ศพ – ตอนที่ 341 เรื่องเมื่อสิบปีที่แล้ว

ตอนที่ 341 เรื่องเมื่อสิบปีที่แล้ว
ตั้งเล็กจนโตผมก็อยู่ในภูเขามาโดยตลอดทิศเหนือคือเขาฉินทิศใต้คือเขาต้าปา
ไกลออกไปอีกหน่อยก็คือการตามอาจารย์ออกไปเสียนหยางแต่เราก็ยังไปช่วยดูที่ให้คนอื่นเหมือนเดิม
สำหรับทะเลใต้ผมก็แค่เห็นในทีวีเท่านั้น
ดังนั้นสำหรับเรือทาสเรือผีอะไรพวกนั้นไม่ได้อยู่ในหัวผมเลยสักนิด
ในเวลานี้พอได้ยินเหล่าเฟิงพูดว่าเรือทาสก็คือเรือที่เอาไว้ใช้เลี้ยงสัตว์อาหารที่กินก็คือเศษ
ซากคนตายมันจึงทำให้ผมค่อนข้างตกใจหรือแม้แต่ตะลึงไปเลยทีเดียว
แต่เหล่าเฟิงไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดต่อไป
” ในความทรงจำของฉันฉันจำได้แค่ลางๆตอนนั้นฉันโดนช่วยขึ้นมาจากทะเลหลังจากนั้นก็โดนกัปตันบนเรือยังเอาไว้ที่ท้องเรือมันเป็นห้องที่มีดมิดราวกลับเป็นเหมือนผีบนเรือทุกครั้งที่ถึงช่วงเวลาหนึ่ง
ฉันจะโดดุดูดเลือดไปสังเวยให้สวรรค์และท้องทะเล”
” ในนั้นฉันไม่รู้ว่าตัวเองผ่านมาได้ยังไงฉันต้องออกทะเลทุกวันอาหารของฉันคือเศษซากเนื้อคนและพวกกระดูกเวลาผ่านไปวันแล้ววันเล่าปีแล้วปีเล่าจนกระทั่งสิบปีหลังจากนั้นฉันก็หนีออกมาได้……”
เหล่าเฟิงพูดช้าๆเขาแทบกัดฟันพูดนี่เป็นครั้งแรกที่เขาเล่าเรื่องก่อนเจอท่านนักพรตต์ให้พวกเราฟัง
หลังจากได้ยินเรื่องพวกนี้ผมและท่านนักพรตตู้ก็อดเครียดขึ้นมาไม่ได้ในหัวมีแต่ความคิดมากมายในใจยิ่งมีไฟแห่งโทสะยิ่งกว่าเดิม
เหล่าเฟิงบอกว่าในมหาสุมทรผีเรือถูกเรียกอีกชื่อว่าวิญญาณเรือขอแค่วิญญาณเรื่อยังอยู่เรือก็จะไม่ล้ม
กัปตันเรือเชื่อว่าหากเลี้ยงวิญญาณเรือให้ร้ายกาจขึ้นเท่าไหร่โชคในการเดินเรือก็จะยิ่งดีขึ้นเท่านั้น
ดังนั้นวิญญาณใต้ท้องเรือเลยโดนเลี้ยงเนื้อและกระดูกคน
เมื่อมีวิญญาณเรือแล้วทุกครั้งที่ออกทะเลหรือเจอกับพายุลูกใหญ่พอเทเลือดสดๆของวิญญาณบนเรือลงทะเลทุกอย่างก็จะผ่านไปอย่างราบรื่น
ถ้าเป็นการตกปลาก็จะได้รับการคุ้มครองจากเทพมังกรและได้ปลากลับมาอย่างมากมายมหาศาล
ส่วนเหล่าเฟิงที่อยู่ในนั้นสิบปีก็ต้องใช้ชีวิตแบบนั้น
ในความมืดมิดเขาได้แต่อยู่ในห้องเล็กๆใต้ท้องเรือ
ส่วนกัปตันเรือคนนั้นก็ไม่ใช่ชาวประมงธรรมดาอะไรแต่เป็น” ไฮโถวเปียว”
ไฮโถวเปียวคืออะไรมันก็คือนักล่าไข่มุขวาฬและสมบัติในท้องทะเล
คนประเภทนี้ในชีวิตอยู่ในทะเลมาหลายปีเป็นเหมือนสัตว์ประหลาดแห่งท้องทะเล
หรือชอบทำตัวเป็นโจรสลัดฆ่าคนปล้นทรัพย์ทำชั่วในท้องทะเล
ในก้นเรือของพวกเขาผีเรือเก้าในสิบมีสภาพเหมือนเหล่าเฟิง
และคนพวกนี้ก็ไม่ได้มีแค่ฝีมือที่ดีแต่ยังใช้มนต์คาถาเป็นอีกด้วย
เหล่าเฟิงถูกขังอยู่ในนั้นสิบปีเต็มๆ
ในช่วงสิบปีนี้คนที่อยู่เป็นเพื่อนและคอยปกป้องเขาอย่างลับๆก็คือพี่เฟิง
ไม่อย่างนั้นเหล่าเฟิงที่โดนจับมาขังนานขนาดนี้ก็คงเป็นบ้าใต้ท้องเรือไม่ก็ตายหรือโดนเลี้ยงจนกลายเป็นคนผิดปกติไปแล้ว
แน่นอนเจ้าไฮโถวเปียวพวกนั้นไม่รู้ว่าพี่เฟงมีตัวตนอยู่
และภายใต้เงื่อนไขแบบนี้ขณะที่เหล่าเฟิงค่อยๆโตขึ้นพลังของพี่เฟิงเองก็ค่อยๆสูงขึ้น
เมื่อเข้าปีที่สิบเรือบังเอิญเจอเข้ากับพายุลูกหนึ่งน้ำเข้ามาในเรือยันต์ที่ใช้สะกดไว้จึงถูกน้ำซัดออกไป
ด้วยเหตุนี้พี่เฟิงจึงใช้โอกาสนี้เปิดประตูฉุกเฉินแล้วพาเหล่าเฟิงออกมา
ตอนนั้นเป็นเวลากลางคืนพอดีบวกกับข้างนอกยังมีพายุด้วย
ด้วยการชี้นำจากพี่เฟิงเหล่าเพิ่งปล่อยเรือชูชีพแล้วกระโดดลงไปทันที
โชคดีที่ตอนนั้นพวกเขาอยู่ห่างฝั่งไม่มากนักพวกเขาลอยไปลอยไปและแล้วก็มาถึงฝั่งจนได้
เพราะเหล่าเฟิงใช้ชีวิตอยู่ใต้ท้องเรือที่มืดมิดมานานดวงตาเลยไม่ชินกับความมืดแสงแดดเพียงน้อยนิดก็จะทำให้เขาเจ็บตาทันที
บวกกับร่างกายที่อ่อนแอได้รับอาหารที่ไม่มีสารอาหารเพียงพอ
ตอนนั้นพี่เฟิงคอย” ดูแล” เหล่าเฟิงไม่น้อยแน่นอนถึงจะบอกว่าดูแลแต่ที่จริงแล้วมันก็เหมือนช่วยตัวเองนั่นแหละ
ถ้าเหล่าเฟิงตายพี่เฟิงในตอนนั้นก็จะต้องตายตามไปด้วย
ในเวลาเดียวกันนิสัยของเหล่าเฟิงเข้ากับพี่เฟิงไม่ได้เลยหลังจากหนีออกมาได้แล้วพี่เฟิงก็บอกให้เหล่าเฟิงใช้กำลังเพื่อจัดการปัญหา
แต่เหล่าเฟิงไม่เห็นด้วยความไม่ลงรอยระหว่างพี่เฟิงจึงมีใหญ่มากขึ้นเรื่อยๆ
พี่เฟิงเองก็เริ่มดูถูกเหล่าเฟิงมากขึ้นเรื่อยๆจนสุดท้ายก็กลายมาเป็นคำว่า” เจ้าขยะ” ที่พี่เฟิงพูดจนติดปาก
พอมาอยู่บนฝั่งได้สองสามเดือนเหล่าเฟิงก็ค่อยๆปรับตัวเข้ากับกลางวันและกลางคืนได้
และในคืนหนึ่งเหล่าเฟิงก็บังเอิญเจอเข้ากับท่านนักพรตต์ที่กำลังเดินไปตามชายฝั่งในเวลานั้น
ท่านนักพรตตู้เห็นเหล่าเฟิงอยู่คนเดียวน่าสงสารเลยเข้าไปคุยแล้วสุดท้ายก็พามาอยู่ข้างกายรับเขาเป็นศิษย์
และนี้ก็คือเรื่องราวอันแสนเจ็บปวดและทรมานในช่วงสิบปีที่ผ่านมาที่เหล่าเฟิงไม่เคยเล่าให้ใครฟังมาก่อน
และด้วยเหตุนี้เองมันเลยปลูกฝังนิสัยเงียบขรึมให้กับเหล่าเฟิงด้วยหรือแม้แต่นิสัยที่ค่อนข้างสันโดษแต่มันก็ทำให้เขามีความปรารถนาบางอย่างที่ไม่อาจอธิบายออกมาได้
เพราะความทุกข์ตลอดสิบปีนั้นเหมือนเป็นแผลเป็นสำหรับเขาเหล่าเฟิงเลยไม่ยอมเปิดเผยหรือเอ่ยถึงเลย
แม้แต่ท่านนักพรตต์เขาก็ไม่ยอมเล่าให้ฟัง
ท่านนักพรตตู้เห็นเหล่าเฟิงไม่ยอมเล่าเขาก็เลยไม่ถามอีกเลย
และมันก็เป็นความลับแบบนี้ต่อมาเรื่อยๆจนกระทั่งถึงตอนนี้
จนกระทั่งวันนี้เหล่าเฟิงถึงได้ยอมพูดออกมาจากปาก
และหลังจากที่ผมและท่านนักพรตต์ได้ยินเรื่องพวกนี้ก็อดตกใจไม่ได้สีหน้าเต็มไปด้วยความประหลาดใจ
คิดไม่ถึงจริงๆว่าตอนที่เหล่าเพิ่งโดนขังเอาไว้ในห้องๆหนึ่งไร้เสียงไร้แสงมาเป็นสิบปีมันจะมีความรู้สึกยังไง
แม้แต่นักโทษในคุกยังมีเวลาได้ออกมารับลมรับแดดและยังได้พูดคุยกับนักโทษคนอื่นๆบ้าง
ถ้าเปลี่ยนมาเป็นผมอยู่ไม่ถึงสิบวันก็คงเป็นบ้าไปแล้วไม่ต้องพูดถึงสิบปีเลย
นอกจากเรื่องพวกนี้แล้วความทรงจำก่อนโดนขังบนเรือแทบไม่มีอยู่ในหัวเหล่าเฟิงแล้วก็ว่าได้
แต่สิ่งที่ต่างออกไปหานเฉ่วเฟิงวิญญาณที่ถูกฝังเข้ามากลับจำเรื่องพวกนั้นได้
นี่ก็คือสาเหตุว่าทำไมตอนเหล่าเพิ่งรู้ว่าพี่ชายตัวเองยังจำเรื่องก่อนห้าขวบได้แล้วถึงกระวนกระวาย
อยากรู้เรื่องทั้งหมดขึ้นมา
แต่ไม่ว่ายังไงพี่เฟิงก็ไม่ได้ให้คำตอบที่น่าพอใจหรือแม้ยังบอกอีกว่าตระกูลนั่นมันโหดเหี้ยมพ่อแม่โหดร้ายเห็นพวกเขาเป็นแค่เครื่องมือเท่านั้นสุดท้ายก็จากไปพร้อมเรื่องแย่ๆ
หลังจากพูดเรื่องพวกนี้เหล่าเฟิงก็กลับไปพิงที่หัวเตียงเห็นได้ชัดว่าเขาค่อนข้างเหนื่อย
เขาจุดบุหรี่ขึ้นมาแล้วมองขึ้นไปบนเพดาน” เรื่องทุกอย่างกดดันฉันจนฉันแทบหายใจไม่ออกพอได้พูดออกมาแล้วฉันก็รู้สึกสบายใจขึ้นเยอะ……”
หลังจากพูดจบเหล่าเฟิงก็สูบบุหรี่เข้าไปหนึ่งครั้งราวกับได้ปลดปล่อยภาระที่หนักอึ้ง
ผมยิ้มให้เหล่าเฟิง” เหล่าเฟิงตอนนี้นายก็ยังมีพวกเราอยู่ไม่ใช่เหรอ? อย่าคิดมากเลยมันผ่านมาแล้ว! ตอนนี้ขอแค่เราหาแก่นหยินแดงเจออีกสองแก่นพวกนายก็จะได้แยกกันอย่างสมบูรณ์แล้วพอถึงตอนนั้นนายก็จะเป็นเหมือนพวกเราอยู่อย่างอิสระ”
เหล่าเฟิงมองผมแล้วคลี่ยิ้มออกมา” หวังว่านะ
ต่อจากนั้นพวกเราก็เปลี่ยนเรื่องคุยเรื่องอื่นแทน
และมันก็คือเรื่องของเจ้าแมวเฒ่าและเรื่องที่เราเจอยัยแก่ในภายหลัง
ต่อมาผมยังประคองเขาออกไปเดินเล่นข้างนอกพอเห็นเขากลับมาสงบดังเดิมแล้วผมถึงออกมาจากร้านไป๋ฉ่าว
เรื่องราวชีวิตในอดีตของเหล่าเฟิงสามารถกล่าวได้ว่าน่าเวทนามากแต่ก็ยังโชคดีที่เขาได้มาเจอกับ
ท่านนักพรตต์และพี่เฟิงก็จะแยกจากเขาได้อย่างสมบูรณ์แล้วทุกอย่างต่างพัฒนาไปในทางที่ดี
แต่ผมกำลังคิดว่าครอบครัวของเหล่าเฟิงจะมีหน้าตาเป็นยังไงกันแน่
ทำไมตอนนั้นเหล่าเพิ่งถึงลอยอยู่ในทะเลหรีอก่อนหน้านี้เรือของพวกเขาอับปางในทะเลเหรอ
เหล่าเฟิงเหมือนปริศนาชิ้นหนึ่งมีเรื่องราวมากมายที่พวกเรายังไม่รู้
ส่วนพี่เฟิงที่รู้ความจริงทุกอย่างกลับไม่ยอมบอกนี่จึงทำให้พวกเราสงสัยชาติกำเนิดของเหล่าเฟิงยิ่งกว่าเดิม
เป็นครอบครัวยังไงกันแน่ไม่เพียงสร้างร่างสองวิญญาณขึ้นมาได้แต่ยังมีวิชาลับที่ทำให้ทั้งสองแยกจากกันได้อีกด้วยช่างเป็นครอบครัวที่ร้ายกาจจริงๆ
แต่ทำไมพี่เฟิงถึงบอกว่าพวกเขาเป็นเครื่องมือและยังเป็นครอบครัวที่โหดเหี้ยมพ่อ
ขณะที่หัวกำลังคิดผมก็เดินมาถึงบ้านแล้ว
อาจารย์เห็นผมกลับมาแล้วเลยถามว่าเหล่าเฟิงดีขึ้นหรือยัง
ผมบอกว่าเขาฟื้นแล้วและเล่าเรื่องที่เหล่าเฟิงและพี่เฟิงพูดออกมาเมื่อก่อนหน้ากับเรื่องชีวิตในอดีตของ
เหล่าเฟิงให้อาจารย์ฟัง
พออาจารย์ฟังจบก็ทำหน้าตกใจในทันทีและไม่คิดว่าเหล่าเฟิงจะเคยเจอเรื่องแบบนี้มา
แต่หลังจากตกใจเสร็จแล้วอาจารย์กลับพูดว่า” ถึงฉันจะไม่เคยไปทะเลใต้แต่ฉันก็รู้ว่าที่ชายฝั่งมีสำนักสำนักนึ่งตั้งอยู่เก่งเรื่องวิชาผีทะเลใต้ชอบเลี้ยงผีและวิชาของสำนักนี้ก็สืบทอดในคนในตระกูลไม่สอนคนนอก”
” และไม่ว่าจะเป็นรูปร่างหรือหน้าตาของเสี่ยวเฟิงก็ดูเหมือนพวกเราทุกอย่างไม่เหมือนคนทะเลใต้
แต่หานเฉ่วเฟิงกลับใช้วิชาแปลกประหลาดแยกวิญญาณของทะเลใต้ได้ฉันละสงสัยจริงๆบางทีเสี่ยวเฟิงอาจเป็นคนในตระกูลนั้นก็ได้……”

ศพ

ศพ

อ่านนิยายเรื่องศพ
Status: Ongoing
โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset