ศพ – ตอนที่ 35 ผีสาวมาเยือน

หลังจากที่อาจารย์และนักพรตตู๋ออกไป ภายในห้องโถงก็เหลือแค่ผมกับเฟิงเฉ่วหาน

บรรยากาศในห้องโถงเงียบสงัด ไม่ได้ยินเสียงอะไรเลยสักนิด

ผมค่อนข้างเครียด เพราะวิญญาณนั้นมักหายตัวได้อย่างไร้ร่องรอย หวังว่าเธอจะไปและไม่ย้อนกลับมา ไม่อย่างนั้นพวกเราต้องเจอกับเรื่องอันตรายอีกแน่

เมื่อเฟิงเฉ่วหานเห็นท่าทางของผม จู่ๆเขาก็พูดขึ้น “ติงฝาน ยัยผีนั้นคงไม่มาแล้วละ!”

ผมขมวดคิ้ว “อย่าประมาท เธออาจจะมาก็ได้ พวกเราควรระวังเอาไว้ดีกว่า!”

เมื่อเฟิงเฉ่วหานเห็นผมระมัดระวังแบบนั้น เขาก็ไม่พูดอะไรอีก

 

จากนั้น ผมสองคนก็หันไปมองซ้ายมองขวา คอยสังเกตรอบๆห้องโถงอย่างระมัดระวัง รวมถึงหน้าต่างทั้งสองบานด้วย

แต่เวลาผ่านไปไม่ถึง 5 นาที ไฟที่อยู่ในห้อง “พรึบพรึบ” จู่ๆพวกมันก็กระพริบ และสุดท้ายก็มีเสียง “ปัง” พวกมันดับไปทันที

ตอนนี้จึงเหลือเพียงแสงจากเทียนที่จุดอยู่หน้าโลงศพสองเล่มเท่านั้น เมื่อเห็นสิ่งนี้ ผมก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว

เฟิงเฉ่วหานกลับพูดด้วยความสงสัย “คัทเอาท์เด้งงั้นเหรอ”

“ไม่รู้เหมือนกัน นายไปดูซิ แต่ระวังเอาไว้ด้วยละ!” ผมพูดกับเฟิงเฉ่วหาน

 

เฟิงเฉ่วหานไม่รอช้า รีบจุดเทียนและเดินไปทางคัทเอาท์ทันที

แต่เจ้านี้เดินไปได้แค่สองก้าว ทันใดนั้นในห้องก็มีเสียงหัวเราะดังขึ้น “ฮ่าฮ่าฮ่า……”

เสียงไม่ดังมาก แต่มันแปลกมาก

ผมสองคนเครียดอยู่แล้ว วินาทีนั้นเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะที่แปลกประหลาดนี้ “พรึบ” สีหน้าของพวกเราจึงเปลี่ยนไปทันที

ไม่รอให้พวกเราตอบโต้ใดๆ สายลมที่เย็นเข้ากระดูก ก็พัดเข้ามาในห้องทันที

“ฮึฮึฮึ!”

เทียนที่อยู่ด้านหน้าของพวกเรา สั่นไหวสองครั้ง จากนั้นก็ดับลงในทันที

 

แต่นี้ไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุด เพราะสิ่งที่สำคัญที่สุดคือธูปสามดอกที่อยู่บนโต๊ะบูชา

“บึก” ตรงกลางของมันหักลงมาทันที

ธูปในห้องจัดงานศพหัก ลูกปัดขาดกระจัดกระจาย มันก็หมายความว่าภัยร้ายที่ใหญ่หลวงกำลังเข้ามาหาแล้ว

เมื่อเห็นสิ่งนี้ ตัวผมก็สั่นทันที

แอบตะโกนในใจว่าแย่แล้ว นี่จะต้องไม่ใช่คัทเอาท์ไฟแน่ แต่เป็นเพราะมีสิ่งชั่วร้ายเข้ามาในห้องนี้

เมื่อคิดถึงจุดนี้ ผมก็พูดออกมาเบาๆ “เฟิงเฉ่วหาน วิญญาณของคุณหนูเหวินต้องกลับมาแน่!”

ส่วนฝั่งของเฟิงเฉ่วหานกลับแสดงสีหน้ากังวล “มืดขนาดนี้ รีบเปิดตาเร็ว!”

 

ขณะที่พูด เฟิงเฉ่วหานก็หยิบขวดน้ำตาพิเศษของวัวออกมาเรียบร้อย เขาป้ายที่เปลือกตาเพื่อลดไฟหยางลงทันที

ผมเองก็ไม่พูดมาก รีบหยิบขวดมา และป้ายไปที่เปลือกตาทันที

วินาทีนั้นผมรู้สึกเย็นๆที่เปลือกตา หลังจากกระพริบตา 2-3 ครั้ง ห้องโถงที่มืดมิดก็กลับมาสว่างอีกครั้ง

เมื่อหันไปมองเฟิงเฉ่วหาน ผมก็พบว่าเขาเองก็ได้เปิดตาเรียบร้อยแล้ว

เหมือนกับผม เขาเองก็หันไปมองรอบๆด้วยสีหน้าที่เคร่งเครียด

“ติงฝาน ในห้องมีพลังหยินแรงมาก นายเห็นเธอไหม” เฟิงเฉ่วหานรีบพูด

 

แต่เมื่อผมหันไปมองรอบๆ ก็ยังไม่เห็นใครสักคน “ยังเลย!”

แต่เสียงของผมพึ่งจบลง ทันใดนั้นผมก็รู้สึกเย็นเข้ากระดูกจากมือ จนมาถึงบนไหล่ของผม

ในเวลาเดียวกัน ผมยังรู้สึกอ่อนแอ แต่เสียงผู้หญิงที่แหบแห้ง ก็ดังขึ้นด้านหลังของผมและเฟิงเฉ่วหาน “พี่ชายสุดหล่อทั้งสอง กำลังหาฉันอยู่เหรอ”

เมื่อได้ยินเสียงนี้ ในหัวของผมและเฟิงเฉ่วหานก็มีเสียงระเบิดดัง “เวิ้ง”

วินาทีนั้น ผมรู้สึกเย็นวาบไปที่หลัง ราวกับมีก้อนน้ำแข็งติดอยู่อย่างนั้น

และเมื่อผมเหลือบไปมอง บนไหล่ของผม กำลังมีนิ้วเรียบขาว ที่ไร้ซึ่งสีเลือด และเล็บที่แหลมคมกำลังจับอยู่

 

นี่มันมือคนที่ไหนกันละ มันเป็นเล็บของคนตายชัดๆ

วินาทีนั้น ผมและเฟิงเฉ่วหานไม่กล้าหันไปมองเลยสักนิด

แม้ว่าพวกเราจะทำงานสายนี้ แต่มันก็ต้องมีข้อห้ามบ้างละ

ถ้าตอนกลางคืนโดนผีจับไหล่ คนๆนั้นจะต้องห้ามหันกลับไปมองเด็ดขาด

หรือพูดได้ว่า ถ้าตอนกลางคืนมีคนจับไหล่ ห้ามหันไปมองง่ายๆเชียว

ถ้าเป็นผีร้าย แล้วคุณหันกลับไป เผยลำคอขาวสวยให้เห็น

แบบนั้นอีกฝ่ายจะเข้ามากัดคอคุณทันที และเมื่อถึงตอนนั้นคุณจะตายยังไงก็ยังไม่มีทางรู้เลยนะ

 

ใจของผมกำลังเต้น “ตึกตึกตึก” อย่างต่อเนื่อง และยังเร็วขึ้นเรื่อยๆ แถมขนลุกไปทั้งตัว……

แต่คงทำแบบนี้ไปตลอดไม่ได้ ยังไงก็ต้องพูดอะไรสักหน่อย

ในขณะเดียวกัน ดวงตาของผมก็มองอย่างอัตโนมัติ ทันใดนั้นผมก็พบว่าเฟิงเฉ่วหานที่อยู่ข้างๆได้ดึงยันต์เหลืองครึ่งหนึ่งออกมาจากกระเป๋าแล้ว

เวรแล้ว เห็นได้ชัดว่าเจ้าเด็กนี้คิดจะลงมือ

แต่ตอนนี้พวกเราตกอยู่ในเงื้อมมือของเธอ ถ้าลงมือทั้งๆแบบนี้ จะต้องถูกกัดตายก่อนแน่

ดังนั้น ต้องดึงดูดความสนใจจากผีสาวซะก่อน

 

ดังนั้น ผมจึงดึงความกล้าออกมา แล้วใช้น้ำเสียงที่หวาดกลัวพูดกับเธอ “เอ่อ เอ่อคุณคือคุณหนูเหวินใช่ไหมครับ”

“ฮ่าฮ่าฮ่า! ใช่ฉันเอง!” เธอพูดด้วยเสียงแหบแห้ง

“ไม่รู้ ไม่รู้ว่าคืนนี้คุณมาหาพวกเรา มาหาพวกเราด้วยเรื่องอะไรเหรอครับ ถ้าไม่มีเรื่องอะไร รบกวนคุณช่วยปล่อยมือด้วยครับ” ผมพูดอย่างต่อเนื่อง ด้วยความกลัวสุดๆ

“ฮ่าฮ่าฮ่า ง่ายมาก เมื่อคืนพวกแกสองคนเตะตัวฉัน คืนนี้ฉันมาเพื่อ ฆ่าพวกแกยังไงละ! ง่ายใช่ไหมละ……” เธอหัวเราะเสียงแหบห้าว เห็นได้ชัดว่าเธอสงบมาก

แต่หลังจากที่ผมได้ยินคำพูดนี้ กลับรู้สึกกลัวจนหวาดระแวง

 

ไม่เพียงเท่านี้ ผมยังพบว่าหัวของคุณหนูเหวินยังอยู่ระหว่างกลางของผมสองคน

ผมยาวดำขลับนั่น กำลังพาดอยู่บนคอของผม ตอนนี้ผมเห็นแม้กระทั่งใบหน้าที่ขาวซีดไร้สีเลือด และยังมีลิ้นที่ค่อยๆยื่นออกมา เลียริมฝีปากสีแดงสดของเธอ

แม้จะเคยมีประสบการณ์ผีมาเอาชีวิตไปแล้ว แต่ตอนนี้ภาพที่เห็นมันน่ากลัวกว่าเดิมอีกนะ

ถ้าคนทั่วไปมาเจอฉากนี้เข้า คงกลัวจนเสียสติไปนานแล้ว

ผีสาวพ่นลมหายใจออกมา เห็นได้ชัดว่าเธอกำลังเล่นเกมกับผมและเฟิงเฉ่วหาน เหมือนกับแมวไล่จับหนูยังไงอย่างนั้น

 

ไม่อย่างนั้นก็คงไม่เปลืองแรง เข้ามาอยู่ด้านหลังของพวกเรา แล้วมาจับไหล่ของพวกเราเอาไว้ และยังพูดจาไร้สาระมากมายขนาดนั้น

เห็นได้ชัดว่า การเล่นเกมแมวจับหนูกำลังทำให้เธอมีความสุข

และเวลานี้หัวของเธอยังมาอยู่ตรงกลางระหว่างพวกเราสองคน เห็นได้ชัดว่าการโจมตีครั้งต่อไปจะเป็นตัวป้องกันสุดท้ายที่พวกเรามีอยู่

ถ้าคนธรรมดาสามารถยืนหยัดมาได้ถึงจุดนี้ คงไม่มีความคิดใดๆเหลืออยู่อีกแล้ว นอกจากยืนรอความตายเท่านั้น

แต่สำหรับผมและเฟิงเฉ่วหานต่างออกไป ไม่ว่าจะพูดยังไงพวกเราก็คือคนปราบสิ่งชั่วร้าย คืนนี้จะมาถูกฆ่าตายง่ายๆไม่ได้

 

เมื่อคิดถึงจุดนี้ ผมก็คิดว่าจะลงมือก่อน

แกล้งทำเป็นตัวเองกลัวมาก สั่นไปทั้งตัว จากนั้นก็พูดกับผีสาวว่า “คุณ คุณหนูเหวิน คุณ คุณกินเขาก่อนได้ไหม! เขา เขาเนื้อหอมมากนะครับ!”

ผมพูดด้วยเสียงสั่นเทา เมื่อเฟิงเฉ่วหานได้ยินประโยคนี้ ก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วออกมา แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร

ส่วนผีสาวกลับหัวเราะ และทำหน้าดูถูก “ฮ่าฮ่าฮ่า งั้นเหรอ!”

ขณะที่พูด เธอก็หันไปช้าๆ มองไปทางเฟิงเฉ่วหานที่อยู่อีกด้านหนึ่ง

ดวงตาผมมองอย่างอัตโนมัติ จ้องไปที่หัวของผีสาวทันที

 

ขณะที่เธอกำลังคิดว่าทุกอย่างอยู่ในกำมือ วินาทีที่เธอหันไป ผมก็รู้ว่าโอกาสมาถึงแล้ว

ผมกำหมัดขึ้น และต่อยแบ็คแฮนด์ไปที่หัวของผีสาวอย่างแรง ในปากยังตะโกนออกมา “ตายซะ!”

เมื่อจู่ๆผมก็เคลื่อนไหว จึงทำให้ผีสาวตกใจ

เรื่องเกิดขึ้นอย่างกระทันหัน ดังนั้นผีสาวจึงยังไม่ได้หันกลับมาอย่างสมบูรณ์ หมัดของผมก็ต่อยเข้าที่หัวของผีสาวแล้ว

จากนั้นเสียง “โอ๊ย” ก็ดังขึ้น ผีสาวตนนั้นถูกผมต่อยจนถอยหลังไปสองก้าว

ตอนแรกเฟิงเฉ่วหานคิดว่าผมกำลังทำตัวน่าสังเวช แต่คิดไม่ถึงว่าผมจะใช้วิธีนี้ดึงดูดความสนใจจากผี จากนั้นก็ลงมือทันที

 

คนที่เคยเดินทางไปทั่วอย่างเขา จึงไม่ปล่อยให้โอกาสดีๆแบบนี้ผ่านไป

“พรึบ” มือขวาของเขาหยิบยันต์เหลืองออกมาหนึ่งแผ่น จากนั้นก็แปะเข้าที่ตัวผีสาวทันที

หลังจากนั้นก็ตะโกนออกมา “ยัยชั่ว เจอยันต์นี่ซะ !”

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset