ศพ – ตอนที่ 339 วิญญาณออกจากร่าง

ตอนที่ 339 วิญญาณออกจากร่าง
หลังจากพี่เฟิงกลืนแก่นหยินแดงเข้าไป เขาก็นอนสลบมาห้าวันแล้ว
ภายในห้าวันนี้ สภาพร่างกายของเหล่าเฟิงไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ท่านนักพรตตู๋เองก็ทําอะไรไม่ได้
แต่เราก็ทําตามที่พี่เฟิงบอกเอาไว้ นั่นก็คือให้เขาดื่มเลือดสดๆวันละถ้วย
เลือดสดๆที่ว่าก็คือเลือดไก่เลือดเป็ด เจ้าพวกนี้ก็ไม่ได้มีอะไร
แต่สิ่งที่แปลกก็คือ ทุกครั้งที่ป้อนเลือดสดๆให้เหล่าเฟิงแล้ว ร่างกายของเขาก็จะสงบขึ้นมาพักหนึ่ง
แต่ก็แค่พักเดียวเท่านั้น พอเวลาผ่านไป ร่างกายของเหล่าเฟิงก็จะกลับมาร้อนๆหนาวๆดังเดิม
เช้าวันนี้ ผมก็รีบวิ่งไปหาเหล่าเฟิงเหมือนเดิม
เพิ่งไปถึงร้านไป๋ฉาว ผมก็เห็นท่านนักพรตตู๋กําลังป้อนเลือดให้เหล่าเฟิงอยู่ในห้อง
เพราะเหล่าเฟิงมักกินไปได้แค่ครึ่งหนึ่ง และบ้วนออกมาเกือบหมดตลอด
ผมเห็นท่านนักพรตตู๋เองก็รับมือคนเดียวไม่ไหว เลยรีบพูดกับเขาว่า “ท่านลุงตู๋ ให้ผมป้อนเองครับ !”
“เสี่ยวฝาน ! มาพอดีเลย” ท่านนักพรตตู๋พูด และหัวเราะฮ่าๆ ในเวลาเดียวกันก็วางถ้วยเลือด และใช้มือทั้งสองข้างประคองเหล่าเฟิงที่กําลังสลบไสลให้ลุกขึ้นนั่ง
ผมเดินเข้าไป หยิบถ้วยเลือดขึ้นมา กําลังเปิดปากเหล่าเฟิงเพื่อป้อนเลือด
แต่ไม่รอให้ผมลงมือ ทันใดนั้นเองผมก็พบว่า เปลือกตาของเหล่าเฟิงขยับ
ผมตกใจในทันที ตะโกนออกมาอย่างไม่รู้ตัว “เหล่าเฟิง นายฟื้นแล้วเหรอ ?”
เมื่อท่านนักพรตตู๋ได้ยินแบบนั้น ก็ดีใจขึ้นมาทันที ในเวลาเดียวกันก็ยังตัวสั่นไปพักหนึ่ง
เปลือกตาของเหล่าเฟิงที่เคยปิดสนิทโดยตลอด ในเวลานี้กลับค่อยๆลืมตาขึ้น
พอเห็นเหล่าเฟิงลืมตา ผมก็ดีใจขึ้นมาทันที
นี่ก็ผ่านมาห้าวันแล้ว ในที่สุดเหล่าเฟิงก็ฟื้นขึ้นมาซะที “เหล่าเฟิงในที่สุดนายก็ฟื้นสักที !”
ผมวางถ้วยเลือดลงด้านข้าง และหัวเราะฮ่าๆ ออกมาทันที
“เจ้าลูกศิษย์ ตอนนี้รู้สึกยังไงบ้าง ?” ท่านนักพรตตู๋ก็พูดเช่นกัน หลังจากนั้นก็พาเหล่าเพิ่งไปพิงที่หัวเตียง
เหล่าเฟิงดูเหนื่อยล้า หน้าซีดมาก แต่ก็พยายามขยับตัว หลังจากนั้นก็พูดออกมาด้วย ความลําบาก
“ผม ผมเป็นอะไรไป ?”
ขณะพูด เหล่าเฟิงยังเอามือจับหัวตัวเอง เหมือนกําลังรู้สึกเจ็บ
“ฮึ! ก็พี่ชายของเจ้าดันกลืนแก่นหยินแดงลงไป ดังนั้นเจ้าก็เลยกลายเป็นแบบนี้ไง !” ท่านนักพรตตู๋พูดด้วยความโมโห
ผลลัพธ์เสียงเพิ่งเงียบลง ทันใดนั้นในห้องก็มีเสียงงี่เง่าของใครบางคนดังขึ้น “ตาแก่ แกจะไปเข้าใจอะไร ไม่เข้าใจก็อย่าพูดมาก !”
พอได้ยินเสียงนี้ พวกเราสามคนก็อึ้งในทันที
น้ําเสียงนี้ มันไม่ใช่เสียงของพี่เฟิงหาน เฉ่วเฟิงเหรอ
“หานเฉ่วเฟิง !” เหล่าเฟิงอุทานขึ้นมาคนแรก เขากวาดสายตามองรอบๆ
ผมและท่านนักพรตตู๋กลับมองเหล่าเฟิงด้วยหน้าตกใจ เราทั้งตกใจและสงสัยในเวลาเดียวกัน
เพราะร่างกายพิเศษของเหล่าเฟิง หนึ่งชีวิตสองวิญญาณ
ทุกครั้งจะมีวิญญาณออกมาปรากฏเพียงดวงเดียว ส่วนวิญญาณอีกดวงจะถูกสะกดเอาไว้ในร่าง ไม่มีทางได้ออกมาลืมตาดูโลก อย่างมากที่สุดก็ทําได้เพียงสื่อสารกับวิญญาณอีกดวงเท่านั้น
หากคิดจะออกมา และพูดแบบนี้ จะต้องกดวิญญาณอีกดวงเอาไว้ แล้วควบคุมร่างกายถึงจะทําแบบนี้ได้
แต่ตอนนี้ กลับเห็นได้ชัดว่าเสียงนี้เป็นเสียงของพี่เฟิง
แต่ปัญหาก็คือ เห็นกันอยู่ชัดๆว่าเหล่าเฟิงเป็นคนควบคุมร่างกาย และยังพูดคุยกับพวกเราอยู่ ไม่ได้ถูกสะกดเอาไว้แต่อย่างใด แล้ววิญญาณของพี่เฟิงจะออกมาแผงฤทธิ์ได้ยังไง
ในช่วงเวลานั้น ผมและท่านนักพรตตู๋งงมาก
ส่วนพี่เฟิงกลับพูดต่อ “อย่าเพิ่งตกใจ อีกเดี๋ยวพวกนายจะอึ้งยิ่งกว่านี้อีก !”
เสียงของพี่เฟิงค่อนข้างเย่อหยิ่ง และได้ใจ
เสียงเพิ่งเงียบลง พวกเราก็สัมผัสได้ว่า จู่ๆร่างกายของเหล่าเฟิงก็มีพลังหยางแพร่ออกมา
ไม่เพียงเท่านี้ ร่างกายของเหล่าเฟิงยังบิดอย่างไม่รู้ตัว เหมือนกําลังทรมานอยู่
“หานเฉ่วเฟิง นาย นายกําลังทําอะไร ?” เหล่าเฟิงทําหน้าตกใจ ใช้มือเกาคอตัวเอง ท่าทางดูจะอึดอัดน่าดู
“ทําอะไรงั้นเหรอ ! อีกเดี๋ยวแกก็จะรู้เอง !”
พี่เฟิงเพิ่งพูดถึงตรงนี้ ผมและท่านนักพรตตู๋ก็เห็นควันลอยออกมาจากหัวของเหล่าเฟิง
พอควันพวกนี้ออกมา มันก็ลอยมาตกลงตรงหน้าพวกเรา
เจ้าควันนี้รวมตัวอย่างรวดเร็ว ผ่านไปเพียงชั่วพริบตา มันก็ก่อตัวเป็นรูปร่างของคนคนหนึ่ง
ใครคนนั้นใส่ชุดขาว ใบหน้าดุดัน
รูปร่างหน้าตาเหมือนเหล่าเฟิงเป๊ะ หรือจะเรียกได้ว่าถอดแบบกันมาเลย
เพียงแต่ออร่าและท่าทางแบบนี้ ไม่เหมือนกับเหล่าเฟิงเลยสักนิด
เมื่อเห็นสิ่งนี้ ผมและท่านนักพรตตู๋ก็ทําหน้าช็อกในทันที
เราสํารวจเขาสองสามรอบ จากนั้นก็หันไปมองเหล่าเฟิงที่นั่งพิงหัวเตียงอยู่สองสามครั้ง
ผมมั่นใจ นี่ก็คือพี่หานเฉ่วเฟิงแน่ๆ
นอกจากพวกเราแล้ว แม้แต่เหล่าเฟิงก็ยังมอง พี่เฟิงที่จู่ๆก็ออกมาปรากฏตัวด้วยความประหลาดใจ
ในห้องเงียบไปหลายวิ ต่อจากนั้นเราก็ได้เหล่าเฟิงพูดขึ้นมาคนแรก “นาย นายคือ นายคือพี่ชายของฉัน
หาน หานเฉ่วเฟิง”
ผู้ชายคนนั้นเหลือบตามองเหล่าเฟิง แล้วพูดด้วยใบหน้าดูถูก “ไร้สาระ ! ไม่งั้นแกคิดว่าฉันเป็นใครละฮะ”
เสียงเพิ่งเงียบลง ผมและท่านนักพรตตู๋ที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็อดสูดหายใจเข้าไม่ได้
พระเจ้า นี่มันเรื่องอะไรกัน มันน่าทึ่งเกินไปแล้ว
ตอนแรกเริ่ม ท่านนักพรตตู๋เคยพูดว่า เหล่าเฟิงมีหนึ่งร่างสองวิญญาณ วิญญาณสองตัวผูกติดกัน
เขาปฏิเสธออกมาทันที ว่าวิญญาณทั้งสองดวงไม่อาจออกมาปรากฏตัวพร้อมกันได้ หรือแม้แต่บอกว่าวิญญาณทั้งสองดวงไม่มีทางออกมาอยู่ในร่างพร้อมกัน
ถ้าไม่เป็นเหล่าเฟิง ก็ต้องพี่เฟิงเท่านั้น
นอกจากความตายแล้ว ทั้งสองก็ไม่มีทางออกมาปรากฏตัวพร้อมกัน จึงไม่ต้องพูดถึงเรื่อง วิญญาณออกจากร่างเลย
แต่วันนี้ วิญญาณของพี่เฟิงออกมาจากร่างแล้ว แถมยังปรากฏตัวต่อหน้าทุกคน แล้วแบบนี้จะไม่ให้พวกเราตกใจหรือรู้สึกแปลกใจได้ยังไง
ถ้าเป็นแบบนี้ งั้นก็หมายความว่าวิญญาณของพี่เฟิงก็ไม่ต้องผูกติดกับวิญญาณเหล่าเฟิงแล้ว
ต่อไปเหล่าเฟิงก็ไม่ต้องแชร์ร่างกายกับพี่เฟิงอีกนะซิ
พอคิดได้แบบนี้ ผมก็ดีใจเว่อร์ หรือแม้แต่ดีใจแทนเหล่าเฟิง
ท่านนักพรตตู๋พูดด้วยความประหม่า “นาย นาย จะออก ออกมาได้ยังไง นายสองคนไม่ได้มีวิญญาณผูกติดกันเหรอ ?”
ท่านนักพรตตู๋เดินทางไปทั่วกว่าสิบปี เขาไม่เคยได้ยินมาก่อน ว่าหนึ่งร่างสองวิญญาณจะสามารถแยกจากกันได้
ตอนนี้พอมาได้เห็นกับตา เขาก็รับไม่ค่อยไหว
แต่พี่เฟิงที่ยืนอยู่ด้านข้างกลับเหยียดยิ้มอย่างดูถูก “ถ้าไม่ได้เป็นเพราะพลังในแก่นหยินแดงนั้นลดลง
อย่าว่าแต่ออกมาเลย แม้แต่แยกออกมาจากร่างนี้เลยก็ยังได้”
“แก่นหยินแดง แก่นหยินแดงยังมีความสามารถแบบนี้ด้วยเหรอ ?” ท่านนักพรตตู๋ถามต่อ เขายังตกใจไม่หาย
ผมและเหล่าเฟิงก็เบิกตากว้าง ตั้งตารอฟังสิ่งที่พี่เฟิงจะพูด
พี่เฟิงยังคงทําท่าทางเฉื่อยชา สายตาดูถูก “นั่นก็ต้องดูว่าเป็นใคร เอาไปใช้ยังไง หากตกอยู่ในมือของพวกแก มันก็ไม่มีประโยชน์เลยสักนิด ถ้าไปตกอยู่ในมือของพวกผีที่บําเพ็ญตน ก็แค่เอาไว้ใช้เพิ่มพลังเท่านั้น
แต่ถ้ามาตกอยู่ในมือฉัน มันไม่เพียงสามารถทําให้ฉันแยกวิญญาณกับเจ้าขยะนี่ได้ แต่ยังสามารถแยกพวกฉันออกจากกันได้อย่างสมบูรณ์ ตั้งแต่นี้จะนับว่าเป็นสองเป็นสองตาย !”
แม่เจ้า ! พี่เฟิงยังมีความสามารถแบบนี้ด้วยเหรอ
ตอนนี้ก็ดูเหมือนจะเป็นแบบนี้จริงๆ
ถึงว่าทําไมก่อนหน้านี้พี่เฟิงอยากได้แก่นหยินแดงนัก ที่แท้ก็จะเอามาใช้แยกวิญญาณของทั้งสองคนออกจากกัน
แต่จากคําพูดเมื่อกี้ของเขา ดูเหมือน ดูเหมือนพวกเขาจะยังไม่ได้แยกกันอย่างสมบูรณ์ แต่เป็นแค่การแยกออกมาได้ในระยะเวลาสั้นๆเท่า
พอคิดได้แบบนี้ ผมก็ถามเขาตรงๆ “พี่เฟิง พี่บอกว่า ตอนนี้พวกพี่ยังไม่ได้แยกจากกันจริงๆ เป็นแค่การแยกออกจากกันแค่สั้นๆเหรอ ?
พี่เฟิงขมวดคิ้ว เผยสีหน้าโมโหออกมา “ก็ใช่นะซิ ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้าแมวตัวนั้นเข้ามายุ่ง มันก็คงไม่เป็นแบบนี้ ถ้ามีแก่นหยินแดงแบบสมบูรณ์ ฉันก็จะสามารถแยกออกมาได้แล้ว ต่อไปก็จะได้ใช้ชีวิตอย่างอิสระ
แต่สุดท้ายก็ปล่อยให้เจ้าแมวตัวนั้นทําลายซะได้ สมควรตายจริงๆ……

ศพ

ศพ

อ่านนิยายเรื่องศพ
Status: Ongoing
โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset