ศพ – ตอนที่ 333 ไล่ล่าแมวแก่

ตอนที่ 333 ไล่ล่าแมวแก่
จู่ๆก็มีแมวแก่ปรากฏตัวขึ้นพวกเราทุกคนเองก็คาดไม่ถึงหลังจากรู้ตัวอีกฝ่ายก็กระโดดผ่านกำแพงและวิ่งหนีไปข้างนอกแล้ว
ทุกคนตกใจทันทีล้อเล่นอะไรกันแก่นหยินแดงนี้มีค่าขนาดไหนมันคือสิ่งที่พวกเราแลกมาด้วยชีวิตเลยนะ
ตอนนี้พี่เฟิงเพิ่งสาบานกับสวรรค์ไปหยกๆเขากำลังจะได้แก่นพลังหยินตามที่ตกลงกันไว้อยู่แล้วและต่อไปเหล่าเฟิงก็จะไม่มีอะไรมากวนใจอีก
แต่ในเวลานี้กลับมีแมวแก่ที่ไหนก็ไม่รู้มาแย่งไปดื้อๆแล้วแบบนี้จะให้พวกเรายอมได้ยังไงละ
พี่เฟิงดึงหน้าและด่าออกมาทันที“กล้ามาแย่งของของข้าข้าจะถลกหนังแกให้ได้ไอ้แมวชั่ว!”
ขณะพูดพี่เฟิงรีบวิ่งออกไปกระโดดข้ามกำแพงตรงๆแล้วหลังจากนั้นก็ไล่ตามเจ้าแมวแก่ตัวนั้นไปทันที
ในเวลาเดียวกันพวกเราก็ได้สติกลับมา
แม้จะไม่รู้ว่าเจ้าแมวแก่ตัวนั้นมาจากที่ไหนแล้วทำไมถึงต้องแย่งแก่นหยินแดงกับพวกเราด้วย
แต่แก่นหยินแดงเป็นของหายากเราไม่มีทางปล่อยให้ตกอยู่ในมือเจ้าแมวตัวนั้นอย่างแน่นอน
อาจารย์พูดขึ้นมาทันที“ตามไป!”
เสียงเพิ่งเงียบลงทุกคนก็เริ่มวิ่งตามล่ากันทัน
พวกเราย่อมไม่รอช้าต่างแยกย้ายตามไปทันทียังไงก็ต้องชิงแก่นพลังหยินกลับมาให้ได้
หลังรั้วสุสานก็คือป่า
ดังนั้นพวกเราจึงวิ่งเข้าป่าไปทันทีแมวแก่หายตัวไปนานแล้วพวกเราจึงได้แต่ตามร่องรอยของพี่เฟิงที่ไล่ตามไปเท่านั้น
เพื่อให้แม่นยำยิ่งกว่าเดิมพวกเราเพิ่งออกนอกรั้วก็หยิบขวดน้ำตาวัวออกมาเปิดตาทันที
อาจารย์และท่านนักพรตต์ก็ใช้วิชาเข็มทิศออกมาเพื่อหาทิศทางของเจ้าแมวแก่ตัวนั้น
“บ้าเอ้ยทำไมถึงมีเจ้าแมวแก่อยู่แถวพวกเราได้นะ!ซวยจริงๆเลย!”เหล่าฉินวิ่งไปด่าไป
พออาจารย์ได้ยินก็พูดต่อทันที“เวรจริงๆช่วงนี้มีแต่เรื่องมีมาไม่จบไม่สิ้นจริงๆ!”
“ใช่ไหมละเจ้าแมวนั้นคงโดนพลังของแก่นหยินนั้นล่อมาแต่คิดไม่ถึงว่าในตำบลของเราจะมีแมวที่บำเพ็ญจนสำเร็จแล้วอยู่ด้วย!”ท่านนักพรตต์ก็พูดเช่นกันเขาทำหน้าหนักใจหลังฟังตาเฒ่าทั้งสามพูดจบผมกลับขมวดคิ้วแน่น
ผมคิดว่าเรื่องนี้มันบังเอิญเกินไปแล้วมั้งพวกเราไม่เคยเห็นเจ้าแมวแก่ตัวนี้มาก่อนหรือแม้แต่ไม่เคยเห็นร่องรอยของมันเลย
แต่ทำไมเจ้าแมวตัวนี้ถึงออกมาพอดีแบบนี้ละทำไมถึงต้องเป็นตอนที่เราเอาแก่นหยินแดงออกมา
ในเวลาแลกเปลี่ยนแล้วจู่ๆมันก็ออกมาปรากฎตัว
เรื่องนี้มันบังเอิญเกินไปแล้วมั้งจู่ๆแมวที่บำเพ็ญสำเร็จหนึ่งตัวก็ออกมาปรากฏตัวแล้วยังมาขโมยแก่นหยินแดงของพวกเราในเวลานั้นอีก
โอกาสที่จะเป็นไปได้ของเรื่องนี้เป็นเหมือนการถูกลอตเตอรี่ไม่มีผิดมันจะโชคดีขนาดไหนเนี่ย
แน่นอนผมคิดว่ายังมีเรื่องหนึ่งที่เป็นไปได้
ถ้าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญการปรากฏตัวของเจ้าแมวแก่ตัวนี้ก็ไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นอย่างไม่ได้ตั้งใจ
ถ้าเป็นแบบนี้จริงๆงั้นเรื่องนี้ก็ทำให้ผมคิดถึงศัตรูคู่อาฆาตของพวกเราแล้วละ“องค์กรตาผี”
พวกเราและองค์กรชั่วเคยพัวพันกันมาหลายครั้งหรือแม้แต่จางเทาสมาชิกในองค์กรนั้นก็เคยเป็นเพื่อนร่วมชั้นกับผมด้วย
เจ้าจางจีเทารู้ที่อยู่ของผมอย่างแน่นอนหลังจากกันในโรงงานร้างครั้งนั้นเขาก็ไม่ออกมาปรากฏตัวอีกเลย
บางทีเจ้าพวกนั้นคงกังวลว่าที่นี่อยู่ใกล้กับถนนหยินแล้วจะไปขัดขวางแผนการของพวกมัน
แต่ก็รับประกันไม่ได้ว่าเขาจะไม่ลงมืออะไรกับผม
เจ้าแมวแก่ตัวนี้อาจเป็นสาวกในองค์กรตาผีหรือจะบอกว่าเป็นคนสอดแนมที่เจ้าจางจีเทาส่งมาจับตาดูพวกเราก็ได้เพื่อจะได้คว้าโอกาสดีๆแล้วลงมือทันที
แน่นอนว่านี่เป็นแค่การคาดเดาเท่านั้น
แต่ตอนอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ผมกลับเดาว่า
การปรากฏตัวของเจ้าแมวแก่นี่ต้องไม่ใช่เรื่องบังเอิญอย่างแน่นอนมันไม่ได้ผ่านทางมาหรือเป็นเพราะเรื่องอย่างอื่นแต่เป็นเพราะรับคำสั่งมาให้คอยจับตาดูพวกเรามานานแล้ว
พอเห็นแก่นหยินแดงมันก็เลยลงมืออย่างกระทันหันแย่งแก่นพลังหยินไปจากเราทันที
สำหรับอสูรร้ายเจ้าสิ่งนี้ดึงดูดใจมาก
ขอแค่อสูรพวกนี้กินมันเข้าไปหนึ่งเม็ดก็จะสามารถเพิ่มพลังและความสามารถได้อย่างรวดเร็วมันดียิ่งกว่าการบำเพ็ญตบะสักสิบปีซะอีก
แต่สิ่งพวกนี้เป็นเรื่องที่ผมเดาเองล้วนๆไม่มีหลักฐานใดๆทำได้เพียงรอให้จับเจ้าแมวตัวนั้นให้ได้ก่อน
ถึงจะเค้นความจริงออกมาได้
พวกเราเข้าไปในป่าเรื่อยๆในเวลาเดียวกันอาจารย์และท่านนักพรตต์ก็ใช้เข็มทิศกำหนดทิศทางของเจ้าแมวแก่นั้นได้แล้ว
ตอนนี้มันหนีไม่พ้นเงื้อมมือของพวกเราแล้ว
ในเวลานี้สิ่งเดียวที่พวกเรากังวลก็คือเจ้านั้นจะกินแก่นหยินไปแล้วหรือยังหรือทำลายมันไปแล้วหรือเปล่า
หากเป็นแบบนั้นถึงจะฆ่าเจ้าแมวตัวนั้นไปเราก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา
ทุกคนหอบความกังวลไล่ตามไปอย่างบ้าคลั่ง
หลังจากตามมาได้ประมาณสี่สิบนาทีพวกเราก็มาถึงหุบเขาแห่งหนึ่ง
เมื่อก่อนผมกับอาจารย์เคยมาที่นี่มาก่อนมันอยู่ในส่วนที่ลึกมากของภูเขาปกติแทบไม่มีใครเดินทางมาถึงที่นี่
แต่เพิ่งมาถึงตรงนี้เราก็ได้ยินเสียงการต่อสู้และเสียงคำรามดังขึ้น
โดยเฉพาะเสียงร้อง“เบี้ยวเลี้ยว”นั้นฟังแล้วรู้สึกขนลุกทันที
“อยู่ข้างหน้านี่แหละเร็วหน่อย!”อาจารย์ตะโกนจากนั้นก็เก็บเข็มทิศแล้วรีบวิ่งไปข้างหน้าทันที
ทุกคนไม่ได้พูดอะไรจิตใต้สำนึกบอกให้เพิ่งความเร็วยิ่งกว่าเดิมทุกคนวิ่งไปต่อข้างหน้าเรื่อยๆ
ผ่านไปไม่กี่นาทีพวกเราก็เข้ามาถึงภายในหุบเขา
ผ่านตาสวรรค์เราเห็นเงาสองเงากำลังสู้กันอยู่
หนึ่งในนั้นเป็นเงาที่คุ้นตามากเขาไม่ใช่ใครอื่นก็คือเงาของเหล่าเฟิงนั่นเอง
แต่ในเวลานี้คนที่คุมร่างของเขาน่าจะเป็นพี่เฟิง
ส่วนอีกคนหนึ่งกลับเป็นเหมือนสัตว์ป่าสี่ขาติดดินร้อง“เบี้ยวเลี้ยว”ออกมาเป็นครั้งคราวและกำลังใช้กรงเล็บฟาดฟันใส่พี่เฟิง
นี่ก็คงเป็นเจ้าแมวแก่ตัวนั้นที่ไร้ที่มาที่แย่งแก่นหยินแดงจากพวกเราไป
เมื่อเห็นภาพนี้ทุกคนก็ไม่รอช้หยิบดาบไม้ออกมาแล้วพุ่งเข้าไปโจมตีทันที
ตอนพวกเราเข้าไปใกล้อีกหน่อยถึงได้เห็นสภาพที่แท้จริงของเจ้าแมวแก่ตัวนั้น
ตัวคนหน้าแมวตอนนี้มันได้มีขนาดเท่าคนปกติแล้ว
ทั่วทั้งร่างเต็มไปด้วยขนตรงกันยังมีหางลายอีกหนึ่งอัน
เจ้านี่ต้องเป็นแมวปีศาจอย่างแน่นอนแต่พอมองจากพละกำลังแล้วถือว่าร้ายกาจอยู่พอสมควรในเวลานี้มันกำลังต่อสู้อย่างสูสีกับพี่เฟิง
พวกเราเข้าไปโจมตีอย่างกระทันหันในช่วงเวลานั้นอาจารย์ตะโกนว่า“เจ้าเดรัจฉาน!”
หลังจากพูดจบอาจารย์แทงดาบเข้าไปที่ตัวปีศาจแมวทันที
“เดรัจฉานวันนี้ข้าจะฆ่าแกให้ได้!”เหล่าฉันก็ตะโกนออกมาแล้วพุ่งเข้าไปทันที
ผมและท่านนักพรตต์ไม่ได้พูดอะไรเพียงทำหน้าเข้มแล้วรีบเข้าไปล้อมเจ้าแมวแก่นั้นเอาไว้
เจ้าแมวแก่ตัวนั้นเห็นพวกเราเข้ามาล้อมจึงรู้สึกได้ถึงอันตรายเลยคิดจะหนีออกไป
แต่พี่เฟิงกลับเค้นเสียงดังฮีกระโดดขึ้นแล้วจับหางของเจ้าแมวที่กำลังจะหนีเอาไว้
เมื่อเจ้าแมวนั้นโดนจับหางมันก็ร้อง“เบี้ยว”ออกมาหนึ่งครั้งแล้วหันกลับไปคิดจะกัดมือพี่เฟิง
พี่เฟิงไม่ได้คิดจะหลบเขาตะโกนออกมาหนึ่งครั้ง“ไสหัวกลับไป!”
ขณะพูดเขาก็ออกแรงดึงหางเจ้าแมวตัวนั้น
วินาทีนั้นร่างของมันโดนยกขึ้นสูงลอยเคว้งกลางอากาศและสุดท้ายก็“ปัง”กระแทกลงกับพื้น
“เบี้ยว!”แมวตัวนั้นร้องเสียงหลงแรงกระแทกทำให้มันขึ้นทันที
ในเวลาเดียวกันดาบของพวกเราก็พุ่งเข้าไปที่ร่างของเจ้าแมวแก่
พอเจ้าแมวแก่เห็นฉากนี้ดวงตาสองข้างก็เต็มไปด้วยความหวาดกลัว
มันจะกล้าประมาทได้ยังไงวินาทีนั้นมันรีบกลิ้งไปกับพื้นสองตลบหลบอย่างต่อเนื่องคิดจะหลบการโจมตีของพวกเรา
แม้มันจะหลบพ้นแต่ก็ยังโดนแทงเข้าไปหนึ่งครั้ง
แต่ดาบนี้ไม่ได้ทำให้มันบาดเจ็บหนักเพียงแค่ทิ้งรอยแผลเอาไว้ที่ขาของมันเท่านั้น
หลังจากพวกเราโจมตีเสร็จเจ้าแมวตัวนั้นก็เห็นโอกาสจึงเอาอุ้งมือทั้งสี่วางลงพื้นแล้วกระโดดขึ้นอย่างแรง

ศพ

ศพ

อ่านนิยายเรื่องศพ
Status: Ongoing
โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset