ศพ – ตอนที่ 37 ไล่ตามวิญญาณ

เมื่อผมเห็นอาจารย์หยิบเข็มทิศออกมา ก็เผยท่าทางสงสัย

“อาจารย์ เข็มทิศของอาจารย์เอาไว้ดูฮวงจุ้ยมันก็โอเคอยู่นะครับ แต่เจ้านี้จะใช้ไล่ตามยัยผีนั้นได้เหรอครับ”

เพราะในตอนนั้น ความรู้ของผม ยังมีแค่เรื่องฮวงจุ้ยเท่านั้น นอกจากดูฮวงจุ้ยวางตำแหน่งหมู่ดาวแล้ว ผมก็ไม่สามารถทำอะไรได้อีก

เมื่ออาจารย์ได้ยินผมพูดแบบนั้น เขาก็ยิ้มออกมาเล็กน้อย “คืนนี้อาจารย์จะสอนศาสตร์ 24 ทิศไล่ล่าวิญญาณ!”

ตอนที่อาจารย์พูด เขาเหมือนกับวีรบุรุษคนหนึ่ง ที่เชื่อมั่นในตัวเองสูงมาก

“ศาสตร์ 24 ทิศไล่ล่าวิญญาณ” นี่เป็นชื่อที่ผมเคยได้ยินเป็นครั้งแรก ตอนนั้นผมจึงตกตะลึงไปในทันที

 

แม้ไม่รู้ว่าอาจารย์จะทำยังไง แต่ตอนนี้แค่ได้ยินชื่อ ผมก็รู้สึกว่ามันเจ๋งมากแล้ว

ผมพูดออกมาอย่างไม่รู้สึกตัวว่า “ยี่ ยี่สิบสี่ทิศไล่ ไล่ล่าวิญญาณ”

“ถูกต้อง! ศาสตร์ 24 ทิศไล่ล่าวิญญาณ ยัยผีนั้นถูกฝ่ามือยันต์ของฉันเข้าไป ถึงตอนนี้เธอคิดจะหนีก็หนีไม่พ้นหรอก!” หลังจากพูดจบ อาจารย์ก็ถือเข็มทิศไว้ในมือข้างเดียว จากนั้นก็ยื่นมือออกมา

ใบหน้าของเขามืดมนลงเล็กน้อย จากนั้นก็พูด “กาน เจิ้น ข่าน คุน ฉวี๊น หลี ตุย วิชา 24 ทิศไล่ล่าวิญญาณ เริ่มได้!”

เสียงของอาจารย์พึ่งจางหาย เขาก็ใช้นิ้วชี้ไปที่เข็มทิศ

ทันใดนั้น ฉากประหลาดๆก็เกิดขึ้น

 

เข็มทิศที่ไม่ขยับ ในวินาทีนั้นมันกลับหมุนทวนอย่างบ้าคลั่ง

หลังจากผ่านไปไม่กี่วิ เข็มทิศก็ได้หยุดลง

เมื่ออาจารย์เห็นสิ่งนี้ เขาก็พูดขึ้นมาอีกครั้ง “ตามฉันมา!”

หลังจากพูดจบ อาจารย์ก็เดินออกไปจากห้องโถง

ผม นักพรตตู๋ เฟิงเฉ่วหานสามคนไม่กล้าชักช้าลีลา รีบตามเขาออกไปทันที

อาจารย์ถือเข็มทิศเอาไว้ หาทิศทางที่แน่นอนอย่างต่อเนื่อง จากนั้นก็เดินไปด้านหน้าทันที

 

พวกเราเดินมาทางทิศตะวันตก ไล่ตามมาออกมาจากหมู่บ้านเล็กๆ

เพราะพื้นที่ของวิลล่าอยู่ในเขตชานเมือง ดังนั้นหลังจากผ่านไปครึ่งชั่วโมง พวกเราก็เข้าสู่พื้นที่ป่าขนาดเล็ก

แต่อาจารย์ยังไม่หยุดเดิน เขายังคงมุ่งหน้าต่อไป

ระหว่างทาง อาจารย์พูดเรื่องศาสตร์ไล่ล่าวิญญาณให้ผมฟังเพียงไม่กี่ประโยค

สำหรับวิชานี้ ก็มีเพียงพื้นฐานเดียวเท่านั้นที่ต้องทำความเข้าใจ

อาจารย์บอกว่าศาสตร์ไล่ล่าวิญญาณ ต้องใช้ประสานกับยันต์ฝ่ามือ ตำแหน่งของเข็มทิศ ตำแหน่งปากัว มุมของทิศทั้ง 24 ด้าน ต้องนำทั้งสี่อย่างนี้รวมเข้าด้วยกัน จากนั้นก็จะสามารถไล่ตามได้แล้ว

ที่จริงแล้วมันก็คล้ายกับ GPS ในมือถือ แค่ยุ่งยากกว่า และยังต้องใช้วิชาในลัทธิเต๋าเข้าช่วยด้วย

 

ในนั้นยังมีรายละเอียดอีกมาก แต่ตอนนี้เขาไม่สะดวกที่จะพูด

แต่หลังจากที่พวกเราไล่ตามมาจนถึงในป่า กลับรู้สึกว่าในป่ามีพลังหยินแรงมาก  ยิ่งเดินไปข้างหน้าก็ยิ่งรู้สึกได้ถึงพลังหยินของที่นี่

ภายใต้แสงของท้องฟ้า พวกเราสามารถมองเห็นหมอกสีขาวๆที่รายล้อมอยู่รอบตัว

มันเป็นเพราะพลังหยินแรงมาก จึงควบแน่นจนกลายเป็นสิ่งนี้

อาจารย์ยังคงก้มหน้ามองเข็มทิศอย่างต่อเนื่อง ไม่เปลี่ยนเส้นทาง แต่แล้วเขาก็เดินกลับไปกลับมาอยู่สองสามครั้ง

เมื่อนักพรตตู๋เห็นแบบนั้น เขาก็ถามอาจารย์ว่า “ท่านนักพรตติง มีปัญหาอะไรรึป่าว”

 

อาจารย์ขมวดคิ้ว “ยัยผีนั้นต้องรู้แน่ว่าพวกเรากำลังตามอยู่ ดังเธอเลยเปลี่ยนทิศทาง คงอยากจะสลัดพวกเราให้หลุด!”

“อ่อ! งั้นพวกเรารีบเดินกันเถอะ คืนนี้จะให้เธอหนีไปไม่ได้!” นักพรตตู๋พูดต่อ

อาจารย์พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นก็เดินตรงไปข้างหน้า

ผ่านไปประมาณ 5 นาที พวกเราก็เดินออกมาจากป่า มาถึงเนินเขารกร้างลูกหนึ่ง

เมื่อมองขึ้นไป กลับพบว่าเนินเขาลูกนี้ถูกปกคลุมไปด้วยความมืดมินไร้ซึ่งแสงจันทร์

 

จากนั้นอาจารย์ก็หันกลับมามองเข็มทิศอีกครั้ง อยากมองตำแหน่งให้แน่ใจอีกครั้ง

แต่ทันใดนั้นเอง เข็มของเข็มทิศกลับเป็นอะไรไม่รู้ จู่ๆมันก็เริ่มหมุนไปรอบๆ

“อาจารย์ นี่ นี่มันเกิดอะไรขึ้นครับ”

อาจารย์แสดงสีหน้าเคร่งขรึม “ยันต์ฝ่ามือนั้นถูกคนทำลายแล้ว!”

“ทำลายแล้ว งั้นเบาะแสของเราก็หายไปซิครับ!” เฟิงเฉ่วหานเริ่มพูดบ้าง เขาเองก็รู้สึกไม่ค่อยสบายใจ

พวกเราตามกันมานานขนาดนี้ ตอนนี้เบาะแสกลับถูกตัดไปดื้อๆ แล้วแบบนี้พวกเราจะทำยังไงดีละ

แต่อาจารย์กลับพูดว่า “ไม่ต้องใจร้อน พลังหยินของภูเขาลูกนี้แรงมาก ยัยผีนั้นจะต้องอยู่บนยอดเขาแห่งนี้แน่!”

 

“อือ! งั้นพวกเราขึ้นไปกันเถอะ จะต้องเจอเบาะแสแน่!” นักพรตตู๋พูด

ตอนนี้ พวกเราทำได้เพียงเท่านี้

ในเวลานี้ พวกเราทั้งสี่คนจึงเริ่มเดินขึ้นเขา

เนินเขาลูกนี้ไม่ใหญ่มาก เมื่อบวกกับพลังอันชั่วร้ายของผีสาวที่แรงมาก

ทุกคนจึงตัดสินใจใช้ระดับพลังอันชั่วร้ายนี้ ในการตัดสินทิศทาง

พวกเราขึ้นเขามาได้ประมาณ 20 นาทีกว่าๆ จู่ๆนักพรตตู๋และอาจารย์ที่เป็นคนนำอยู่ด้านหน้าก็หยุดเดิน พวกเขาเอื้อมมือมาจับแขนของพวกเราไว้

ในเวลาเดียวกัน ผมก็เห็นอาจารย์หันมา “ชู่! ข้างหน้ามีการเคลื่อนไหว!”

 

ขณะที่พูด อาจารย์และนักพรตตู๋ก็เดินเข้าไปอย่างช้าๆ ทำท่าเหมือนขโมย เดินไปข้างหน้าอย่างระแวดระวัง

ผมและเฟิงเฉ่วหานเองก็เดินตามไปข้างหลัง ไม่กล้าทำเสียงดัง ทุกก้าวที่เดิน จะลงน้ำหนักเท้าให้น้อยที่สุด

ผ่านไปแค่แป๊บเดียว อาจารย์และนักพรตตู๋ก็ค่อยๆแหวกพุ่มหญ้ารกทึบที่อยู่ข้างหน้าออกมาทีละน้อย

วินาทีที่พุ่มหญ้าถูกแหวกออก ทันใดนั้นตรงหน้าของพวกเรา ก็มีคนสองคนปรากฎตัวขึ้น

ผมก็ไม่แน่ใจ พวกเขาน่าจะเป็นชายหนึ่งหญิงหนึ่ง หรือผีสองตน

ผู้หญิงนั้นไม่ใช่ใครอื่นเธอก็คือผีที่พวกเรากำลังไล่ตามอยู่ คุณหนูเหวินนั้นเอง

 

ส่วนผู้ชายอีกคน กลับเป็นคนที่ไม่เคยเจอกันมาก่อน

แต่สิ่งที่น่าแปลกกว่านั้นก็คือ ตอนนี้คุณหนูเหวินกำลังยืนอยู่ด้านหน้าของผีผู้ชาย ร่างกายสั่นเทา เห็นได้ชัดว่าเธอกำลังกลัวสุดๆ

เมื่อเห็นสิ่งนี้ พวกเราก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว

หรือว่าผีผู้ชายที่อยู่ตรงหน้า ก็คือคนที่อยู่เบื้องหลังอย่างงั้นเหรอ

แต่ผมว่ามันไม่ถูกนะ! เพราะถ้าเป็นแบบนั้นจริงแล้วตะปูทุกข์ระทมที่อยู่ตรงหัวของคุณหนูเหวินจะอธิบายว่ายังไงละ เห็นได้ชัดว่ามันไม่ใช่สิ่งที่ผีจะสามารถทำได้

 

พวกเราไม่พูดอะไร แต่กลับซ่อนตัวอยู่ด้านหลังพุ่มไม้ คอยจับตาดูพวกเขา

ทันใดนั้น พวกเราก็ได้ยินคุณหนูเหวินพูดกับผีผู้ชายที่มีหน้าตาดุร้ายว่า “พรุ่ง พรุ่งนี้ฉันจะระวังให้มากกว่านี้ จะไม่ทำให้เจ้านายต้องผิดหวังคะ!”

คุณหนูเหวินพูดด้วยน้ำเสียงที่หวาดกลัว ดูเหมือนเธอจะกลัวผีผู้ชายมาก

“แกมันไม่ได้เรื่อง! บอกให้แกไปฆ่าคนทำไมมันถึงยากเย็นขนาดนี้ฮะ ทั้งที่ยังไม่ได้โดนสะกดแท้ๆ” หลังจากพูดจบ เขาก็เตะเข้าที่ใบหน้าของคุณหนูเหวิน

คุณหนูเหวินกรีดร้องออกมา เธอล้มลงไปกับพื้นทันที

 

แต่ผีผู้ชายยังไม่ยอมปล่อยเธอไป เขาใช้เท้าเหยียบที่หน้าของเธอเอาไว้ “ถ้าไม่ใช่เพราะแกสวย ฉันกินแกเพื่อเพิ่มพลังไปนานแล้ว!”

แต่คุณหนูเหวินกลับไม่ปัดป้องผีตนนั้น เธอตัวสั่นไปหมด

ไอ้ผีชั่วนี้สมควรตายจริงๆ คิดไม่ถึงว่าจะยังมีวิญญาณที่ชั่วร้ายกว่าคุณหนูเหวินอยู่

และคำพูดของผีผู้ชายตนนี้ ยังตรงกับสิ่งที่อาจารย์และนักพรตตู๋เดาไว้ด้วย

เบื้องหลังการตายที่ไม่คาดฝันของคุณหนูเหวิน ยังมีเงื่อนงำอยู่จริงๆ

หลังจากผีผู้ชายใช้เท้าเหยียบคุณหนูสองครั้ง เขาก็ค่อยเอาเท้ากลับมา “ลุกขึ้นมา ช่วงนี้ข้าอารมณ์ไม่ค่อยดี มาเป็นตัวระบายความโกรธให้ข้าทีซิ!”

 

ขณะที่พูด สีหน้าของผีผู้ชายก็เปลี่ยนไปทันที เขาเผยสีหน้าที่ชั่วร้ายออกมา

แต่คุณหนูเหวินกลับแสดงสีหน้าที่หวาดกลัว เธอถอยหลังอย่างต่อเนื่อง “เจ้า เจ้านาย ขอร้อง ขอร้องอย่า……”

“อย่างั้นเหรอ แกกล้าพูดว่าอย่ากับฉันงั้นเหรอ ฮึ! กล้านักนะนางนี้……” ขณะที่พูด ผีผู้ชายตนนั้นก็ใช้กำลังทันที

ผมทนดูต่อไปไม่ไหว ขณะที่ผมจะพูดออกมา

แต่ไม่รอให้ผมได้ลงมือ “ซ่าซ่า” อาจารย์และนักพรตตู๋ก็กระโดดออกไปทันที

อาจารย์ยกดาบไม้ขึ้น และตะโกนว่า “ดูเหมือนแกจะเป็นผีชั่วที่กล้าดีนิ คืนนี้ฉันจะลงโทษแทนฟ้า ตัดหัวแกซะ!”

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset