึ้นไม่น้อย

และเฟิงเฉ่วหานยังบอกผมว่า อีกไม่นาน เขาและนักพรตตู๋จะกลับมาอยู่กับเหล่าฉินที่สุสาน

เมื่อได้ยินเรื่องนี้ ผมก็ดีใจจนออกหน้าออกตา

 

เพราะนักพรตตู๋เป็นคนมีความสามารถอย่างแท้จริง แถมยังร้ายกาจกว่าอาจารย์ด้วย

ถ้ามีนักพรตตู๋อยู่ ต่อไปมีปัญหาอะไรที่แก้ไขไม่ได้ แค่ไปหานักพรตตู๋ก็จบแล้ว

ไม่เพียงแค่นี้ ตั้งแต่ผมช่วยงานอาจารย์มา ยังไม่เคยมีเพื่อนในตำบลเลยสักคน

แม้แต่เพื่อนสมัยเรียน ยังหนีผม หลบหน้าผม เห็นผมเป็นตัวซวย

แม้ว่าเฟิงเฉ่วหานคนนี้จะเย็นชาไปบ้าง แต่ผมกลับรู้สึกดี และยังทำงานเดียวกันด้วย

ต่อไปถ้าเฟิงเฉ่วหานเข้ามาอยู่ในตำบล อย่างน้อยผมก็ได้มีเพื่อนรุ่นเดียวกันเพิ่มมาอีกหนึ่งคน และเวลาเจอเรื่องแปลกๆ ก็ยังสามารถช่วยเหลือกันได้ด้วย

 

ผมสองคนยิ่งพูดก็ยิ่งรู้สึกดีขึ้นเรื่อยๆ แน่นอนว่าเวลาส่วนใหญ่ที่พวกเราใช้คุยกัน เฟิงเฉ่วหานจะเป็นคุณชายเย็นชาเสมอ เขาพูดน้อยมาก

ในเวลานี้ เฟิงเฉ่วหานก็พูดกับผมว่า “ติงฝาน นายพึ่งเริ่มฝึกวิชาใช่ไหม”

ผมเงียบไปพักหนึ่ง คำพูดนี้ไม่ผิด

เพราะอาจารย์พึ่งเริ่มสอนวิชาให้เมื่อไม่กี่วันก่อนนี้เอง ดังนั้นผมจึงพยักหน้า “ใช่! ก่อนที่จะถูกผีชั่วหมายหัว อาจารย์ไม่เคยถ่ายทอดวิชาจริงๆให้กับฉันเลย!”

“ถึงว่า! แต่นายเก่งมากเลยนะ เวลาสั้นๆแค่นี้ก็สามารถใช้ยันต์ได้แล้ว! ในสายงาน นี่ถือเป็นมาตฐานขั้นต่ำสุดแล้วละ” เฟิงเฉ่วหานเริ่มพูด

 

เมื่อได้ยินคำพูดของเฟิงเฉ่วหาน ผมก็หัวเราะ “ฮ่าฮ่า” แต่ก็ยังถามเขาว่า “ถ้านายพูดแบบนี้  งั้นในสายงานก็ยังมีมาตฐานที่ดีกว่านี้งั้นซิ”

เฟิงเฉ่วหานตอบ “อือ”  “นั้นมันเป็นธรรมดา ไม่ว่าจะเป็นงานไหนๆ ก็ต้องมี 3 6 9 กันทั้งนั้น ไม่อย่างนั้นจะแยกแยะความแข็งแกร่งได้ยังไงละ”

“โห! งั้นนายเล่าให้ฉันฟังหน่อยซิ!” ผมถามด้วยความอยากรู้อยากเห็นมาก

“ลัทธิเต๋าของเราแบ่งออกเป็นเก้าระดับ ตอนนี้นายอยู่ในระดับต่ำที่สุด……”

สำหรับเรื่องพวกนี้ ผมไม่เคยได้ยินอาจารย์พูดถึงมันมาก่อน ตอนนี้เมื่อได้ยินเฟิงเฉ่วหานพูด ผมจึงนั่งฟังอย่างใจจดใจจ่อ

 

จากนั้นก็ถามว่า “เฟิงเฉ่วหาน นายบอกว่าสายนี้มีเก้าระดับ งั้นต่ำสุดคือเก้าเหรอ แล้วตอนนี้นายกับนักพรตตู๋อยู่ในระดับไหนแล้วละ”

เฟิงเฉ่วหานไม่ได้หัวเราะเยาะ แต่เขากลับอธิบายให้ผมฟังอย่างจริงจัง

หลังจากฟังจบ ผมถึงเข้าใจขึ้นมานิดหน่อย

พวกเราที่ทำกิจการงานศพ ถ้าพูดให้ชัดๆก็คือแขนงหนึ่งของลักธิเต๋านั้นเอง

ปัจจุบันเพื่อความอยู่รอด จึงเปิดร้านเกี่ยวงานศพ ทำเป็นธุรกิจอย่างหนึ่งขึ้นมา

ผมและอาจารย์ทำแบบนี้ จึงถูกเรียกว่าผู้ที่ปราบสิ่งชั่วร้าย

แต่ถ้าในทางลักธิเต๋า พวกเรายังเป็นส่วนหนึ่งของลัทธิ

 

และในทางลัทธิเต๋าแบ่งออกเป็น 9 ระดับ คือเด็กฝึกหัด นักบวช อาจารย์ นักรบ กษัตริย์ มหากษัตริย์ นักบุญ ปรมาจารย์ เทพ มหาเทพ

ในแต่ละระดับต่างมีพลังที่แตกต่างกัน ซึ่งจะเกิดจากความแตกต่างของการฝึกแต่ละคน

เหมือนกับผม ที่พึ่งเข้ามา ก็จะอยู่ในระดับ “เด็กฝึกหัด”

ส่วนเฟิงเฉ่วหานนั้น ไปถึงระดับนักบวชแล้ว

สำหรับท่านนักพรตตู๋ เฟิงเฉ่วหานเองก็ไม่แน่ใจ แต่เขามั่นใจว่าต้องอยู่ในระดับสูงแน่

ขณะที่ผมสองคนคุยกัน ฟ้าก็สว่างแล้ว

 

การได้คุยกับเฟิงเฉ่วหาน ทำให้ผมเข้าใจมากขึ้น เมื่อก่อนผมไม่มีความรู้เกี่ยวกับงานนี้เลยสักนิด

ทันใดนั้น ประตูใหญ่ก็ถูกผลักเข้ามา

ผมสองคนหยุดพูดทันที เมื่อหันไปมอง ก็เห็นอาจารย์และนักพรตตู๋เดินเข้ามาแล้ว

เมื่อเห็นทั้งสองคน ผมและเฟิงเฉ่วหานก็ลุกขึ้นมาทันที

“อาจารย์!” ผมสองคนตะโกนพร้อมกัน

อาจารย์และนักพรตตู๋หันมามอง จากนั้นผมก็ได้ยินเสียงอาจารย์ “เสี่ยงฝาน เมื่อคืนโอเคเลยใช่ไหม!”

ผมแสดงสีหน้าอึดอัดใจ “อาจารย์ เมื่อคืนเกิดเรื่องครับ”

 

“เกิดเรื่อง เกิดเรื่องอะไร” อาจารย์สงสัย นักพรตตู๋เองก็หันมามอง

ผมไม่รอช้า รีบเล่าเรื่องที่ศพคุณหนูเหวินมองคานห้อง แมวร้องใส่โลง และสุดท้ายก็เป็นเรื่องที่ศพเปลี่ยนไปให้อาจารย์และนักพรตตู๋ฟัง

เมื่อทั้งสองคนได้ยิน เขาก็เบิกตากว้างอ้าปากค้าง เผยสีหน้าที่ตกตะลึงออกมา

“เสี่ยว เสี่ยวฝาน แก แกบอกว่าสุดท้ายแกใช้ยันต์ทำลายผีดิบเหรอ” อาจารย์ทำหน้าไม่เชื่อ พูดออกมาด้วยความแปลกใจ

“ท่านนักพรตติง เป็นอย่างนั้นจริงๆครับ ถ้าวินาทีสุดท้ายติงฝานไม่ได้ใช้ยันต์ ผมก็คงถูกผีดิบฆ่าตายไปแล้วครับ!” เฟิงเฉ่วหานพูดออกมาตรงๆ

 

ผมหัวเราะ “ฮิฮิฮิ” และเกาหัวตัวเอง

หลังจากอาจารย์ตกตะลึง เขาก็หัวเราะ “ฮ่าฮ่าฮ่า” ออกมาทันที “เก่งนิเจ้าเด็กน้อย คิดไม่ถึงเลยว่าแกจะมีความสามารถ”

อาจารย์ดีใจมาก ใช้มือตบมาที่ไหล่ของผมเบาๆ

ส่วนนักพรตตู๋กลับรู้สึกผิดนิดหน่อย เขาบอกว่าการเจอเรื่องมองคานห้องนั้น เป็นสิ่งที่เขาประมาทเอง

แต่ก็ชมผมและเฟิงเฉ่วหาน ว่าทำได้ค่อนข้างดี

บอกว่าผมสองคนอายุน้อยแค่นี้ ยังสามารถสู้กับผีดิบได้เพียงลำพัง แบบนี้ก็ถือว่าเยี่ยมมากแล้ว

 

แต่เมื่อชมเสร็จ นักพรตตู๋กลับรู้สึกสงสัย “เสี่ยวฝาน เสี่ยวเฟิง เมื่อคืนพวกเธอบอกว่าหลังจากทำลายการมองคานได้แล้ว จากนั้นก็มีแมวมาร้องที่โลง และยังไล่ไม่ไปใช่ไหม”

ผมเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็พยักหน้า มองท่าทางของนักพรตตู๋ คิดว่าที่นี่อาจมีเรื่องอะไรไม่ชอบมาพากล

แต่นักพรตตู๋ก็ไม่ได้พูดอะไร เดินไปที่ด้านหน้าของโลงศพ เปิดฝาโลงออก และตรวจดูศพ

ทันใดนั้นหน้าของเขาก็ถอดสี และพูดกับพวกเราว่า “เป็นอย่างนี้นี่เอง เมื่อคืนที่ศพเปลี่ยนไป ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ! แต่มีคนจงใจทำ……”

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset