ศพ – ตอนที่ 334 สาวกองค์กรตาผี

ตอนที่ 334 สาวกองค์กรตาผี
แมวแก่เคลื่อนไหวว่องไวภายใต้วงล้อมของพวกเราสี่คนมันก็ยัง “หนี”เอาชีวิตรอดไปได้
แน่นอนว่านี่แค่ชั่วคราวเท่านั้นหุบเขาแห่งนี้ไม่กว้างและไม่ใหญ่มากทั้งสองข้างล้วนเป็นหน้าผาทั้งหมด
ตอนนี้หินที่เจ้าแมวแก่เหยียบอยู่ กลับเป็นมุม ยอดของหน้าผา
หรือจะพูดได้ว่าเจ้าแมวแก่ไม่มีทางให้หนีแล้วขอแค่พวกเราคุมทางออกเอาไว้ ยังไงคืนนี้เราก็ต้องจับเจ้าแมวตัวนี้ได้อย่างแน่นอน
“เดรัจฉานเอาของออกมาเดี๋ยวนี้ !” ท่านนักพรตตู้ทําหน้าโมโห
เสียงเพิ่งเงียบลงพี่เฟิงก็พูดต่อทันที “ถ้าไม่เอาคืนมาคืนนี้ฉันจะถลกหนังแกทั้งเป็น….”
ส่วนเจ้าแมวแก่ตัวนั้นกลับมองพวกเราอย่างหวาดระแวงและเหยียดเท้าทั้งสี่มาข้างหน้าทําท่าอย่างกับเตรียมพร้อมจะจู่โจม
พอพวกเราพูดจบมันก็ตอบกลับทันที “อย่าเพิ่งได้ใจเร็วไปนักใครจะถลกหนังใคร ตอนนี้มันยังไม่แน่หรอก !เมี้ยว…..”
“งั้นเหรอ ! งั้นฉันจะฆ่าแกเดี๋ยวนี้แหละ !” พี่เฟงอารมณ์ร้ายผิดปกติต่างจากเหล่าเฟิงลิบลับ
เสียงเพิ่งเงียบลงพี่เฟิงก็กําดาบไม้พุ่งเข้าไปทันที
พอเจ้าแมวเห็นแบบนั้นกลับไม่ได้พุ่งเข้ามาปะทะตั้งแต่วินาทีแรกแต่กลับถอยหลบการโจมตีของพี่เฟิงได้อีกครั้ง
ในเวลาเดียวกัน มันก็กรีดร้องไปบนท้องฟ้า“เบี้ยว……”
คราวนี้เสียงของมันดังมากราวกับแทบจะทําให้คอมันแตกได้
หลังจากเสียงนี้ดังขึ้นมันก็เริ่มดังก้องไปทั่วหุบ
เขา
พวกเราเองก็ไม่รู้ว่าเจ้าแมวตัวนี้กําลังทําอะไรอยู่จึงคิดว่ามันคงร้องออกมาก่อนตายเท่านั้น
เราไม่ได้คิดมากตอนนี้ในสมองของเรากําลังเต็มไปด้วยความโมโหคิดแต่จะเข้าไปล้อมอีก ฝ่ายเอาไว้
แต่ทันใดนั้นเอง เหตุการณ์แปลกๆก็เกิดขึ้น
จู่ๆเจ้าแมวแก่ก็ลุกขึ้นยืนอุ้งเท้าทั้งสองข้างเข้ามาประกบกันเหมือนตอนที่คนกําลังประสานมือเป็นรูปดาบ
หลังจากนั้นมันก็ตะโกนออกมาว่า“ขอเชิญเทพลุ่ยลิ้ง เพี้ยง !”
เสียงเพิ่งเงียบลงเจ้าแมวแก่ก็ตัวสั่นทันทีทันใดนั้นคลื่นพลังปีศาจก็ไหลทะลักออกมา
คราวนี้คลื่นพลังปีศาจที่ไหลออกมาดูทรงพลังกว่าพลังที่มันปล่อยออกมาเมื่อกี้มาก
พลังปีศาจที่ทรงพลังขนาดนี้ทําให้พวกเราใจสั่นถอยไปข้างหลังหลายเมตรตามที่สัญชาตญาณบอกทันที
ขณะพลังปีศาจกําลังระเบิดออกมารูปร่างของเจ้าแมวตัวนั้นก็เปลี่ยนไปอย่างผิดตา
ขนตั้งฟูทั้งตัวอย่างกับกําลังโดนไฟดูดสภาพดูแปลกตาสุดๆ
และสิ่งที่ทําให้เราตกใจยิ่งกว่านั้นคือรูปร่างที่เคยผอมแห้งของมัน ในเวลานี้ได้เปลี่ยนเป็นอวบอ้วนราวกับมีคนไปเป่าลมให้ตัวบวมขึ้นมา
กรงเล็บทั้งยาวและคมขึ้นกว่าเดิม
หน้าแมวของมันก็เผยสีหน้าทรมานออกมาแต่กลับดูดุร้ายด้วยเช่นกัน
โดยเฉพาะตรงหน้าผากของมันจู่ๆเนื้อก็แตกออกและมีเลือดสดๆไหลออกมาเป็นสาย
ท่าทางเจ้าแมวจะดูทรมานมากร้อง “เบี้ยว เบี้ยว”เสียงหลงออกมาไม่หยุด
เมื่อเห็นถึงตรงนี้ หน้าผมก็แข็งที่อทันทีในใจมีเสียงดัง “ถูก”
ฉาก ฉากแปลกๆแบบนี้ มัน มันไม่ใช่ตอนที่ตาผีจะออกมาเหรอ
จู่ๆผมก็คิดแบบนี้ พวกอาจารย์เองก็เป็นเหมือผมต่างคิดถึงเจ้าตาผีนั่นกันทั้งนั้น
เพราะเวลาตาผีจะออกมา ผิวตรงหน้าผากจะแยกออกและเผยให้เห็นดวงตาอีกหนึ่งดวง
หากอีกฝ่ายแสดงอาการแบบนี้ ก็แสดงว่ามันได้ฝึกวิชามารบางอย่างมาจากองค์กรตาผี
พอตาผีออกมา พลังของอีกฝ่ายก็จะเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว
ในหัวเพิ่งมีความคิดพวกนี้ผุดขึ้นมาเราก็เห็นดวงตาสีขาวโพนดวงหนึ่งค่อยๆโผล่ออกมาที่ หน้าผากของเจ้าแมว
“เวรละนั่นตาผี !” อาจารย์อุทานขึ้นมาทันที
“นี่มัน ตาผีของเจ้าองค์กรชั่ว !” เหล่าฉันเองก็ตกใจเช่นกัน
ผมก็ว่าอยู่ทําไมจู่ๆเจ้าแมวแก่ตัวนี้ก็ปรากฎออกมาเป็นอย่างที่ผมคิดเอาไว้จริงๆพวกเราตกเป็นเป้าหมายขององค์กรตาผีและถูกจับตามองมาตั้งนานแล้ว !
เจ้าแมวแก่ตัวนี้คงคอยจับตาดูการเคลื่อนไหวของพวกเราเมื่อกี้พอเห็นแก่นหยินแดง มันก็เลยออกมาแย่งไป
ตอนนี้โดนพวกเราบีบจนจนมุมแล้วเลยใช้วิชามารทําให้ตาผีออกมาเพื่อเพิ่มพลังให้กับตัวเอง
มีเพียงวิธีนี้มันถึงยังมีชีวิตอยู่ได้ไม่อย่างนั้นคงรับมือการโจมตีแบบร่วมมือกันของพวกเราสี่คนไม่ไหวแน่ๆ
“ที่แท้ก็เป็นคนขององค์กรตาผี” พี่เฟิงพูดอย่างเย็นชา
และหลังจากที่ตาผีโผล่ออกมาเสียงของเจ้าแมวแก่ก็เริ่มสงบลงเพียงแต่ตอนนี้เจ้าแมวตัวใหญ่ขึ้นเท่านึงรูปร่างอวบอ้วนมากเหมือนพร้อมจะระเบิดออกมาได้ตลอดเวลา
พอมันได้ยินพี่เฟิงพูดแบบนั้น ก็หัวเราะ “ฮ่าๆ” อย่างเย็นชา “ข้าได้รับคําสั่งมาคอยจับตาดูพวกเจ้ามาหลายวันแล้วถ้าไม่ได้เป็นเพราะวันนี้พวกเจ้าเอาแก่นหยินแดงออกมา ข้าก็ไม่มีทางออกมาเปิดเผยตัวตนอย่างแน่นอน แต่ไหนๆก็ออกมาแล้วงั้นวันตายของพวกเจ้าก็มาถึงแล้ว !”
เจ้าตัวแสบ เป็นอย่างที่คิดจริงๆ
เจ้าหมอนี่ได้รับคําสั่งให้มาจับตาดูพวกเราจริงๆด้วยแต่เราก็ยังไม่แน่ใจว่ามันได้รับคําสั่งจากใครมา
เป็นเจ้าหมอผีปุยซานหยวน หรือเจ้านักพรตชั่วจางจีเทาหรือว่าจะเป็นยายแก่นิรนามยัยป้าคนส วยกันแน่
“แกได้รับคําสั่งมา ?” ผมเดินไปข้างหน้าหนึ่งก้าว แล้วถามตรงๆ
เจ้าแมวปีศาจตัวนั้นกลับจ้องผมอย่างเย็นชาแล้วพูดอย่างเหยียดหยาม “ไม่ต้องรีบอีกเดี๋ยว พวกแกก็จะรู้เอง !”
“ความตายมาอยู่ตรงหน้าแล้วยังมีหน้ามาสามหาวฉันจะฆ่าแกเดี๋ยวนี้แหละ !” พี่เฟิงตะ คอกออกมาอีกครั้งเขาไม่มีท่าทีว่าจะคุยไร้สาระกับเจ้าแมวปีศาจอีก
เสียงของเขาเพิ่งเงียบลง มือก็ยกดาบไม้ขึ้นแล้วพุ่งเข้าไปทันที
เมื่อเห็นพี่เฟิงลงมือ ทุกคนก็ขี้เกียจจะถามอีก
เจ้าปีศาจแมวตัวนี้ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ําตาถ้าไม่กําราบมันก่อนก็อย่าคิดจะได้คุยอะไรดีๆกับ มันเลย
อีกเดี๋ยวพอกําราบมันได้แล้ว ค่อยล่วงข้อมูลต่อก็ยังไม่สาย
ทุกคนแบกความคิดแบบนี้พุ่งไปข้างหน้า
เจ้าปีศาจแมวเห็นพวกเราพุ่งเข้ามาสีหน้าจึงเปลี่ยนไปพร้อมกันนั้นดวงตาคู่นั้นกลับเปล่งแสง ประหลาดออกมา
ต่อจากนั้นมันก็คําราม “เมียว” เสียงดังลั่นทันใดนั้นเองเราก็สัมผัสได้ถึงพลังปีศาจที่แล่นเข้ามาปะทะที่หน้า
ปีศาจแมวไม่ได้หนีอีก แต่ทําท่าตัวสั่นอย่างแรงครู่หนึ่ง
พอมันตัวสั่น ด้านหลังของมันก็แยกแมวแก่อีกตัวออกมา
เจ้าแมวตัวนี้เหมือนมันเป๊ะ รูปร่างหน้าตาเหมือนถอดแบบกันมาเลยทีเดียว
พอเจ้าแมวตัวนี้เพิ่งปรากฏตัวออกมา มันก็ร้อง “เมียว”ทันทีพร้อมกันนั้นยังยกกรงเล็บอันคมกริบ
เข้ามาปะทะกับพวกเราทันที
พอเห็นสิ่งนี้ ทุกคนก็รู้สึกไม่อยากเชื่อสายตาพวกเราตกใจมาก
ทําอะไรวะ หรือเจ้าปีศาจแมวตัวนี้จะมีวิชาแบ่งร่างงั้นเหรอ
ตอนแรกมีอยู่แค่ตัวเดียว ตอนนี้กลับเปลี่ยนเป็นสองตัวเป็นอะไรที่น่าทึ่งจริงๆ
แต่เจ้าแมวตัวนี้กําลังพุ่งเข้ามา เราเลยไม่มีเวลาให้คิดอีกต่อไปพี่เฟิงที่อยู่หน้าสุดเริ่มปะทะ กับมันแล้ว
เราได้ยินเพียงเสียงดัง “ปังปัง” พี่เฟิงรับมือไม่ค่อยไหวโดนเจ้าร่างแยกนั้นผลักออกมา
ทันใดนั้นเองเจ้าร่างแยกก็กระโดดขึ้นอย่างรวดเร็วพร้อมกันนั้นก็หันกรงเล็บในมือมาทางพี่เฟิงวินาทีนั้นผมตกใจทันทีแบบนี้เขาจะรับมือได้เหรอ
ผมรีบเข้าไปช่วยทันที ตวัดดาบออกไปต้านเจ้าแมวแก่เอาไว้ขณะเดียวกันก็ใช่มืออีกข้างประ คองพี่เฟิง
“พี่เฟิง พี่เป็นอะไรไหม !”
ขณะพูด อาจารย์ ท่านนักพรตต์ เหล่าฉันทั้งสามคนก็เข้ามาในรัศมีสังหารแล้วตอนนี้กําลังสู้กับเจ้าร่างแยกอยู่
“บ้าเอ้ย เมื่อกี้ประมาทไปหน่อย !” พี่เฟิงพูดอย่างอารมณ์เสีย
พอเจ้าปีศาจแมวบนหินเห็นแบบนั้นก็ยกยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ในทันที
จากนั้นมันก็ได้พูดด้วยเสียงแหบพร่า “ไม่ได้บอกว่าจะฆ่าข้าเหรอ ?แค่นี้ก็สู้ไม่ไหวแล้วตอนนี้มันเพิ่งเริ่มเท่านั้น !”
หลังจากพูดจบ ตาของเจ้าปีศาจแมวตัวนั้นก็ส่องประกายแสงสีเขียวอีกครั้ง
ร่างกายของมันสั่นอีกแล้ว จากนั้นร่างแมวแก่ตัวที่หนึ่งสองและสามก็ออกมาจากร่างของมัน หลังจากนั้นพวกมันก็กระโดดขึ้นร้อง “เบี้ยวเลี้ยวเลี้ยวออกมา”แล้วพุ่งมาเอาชีวิตพวกเราทันที่……

ศพ

ศพ

อ่านนิยายเรื่องศพ
Status: Ongoing
โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset