ศพ – ตอนที่ 338 ช่วงชิงเวลา

ตอนที่ 338 ช่วงชิงเวลา
เห็นได้ชัดว่ายัยแก่กำลังถ่วงเวลาจำกัดให้เจ้าแมวตัวนั้นมีเวลาหนี้มากกว่าเดิม
ตอนนี้เธอไม่ได้จู่โจมพวกเราแล้วแต่กลับเป็นฝ่ายป้องกันซะมากกว่า
เรารู้ดีแก่ใจไม่ว่าจะเป็นเจ้าแมวแก่ที่กำลังหนีไปหรือเหล่าฉินและเหล่าเฟิงที่กำลังนอนสลบอยู่
สำหรับพวกเราแล้วเวลาเป็นสิ่งมีค่ามากและเราก็ไม่คิดจะต่อสู้กับยัยแก่นี่ต่อไปอีกแล้ว
พอคิดได้แบบนี้ผมก็บ้าคลั่งขึ้นมาตวัดดาบไปทางยัยแก่อย่างแรง
เปิดฉากการต่อสู้ใช้ทุกวิถีทางทุ่มสุดกำลังจนแทบจะเป็นการโจมตีแบบไร้ยางอาย
แต่ในเวลานี้ผมไม่ได้คิดอะไรเยอะขนาดนั้นผมคิดแค่ว่าจัดการยัยแก่สมควรตายนี่ให้ได้เร็วๆเราจะได้พาเหล่าฉินและเหล่าเฟิงกลับไปรักษาสักที
เหล่าฉันโดนแรงระเบิดจนสลบและโดนไฟคลอกหลังจากนั้นแม้จะไม่เป็นอันตรายถึงชีวิตแต่ตรงที่โดนไฟคลอกหากไม่รักษาให้ทันเวลามันจะทิ้งรอยแผลเป็นที่น่าเกลียดเอาไว้
ยังมีเหล่าเฟิงอีกคนพี่เฟิงกลืนแก่นหยินแดงเข้าไปตรงๆ
แม้จะเป็นแก่นพลังที่ไม่สมบูรณ์แต่มันก็มีพลังหยินอยู่ไม่น้อย
ในเมื่อเป็นแบบนั้นร่างกายมนุษย์ก็ไม่อาจจะรับได้ง่ายๆ
ดังนั้นเราต้องรีบพาเหล่าเฟิงและเหล่าฉันกลับไปตรวจดูอาการและรักษาทันทีเพื่อป้องกันเหตุไม่คาดคิดที่จะตามมาทีหลัง
สำหรับเจ้าแมวแก่ที่หนีไปตอนนี้ไม่เหลือเงาแล้วผมไม่มีความคิดจะไล่ตามมันเท่าไหร่
ในป่าที่รกร้างแบบนี้ไปไล่ตามแมวแก่หนึ่งตัวคงไม่ใช่เรื่องง่ายขนาดนั้น
ถึงสุดท้ายจะตามทันก็ไม่รู้ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนแล้ว
ด้วยเหตุนี้ผมจึงคิดแค่จะจบการต่อสู้ตรงหน้าเร็วๆจะได้ออกไปจากที่นี่สักที
แต่ก็นะหลังจากผมทุ่มสุดตัวแม้จะต้านเอาไว้ได้แต่เธอก็เสียจังหวะหลายครั้ง
หลังจากร่วมมือกันหลายรอบอาจารย์และท่านนักพรตต์ก็เกือบทำสำเร็จ
พวกเราบีบให้ยัยแก่ต้องใช้พละกำลังมากกว่าเดิมเรื่องนี้จึงเป็นเหตุทำให้พลังในการคงรูปของร่างจิตของเธอลดลงไปอย่างมาก
ต่อจากนั้นสองสามนาทีอาจารย์และท่านนักพรตต์ก็ไม่เหลือโอกาสให้ยัยแก่ได้พักหายใจโจมตีกระหน่ำซ้ายขวาจนยัยแก่รับมือไม่ค่อยไหว
ยายแก่เสียพลังไปเยอะมากเธอต้านไม่อยู่แล้ว
พอเห็นว่ากำลังจะแพ้ไม่อาจยื้อเวลาได้อีกต่อไปเธอก็ถอยหลังไปอย่างรวดเร็วเว้นระยะห่างจากพวกเราอย่างชัดเจน
เธอเว้นระยะประมาณห้าเมตรในเวลานี้ยัยแก่ยืนนิ่งเผยให้เห็นเพียงคางที่เหี่ยวย่นและเสียงหัวเราะอันน่าขนลุก “ฮ่าฮ่าฮ่า”
หลังจากนั้นเราก็ได้ยินยัยแก่พูดว่า“คืนนี้เล่นมามากพอแล้วข้าควรไปได้แล้วแต่พวกเจ้าสบายใจได้
เราจะยังได้พบกันใหม่!”
“ฮึ! ยัยแก่อย่าให้ข้าหาร่างจริงของแก่เจอนะข้าจะเผาแกให้เป็นจุลอย่างแน่นอน!” ท่านนักพรตต์พูดอย่างดุดัน
แต่ยัยแก่นั้นกลับหัวเราะ “ฮ่าๆ” แล้วตะโกนอย่างเย็นชา “อวดดีจริงๆพลังระดับพวกเจ้ายังคิดจะเผาร่างข้าถ้าไม่เป็นเพราะกฎขององค์กรและมีถนนหยินขวางอยู่ข้าคงจะมาฆ่าพวกเจ้าที่ตำบลชิงฉือไปนานแล้ว!”
พอพูดจบยัยแก่ก็เอาไม้เท้าดำในมือกระแทกที่พื้น
“ปัง” ทันใดนั้นร่างของยัยแก่ก็เริ่มบิดเบี้ยวจากเท้าขึ้นมาเหมือนกระแสน้ำแล้วสุดท้ายเมื่อสายลมพัดเข้ามาร่างของเธอก็หายไปทันที
สีหน้าของอาจารย์และท่านนักพรตตู้ไม่ดีเท่าไหร่แต่พวกเขาก็ทำอะไรไม่ได้
พอเห็นยัยแก่หายไปแล้วทั้งสองคนก็จ้องตรงที่ยัยแก่ที่หายไปอย่างดุร้ายแวบหนึ่งหลังจากนั้นถึงได้หมุนตัวกลับไปมองตรงที่เหล่าฉินและเหล่าเฟิงนอนอยู่
ในเวลาเดียวกันก็ได้ยินอาจารย์พูดว่า “ไปเราต้องรีบไปดูเหล่าฉันและเสี่ยวเฟิง!”
พลังจากพูดจบพวกเราก็รีบวิ่งมาหาเหล่าฉันและเหล่าเฟิง
ท่านนักพรตต์เป็นแพทย์แผนจีนเขาตรวจอาการของทั้งสองคนซ้ำแล้วซ้ำอีก
เหล่าฉันยังโอเคดีไม่มีปัญหาใหญ่อะไรแต่พอตรวจอาการบาดเจ็บของเหล่าเฟิงแล้วเขากลับทำหน้าหนักใจ
“แก่นหยินออกฤทธิ์ลมปราณภายในแปรปรวนเสี่ยวเฟิงอาการแย่มาก” ท่านนักพรตคู่ดูเศร้านิดหน่อย
แต่ต่อจากนั้นเขาก็หันมามองผมแล้วถามว่า “เสี่ยวฝานเธอแน่ใจใช่ไหมว่าหานเฉ่วเฟินกลืนเจ้าแก่นพลังของผีร้ายนี้เข้าไปจริงๆ?”
“คือใช่ครับพี่เฟิงกลืนลงไปเองแถมยังบอกว่าต่อไปให้เอาเลือดสดๆให้เขาดื่มวันละถ้วย!ลุงตู้นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?ร่างกายของเหล่าเฟิงจะเป็นอะไรไหม?” ผมถามด้วยความร้อนใจ
ท่านนักพรตต์กลับส่ายหัว “พูดยาก!ตอนนี้เขาอาการแย่มาก”
“ถ้าพูดยากนักงั้นก็ไม่ต้องพูดแล้ว! พวกเราพาพวกเขากลับไปก่อนเถอะหลังจากนั้นค่อยตรวจให้ละเอียดในป่ารกร้างแบบนี้ถ้ายัยแก่นั้นย้อนกลับมาหรือมีปีศาจหรือผีอะไรออกมาอีกพวกเราจะแย่เอานะ!” อาจารย์พูดในขณะเดียวกันก็มองไปรอบๆอย่างหวาดระแวง
“คืองั้นพวกเรากลับกันเลยเถอะ!”ท่านนักพรตต์ก็ตอบกลับ
ผมกำลังยืนอยู่ข้างเหล่าเฟิงเป็นธรรมดาที่ผมจะไม่รอช้ารีบแบกเหล่าเฟิงขึ้นหลังทันที
เหล่าฉันโดนท่านนักพรตต์แบกขึ้นหลังหลังจากนั้นพวกเราก็เริ่มวิ่งกลับไปที่ตำบล
ตอนออกจากหุบเขาถึงผมจะเจอรอยเลือดและเห็นรอยเท้าของเจ้าแมวตัวนั้นทอดยาวเข้าไปในป่า
แต่พวกเราไม่มีเวลามาสนใจเรื่องนี้และไม่มีอารมณ์ไปไล่ตามด้วย
ตอนนี้เราคิดแค่ว่าต้องรีบพาเหล่าฉินและเหล่าเฟิงกลับไปรอให้พวกเขาไม่เป็นอะไรแล้วต่อไปเราค่อยตามไปคิดบัญชีกับเจ้าแมวแก่และยัยแก่นั่น
ทางบนเขาไม่ได้เดินง่ายนักทางนี้ทำให้ผมเหนื่อยจนแทบหมดแรง
พอกลับมาถึงตำบลชิงฉือก็ปาไปตีสามแล้ว
ท่านนักพรตตูรีบทำการรักษาให้ทั้งสองคนทันทีเขาฝังเข็มให้เหล่าเฟิง
แต่ร่างกายของเหล่าเฟิงไม่ค่อยดีเท่าไหร่เดี่ยวก็ร้อนเดี๋ยวก็หนาว
ท่านนักพรตต์บอกว่าเพราะในร่างกายของเหล่าเฟิงมีแก่นพลังของผีอยู่ตอนนี้นอกจากทำให้หัวใจเหล่าเฟิงเต้นเป็นปกติแล้วเขาก็ทำอะไรไม่ได้อีก
แต่ท่านนักพรตต์ก็สงสัยเช่นกันบอกว่าถ้าคนปกติกลืนแก่นหยินเข้าไปผ่านไปแค่ครึ่งชั่วโมงใครคนนั้นก็จะตายแล้ว
แต่เหล่าเฟิงกลับทนมาได้หลายชั่วโมงแล้วถึงจะดูอาการไม่ค่อยดีเท่าไหร่แต่ก็ไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต
แม้จะรู้สึกสงสัยแต่ก็เดาว่านี่อาจเกี่ยวข้องกับร่างกายของเหล่าเฟิง
เขามีหนึ่งชีวิตสองวิญญาณมีดวงวิญญาณอยู่ร่วมกัน
และพี่เฟิงก็อยากได้แก่นหยินแดงมาโดยตลอดยังไงมันก็น่าจะมีประโยชน์กับเขาตอนนี้เรายังไม่รู้สาเหตุแต่ขอแค่ร่างกายของเหล่าเฟิงไม่เป็นอะไร
รอให้เหล่าเพิ่งตื่นขึ้นมาจากนั้นก็เรียกพี่เฟิงออกมาแล้วค่อยถามจากเขาก็ได้แล้ว
เรื่องก็เป็นแบบนี้หลายวันต่อจากนั้นพวกเราคอยดูแลเหล่าเฟิงและเหล่าฉันตลอด
ยังไรก็ตามอาการของเหล่าฉันไม่ได้แย่มากนักวันถัดมาเขาก็ได้สติกลับคืนมาแล้วเพียงทายาอีกหน่อยเขาก็ไม่เป็นอะไรแล้ว
แต่อาการของเหล่าเฟิงยังเหมือนเดิมนอนหลับไม่ได้สติร่างกายเดี่ยวร้อนเดี๋ยวหนาวไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
แต่นอกจากเราจะคอยดูแลร่างกายของเหล่าเฟิงแล้วเราก็ยังระวังมากกว่าเดิม
ในเวลาเดียวกันอาจารย์ให้ผมไปศาลเจ้าหลักเมืองด้วยตัวเองบอกให้ปู่หลิ่วช่วยคอยระวังให้พวกเราพักหนึ่งเรากลัวว่าวันไหนเจ้าแมวแก่จะกลายร่างเป็นแมวธรรมดาแล้วย้อนกลับมาอีก
ในฐานะที่ปู่หลิ่วเป็นคนของเผ่าจิ้งจอกเขาก็น่าจะมีความสามารถแยกแยะสัตว์ได้อยู่บ้าง
แน่นอนในการต่อสู้ครั้งนี้แม้พวกเราจะเป็นฝ่ายสูญเสียแต่กลับได้ข้อมูลบางอย่างมาจากปากของยัยแก่
นั่นก็คือตำบลชิงฉือที่พวกเราอยู่เป็นเหมือนที่มู่หลงเหยียนพูดเอาไว้เจ้าพวกองค์กรตาผีพวกนั้นไม่กล้าเข้ามาใน“พื้นที่ต้องห้าม”ง่ายๆ
คำพูดประโยคสุดท้ายของยัยแก่ที่บอกว่า“ถ้าไม่เป็นเพราะกฎขององค์กร”มันพิสูจน์ได้ทันทีว่าสาวกขององค์กรตาผีไม่อาจเข้ามาใกล้เส้นทางไปนรกของที่นี่ได้ตามใจชอบ
ถึงว่าทำไมมู่หลงเหยียนถึงได้มั่นใจนักบอกว่าที่นี่ปลอดภัยมากให้ผมไม่ต้องกลัวว่าเจ้าจางเทานั่นจะกลับมาล้างแค้น
ตอนนี้ดูเหมือนมันจะเป็นอย่างที่เธอพูดจริงๆ
แน่นอนว่าไม่สามารถเข้ามาได้ตามใจชอบก็ไม่ได้แปลว่าจะเข้ามาไม่ได้
เจ้าแมวแก่นั่นก็คือตัวอย่างเพราะมีกฎขององค์กรชั่วและเส้นทางนรกอยู่ยัยแก่ถึงไม่กล้าเข้ามาตามอำเภอใจแต่มันก็ไม่ได้แปลว่าเธอจะไม่ส่งลูกศิษย์หรือบางอย่างมาทำร้ายเรา
ดังนั้นต่อไปนี้พวกเราต้องระวังมากกว่าเดิมเพื่อไม่ให้เหตุการณ์แบบเจ้าแมวแก่นั่นเกิดขึ้นอีก
และเพื่อความปลอดภัยของชีวิตพวกเราเอง……

ศพ

ศพ

อ่านนิยายเรื่องศพ
Status: Ongoing
โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset