ศพ – ตอนที่ 34 เฝ้าศพ

ก่อนหน้านี้พวกเราไม่ได้สนใจ เมื่อเห็นอาจารย์และนักพรตตู๋เดินเข้ามา ผมและเฟิงเฉ่วหานก็เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟัง ด้วยสีหน้าสบายๆ

จากนั้นพวกเราก็กำลังจะขอตัวไปพัก พิธีในตอนกลางวัน ก็มอบให้ชายชราทั้งสองคน

แต่ใครจะไปคิด จู่ๆนักพรตตู๋ก็พูดประโยคนั้นออกมา

นอกจากผมและเฟิงเฉ่วหาน แม้แต่อาจารย์ก็ยังหันไปมองทางเขา “นักพรตตู๋ นายพูดอะไรนะ”

หลังจากพูดจบ เขาก็วิ่งเข้าไปทันที

ผมและเฟิงเฉ่วหานเองก็ไม่ต่างกัน รีบวิ่งเข้าไปเช่นกัน อยากรู้ว่านักพรตตู๋เห็นอะไรเข้า

 

คนทำงั้นเหรอ มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ และถ้าเป็นอย่างที่พูด มันจะต้องเป็นเรื่องใหญ่แน่

เมื่อไปถึงข้างโลง นักพรตตู๋ก็ชี้ไปที่หัวของคุณหนูเหวิน “ก่อนหน้ามันยังไม่มี เมื่อกี้ฉันลองตรวจหัวของศพ กลับพบว่าในหัวของศพมีตะปูอยู่หนึ่งดอก!”

“ตะปู จะมีเจ้านี้อยู่ได้ยังไง” ผมถามด้วยความประหลาดใจ

แต่นักพรตตู๋กลับพยักหน้าที่เคร่งขรึม “ไม่ใช่แค่นั้น ตะปูดอกนี้ยังไม่ธรรมดา มันมีชื่อว่าตะปูวิญญาณทุกข์ระทม!”

เมื่อผมและเฟิงเฉ่วหานได้ยินสามคำนี้ ก็แสดงสีหน้ามึนงงออกมาเพราะมีความรู้ไม่มากนัก

 

แต่หลังจากที่อาจารย์ได้ยิน สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปทันที “ตะปูทุกข์ระทม ถ้าพูดแบบนี้ งั้นการตายของคุณหนูเหวิน ก็อาจถูกคนชั่วทำร้ายซินะ!”

นักพรตตู๋พยักหน้าเล็กน้อย “ไม่ใช่แค่นั้น คนๆนี้ยังชั่วกว่านั้น ไม่ใช่แค่ฆ่าคุณหนูเหวิน เขายังต้องการทำร้ายคนในตระกูลเหวินด้วย”

“ถ้าฉันเดาไม่ผิด แมวป่าที่ปรากฎตัวเมื่อคืน ต้องเป็นฝีมือของคนที่อยู่เบื้องหลังปล่อยมันออกมาแน่! แต่โชคดีที่พวกเธอสองคนแก้ไขสถานการณ์ได้ ไม่อย่างนั้นคุณเหวินและภรรยา คงตายไปแล้ว!”

เมื่อได้ยินนักพรตตู๋พูดแบบนี้ ผมก็รู้สึกใจสั่น

แต่นักพรตตู๋ ก็อธิบายให้ฟังนิดหน่อย ว่าอะไรที่เรียกว่าตะปูวิญญาณทุกข์ระทม

นักพรตตู๋พูดว่า นี่เป็นของที่ใช้ทำคุณไสย

 

ใช้ตะปูพิเศษ ตอกลงบนหัวของคนที่พึ่งตาย

โดยวิธีนี้ จะทำให้คนตายไม่สงบ รวมรวบพลังชั่วร้ายไว้ที่ส่วนบน ทำให้ศพอาละวาด และมีโอกาสมากที่ศพจะกลายเป็นผีดิบ

การทำแบบนี้จะต้องควบคุมผีดิบและวิญญาณอย่างอ้อมๆ แต่เดิมไม่เคยมีคนทำบอกความลับเรื่องนี้กับใครมาก่อน ราวกับสวรรค์ไม่รู้วิญญาณไม่เห็น

เมื่อฟังถึงตรงนี้ ผมก็อดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลาย มีคนใช้วิชาชั่วร้ายฆ่าคน ควบคุมศพ กักขังวิญญาณ ไอ้ชั่วนี้น่ารังเกียจจริงๆ

และยังยากที่จะคาดเดา การตายของคุณหนูเหวิน ต้องไม่ใช่เรื่องบังเอิญ มันต้องมีคนทำร้ายเธออย่างแน่นอน

 

และตะปูดอกนั้น ยังเกิดขึ้นหลังจากนำตัวคุณหนูเหวินกลับมา มันถึงได้ถูกตอกลงไปในหัวของเธอ

เพราะก่อนหน้านี้ ศพของคุณหนูเหวินเคยถูกตรวจสอบจากทางโรงพยาบาล

ถ้าตอนนั้นมีตะปูอยู่จริง พวกเขาก็จะรู้ทันที

แต่ถ้าพูดอีกแบบก็คือ หลังจากคุณหนูเหวินเสียชีวิตไอ้ชั่วนั้น ก็มาที่งานศพ และยังได้สัมผัสกับศพของคุณหนูเหวิน

ไม่เพียงแค่นั้น อีกฝ่ายยังพยายามทำร้ายคนต่อ และเป้าหมายของเขา ก็อาจเป็นคุณเหวินและภรรยาอีกด้วย

หลังจากนักพรตตู่และอาจารย์เดามาถึงจุดนี้ ก็หันมาคุยกับผมและเฟิงเฉ่วหาน “พวกเราเข้ามามีส่วนรู้เห็นในเรื่องนี้แล้ว ดังนั้นต้องจัดการให้ถึงที่สุด”

 

“ตอนกลางวันไม่มีอะไรเกิดขึ้นแน่นอน ดังนั้นพวกเธอสองคนไปพักก่อน พอถึงตอนกลางคืน พวกเราจะมาสู้กับไอ้ชั่วนั้น เอาวิญญาณของคุณหนูเหวิน กลับมาให้ได้!”

เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ผมและเฟิงเฉ่วหานก็พูด “ครับ” ทันที

แม้จะไม่รู้ว่าเกมนี้จะดำเนินไปยังไง แต่ตอนนี้สิ่งที่ผมสามารถทำได้ ก็คือพักฟื้นร่างกายให้ดี

ถ้าร่างกายไม่ดี จะคอยช่วยอะไรได้ละ

หลังจากที่พวกเรากลับมาถึงห้องที่คุณเหวินเตรียมให้ ก็ยังพบว่ามีพ่อบ้านนำอาหารมาให้พวกเราอีกด้วย หรือพูดได้ว่าสะดวกสะบายไปซะหมดทุกอย่าง

 

หลังจากเติมท้องให้เต็ม พวกเราก็ไม่อาบน้ำ จากนั้นก็นอนหลับ

พอผมตื่นมาอีกที ก็เป็นเวลา 4 โมงกว่าๆแล้ว

ผมลุกขึ้นไปล้างหน้าล้างตา จากนั้นก็ออกไปหาเฟิงเฉ่วหาน และพวกเราก็เดินไปที่งานศพพร้อมกัน

อาจารย์และนักพรตตู๋ต่างอยู่ที่นี่ คุณเหวินและภรรยาเองก็อยู่ด้วยเช่นกัน

แต่เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน คุณเหวินและภรรยายังไม่รู้

พวกเขาเพียงโศกเศร้าเสียใจเผากระดาษเงินกระดาษทองที่หน้าโลง และพูดคุยเรื่องในอดีตกับคุณ

หนูเหวินที่อยู่ในโลง

 

เมื่ออาจารย์และนักพรตตู๋เห็นผมสองคนเดินเข้ามา ก็ไม่ได้พูดอะไรมากนัก เพียงบอกให้พวกเราไปช่วยงานเท่านั้น

พิธียังคงดำเนินต่อไป จนถึงเวลา 4 ทุ่มกว่าๆ จากนั้นคุณเหวินและภรรยาก็ออกไป

ในเวลานี้ ในห้องจัดงานศพเหลือพวกเราสี่คนเท่านั้น

เมื่อผมเห็นว่าไม่มีคนนอก จึงเริ่มพูดกับอาจารย์และนักพรตตู๋ “ท่านนักพรตตู๋ อาจารย์ ตอนนี้ไม่มีใครแล้ว คืนนี้พวกเราจะทำยังไงเหรอครับ”

อาจารย์กรอกตาใส่ผม “ไอ้เด็กนี้ใจร้อนจริงนะ!”

 

นักพรตตู๋กลับหัวเราะเบาๆ จากนั้นก็พูดกับผมและเฟิงเฉ่วหานว่า “เมื่อคืนพวกเธอสองคนสู้กับศพที่เปลี่ยนเป็นผีดิบมาแล้ว และศพเองก็ไม่สามารถเปลี่ยนเป็นผีดิบได้อีกครั้ง ถ้าอีกฝ่ายยังอยากทำอะไรบางอย่าง คืนนี้เขาจะต้องลงมืออีกแน่ และอาจปล่อยวิญญาณของคุณหนูเหวินให้กลับมา……”

นักพรตตู๋พูดอย่างละเอียด เขาเริ่มเล่าเรื่องภารกิจในคืนนี้ให้พวกเราฟัง

เมื่อเรื่องมาถึงจุดนี้มันก็ไม่ยากแล้ว เมื่อถูกตอกตะปูทุกข์ระทม วิญญาณจะไม่ได้รับอิสระ เพราะถูกผู้ใช้วิชาควบคุมเอาไว้ เมื่อดวงวิญญาณหลงทางศพจึงถูกควบคุมจนกลายเป็นผีร้าย

ถ้าคนนั้นอยากควบคุมคุณหนูเหวินให้ออกไปทำร้ายผู้คน แบบนั้นเขาจะต้องให้วิญญาณกลับมาที่ห้องนี้ก่อน เหมือนกับคำพูดที่ว่า เมื่อวิญญาณกลับคืน ประตูแห่งความตายก็จะเปิดออก

 

จากนั้น นักพรตตู๋และอาจารย์ก็จะลงมือ แค่ทำร้ายคุณหนูเหวิน วิญญาณก็จะออกมา

หลังจากนั้นพวกเราก็ตามไป ก็จะสามารถหาเบาะแส และเจอคนที่อยู่เบื้องหลัง

การจัดการคนที่อยู่เบื้องหลังได้โดยตรงถือเป็นเรื่องที่ดีที่สุด แต่ถ้าไม่สามารถจัดการได้ ก็รอให้ฝังศพคุณหนูเหวินก่อน จากนั้นพวกเราค่อยมาวางแผนกันอีกที

หลังจากที่นักพรตตู๋และอาจารย์สรุปแผนให้ฟัง พวกเขาก็วิ่งไปนั่งสูบบุหรี่อีกทางด้านหนึ่ง ส่วนผมและเฟิงเฉ่วหานก็ทำหน้าที่เฝ้าศพต่อไป

คืนนี้ในห้องโถงเย็นเป็นพิเศษ แต่ผมไม่กลัวเลยสักนิด เพราะอาจารย์และนักพรตตู๋นั่งอยู่ที่นี่ จะมีเรื่องอะไรที่ไม่สามารถจัดการได้อีกละ

 

เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า ประมาณเที่ยงคืนครึ่ง ผมก็รู้สึกว่าอุณหภูมิภายในห้องลดลงเยอะมาก

สายลมที่เย็นยะเยือก ไม่รู้ว่าพัดเข้ามาในห้องโถงได้จากทางไหน ผมอดไม่ได้ที่จะหวานจนตัวสั่น จับเสื้อผ้าไว้แน่น

แต่วินาทีที่ผมจับเสื้อผ้าไว้แน่นนั้น จู่ๆผมก็พบว่า ภายใต้แสงสว่างสลัวๆ ตรงหน้าต่างที่ห่างออกไป กำลังมีใครคนหนึ่งยืนอยู่

เป็นผู้หญิงใส่ชุดขาว ผมยาวปะบ่า กำลังพริ้วไหวตามสายลม หน้าขาวซีดผิดปกติ ดวงตาไร้ชีวิต ปากแดงเหมือนเลือด

 

และหน้าตา ยังคล้ายกับคุณหนูเหวินที่อยู่ในโลง แบบเหมือนกันเป๊ะๆ

เมื่อผู้หญิงคนนั้นเห็นผมกำลังมองอยู่ วินาทีนั้นเธอก็เผยรอมยิ้มที่แปลกประหลาดออกมา

เมื่อจู่ๆเห็นภาพแบบนี้ “พรึบ” สีหน้าของผมก็เปลี่ยนไปทันที

ดึกดื่นป่านนี้ จะมีคนมายืนที่หน้าต่างได้ไง และยังเหมือนคุณหนูเหวินเป๊ะ เธอต้องเป็นวิญญาณของคุณหนูเหวินแน่

เมื่อคิดถึงจุดนี้ ผมก็ตะโกนออกมาทันที “มาแล้ว คุณหนูเหวินกลับมาแล้ว!”

น้ำเสียงที่ตื่นตกใจของผม ทำให้นักพรตตู๋ อาจารย์และคนอื่นๆตกใจทันที

 

“อยู่ไหน อยู่ไหน” นักพรตตู๋รีบถาม

ผมชี้ไปที่หน้าต่างทันที “นั้นครับ เธอยืนอยู่ที่หน้าต่างบานนั่น!”

ขณะที่พูด ผมก็หันกลับไปมองอีกครั้ง แต่กลับไม่มีใครอยู่ แม้แต่เงาก็ไม่มี

แม้นักพรตตู๋และอาจารย์จะไม่เห็นคุณหนูเหวิน แต่พวกเขาก็ยังทำหน้าขมวดคิ้ว

ในเวลาเดียวกันผมยังได้ยินเสียงอาจารย์ “ในเมื่อวิญญาณกลับมาแล้ว ขั้นต่อไปก็ต้องไปเอาชีวิต!”

“ใช่แล้วเหล่าติง พวกฉันสองคนจะไปบ้านตระกูลเวิน พวกเธอสองคนเฝ้าศพในห้องนี้ ถ้าวิญญาณกลับมาอีก ก็รีบโทรหาพวกฉันทันที ต้องเปิดโทรศัพท์เอาไว้ตลอดเวลานะ!” นักพรตตู๋รีบพูด

 

เสียงพึ่งจางหาย เขารีบหยิบดาบไม้ขึ้นและเดินออกไปจากห้องพร้อมอาจารย์ทันที

เป็นธรรมดาที่ผมและเฟิงเฉ่วหานจะไม่กล้าละเลย พวกเราตึงเครียดขึ้นมาทันที

ยืนอยู่ด้านซ้ายและขวาของโลง มองไปรอบๆห้องโถงด้วยความกังวล

แต่สิ่งที่นักพรตตู่และอาจารย์คิดไม่ถึงคือ วิญญาณของเธอไม่ได้ตั้งใจไปหาคุณเหวินและภรรยาตั้งแต่แรก แต่มาในห้องโถงที่ผมและเฟิงเฉ่วหานยืนอยู่……

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset