ศพ – ตอนที่ 399 ฟื้นตัว

ตอนที่ 399 ฟื้นตัว

รายการเรื่องสยองในเมืองเป็นรายการประจําท้องถิ่นของพวกเรามันน่าสนใจมากและได้เรตติ้งสูงมากอีกด้วย

มันเองก็เป็นหนึ่งในรายการที่พูดถึงเรื่องลึกลับหลังจากนั้นก็จะเชิญ“ผู้เชียวชาญ”สองสามคนออกมาวิเคราะห์สุดท้ายก็จะมีคําอธิบายทางวิทยาศาสตร์ออกมา

สําหรับรายการประเภทนี้ผมดูเป็นครั้งคราวสนใจอยู่พอสมควรแต่ก็ไม่ถึงกับติดคิดว่าคนที่พวกเขาเรียกว่าผู้เชี่ยวชาญก็เป็นแค่คนไร้สาระเท่านั้น

แต่คิดไม่ถึงว่าเรื่องเมื่อคืน จะมาอยู่ในรายการ

วันนี้อารมณ์ดีพอสมควร อาจารย์เห็นผมตื่นแล้วเลยเรียกผมมาทานอาหารเช้าและถามเรื่องอาการบาดเจ็บกับผม

ผมบอกว่าหลังจากกินยาหลงเฉียนเข้าไปเมื่อวานร่างกายก็ดีขึ้นเยอะและยังรู้สึกมีพลังสุดๆ

อาจารย์พยักหน้ารัวๆ บอกว่าของสิ่งนี้เป็นของล่าค่า ถึงมีเงินก็หาซื้อไม่ได้

ตอนนี้ให้ผมกินไปแล้วหนึ่งเม็ดเลยบอกว่าสองสามวันนี้ให้ผมพักฟื้นร่างกายให้ดีๆในเวลาเดียวกันก็อย่าปล่อยให้ฤทธิ์ยาหลงเฉียนเสียไปเปล่าๆ

ยิ่งเป็นของล้ําค่าแบบนี้ ฤทธิ์ยาก็ยิ่งแรง

อาจารย์บอกว่า การฝึกของพวกเรา ส่วนหนึ่งคือการคลายพลังฟ้าดินขับเคลื่อนลมปราณที่จุดตานเถียน

ขยายเส้นลมปราณ เสริมพลังลมปราณของตัวเอง

อย่างที่สอง ก็คือการพัฒนาศักยภาพและกําลังของตัวเองอย่างต่อเนื่อง
การใช้ของล้ําค่าแบบนี้ ก็ถือเป็นการช่วยพัฒนาตัวเองอีกทางหนึ่งดูดซับได้เท่าไหร่ก็เท่านั้นมันต้องช่วยเราได้อย่างแน่นอน

ช่วงนี้อาจารย์บอกให้ผมอย่าเอาแต่อยู่ว่างๆมีเวลาก็ฝึกฝนตัวเองจะปล่อยให้ของล้ําค่าแบบนี้เสียเปล่าไม่ได้

สําหรับค่าพูดของอาจารย์ ผมเห็นด้วยสุดๆ

ระหว่างกินข้าว ผมก็ถามเกี่ยวกับศพสองศพที่ขนกลับมาเมื่อคืน

อาจารย์บอกให้ผมไม่ต้องห่วงอะไรแล้วทุกอย่างถูกจัดการเรียบร้อยหมดแล้ว

หลังจากจางจีเทาโดนเผาเหลือแต่เถ้าแม้แต่กระดูกชิ้นเดียวก็ไม่มีเหลือ

พอได้ยินอาจารย์พูดแบบนั้น ผมก็รู้สึกสบายใจขึ้นเยอะ

หลังเต็มท้องเต็มแล้ว ผมก็โทรไปหาเหล่าเฟิงถามเขาว่าเป็นยังไงบ้าง

เหล่าเฟิงบาดเจ็บไม่หนัก เพียงแค่มีแผลภายนอกประเด็นหลักเป็นเพราะโดนเจ้าสัตว์ประหลาดเมื่อคืนดูดพลังหยางไปดังนั้นเมื่อคืนเลยอ่อนแรงแบบนั้น

ต่อจากนี้ เขาก็แค่ออกกําลังกายให้เยอะกว่าเดิมบํารุงร่างกายดีๆ และออกไปตากแดดพลังก็จะกลับมาเหมือนเดิมแล้ว

ไม่เหมือนผม เส้นเอ็นบาดเจ็บหนักต้องพักรักษาตัว

เรื่องก็เป็นแบบนี้ หนึ่งอาทิตย์ต่อจากนี้ผมแทบไม่ได้ออกจากบ้าน กินข้าวนอนหลับฝึกเดินลมปราณวนอยู่แบบนี้

ฤทธิ์ของยาหลงเฉียนเกินกว่าที่ผมคาดเอาไว้ผลของมันแรงมาก

ไม่ว่าผมจะฝึกยังไง แม้จะเหงื่อไหลเหมือนน้ำรอบแล้วรอบเล่าแต่ตัวผมกลับเต็มไปด้วยพลัง

แทบไม่รู้สึกเหนื่อยเลยสักนิดและมันยังไม่มีผลข้างเคียงอีกด้วย

สมแล้วที่ถูกเรียกว่า“น้ำลายมังกร”สมชื่อจริงๆ

หนึ่งอาทิตย์หลังจากนั้น ร่างกายของผมก็ดีขึ้นมาก

หน้าก็ไม่เจ็บขนาดนั้นแล้วแผลภายนอกก็หายจนเกือบหมดแล้ว พละกําลังก็ดูจะฟื้นกลับมาแล้ว

หรือแม้แต่กลับมาอยู่บนพื้นฐานเดิมพลังเสถียรขึ้นไม่น้อยพลังที่จุดตานเถียนก็ดูจะหนาขึ้นยิ่งกว่าเดิม

ผมเห็นตัวเองดีขึ้นเยอะแล้วเลยคิดว่าจะไปที่ป่าก๋ยหม่า

ตอนกลับมา มู่หลงเหยียนบอกผมว่าถ้าดีขึ้นแล้วก็ให้ไปที่จวนมู่หลง

ถึงไม่รู้ว่าไปทําไมแต่ผมก็คิดว่ายังไงก็ต้องไป

อีกอย่างผมก็ไม่ได้ไปนานแล้วไม่รู้ว่าช่วงนี้มู่หลงเหยียนเป็นยังไงบ้าง

ก่อนหน้านี้ได้ยินว่าเธอเก็บตัวต่อจากนั้นก็ได้ยินว่าเธอฝึกล้มเหลว

ผ่านไปหนึ่งสัปดาห์แล้วไม่รู้ว่าเธอดีขึ้นบ้างไหมหรือเป็นยังไงบ้างแล้ว

ผมคิดแบบนั้น ในเวลาเดียวกันหลังกินข้าวเย็นเสร็จฟ้าเริ่มมืดผมก็ออกจากร้านเดินตรงไปที่ป่าก๋ยหม่า

เพิ่งหัวค่ํา ผมเลยไม่รีบร้อน เดินเรื่อยเปื่อยไปเรื่อยๆ

พอผมมาถึง ก็เป็นเวลาประมาณหนึ่งทุ่มได้

เวลากําลังพอดี ไม่ช้าหรือเร็วเกินไป

ป่ากุ่ยหม่ายังคงเหมือนเดิน น่าขนลุกไม่เปลี่ยนรอบๆเต็มไปด้วยหลุมศพ ธงไว้อาลัยเงินกะดาษและอื่นๆ

ผมชินชากับของพวกนี้แล้วเลยไม่ได้สนใจเดินของผมต่อไปเรื่อยๆ

พอผมมาถึงส่วนลึกของป่ากุยหม่าเห็นจวนมู่หลงอีกครั้งผมก็กลับพบว่ามันยังเหมือนเดิมไม่มีผิด

ถึงช่วงสองสามวันนี้จะมีหิมะตกรอบๆมีหิมะหนาเป็นสิบเมตรแต่หน้าจวนมู่หลงยังคงเป็นเหมือนเดิม

สิงโตสองตัว ทางเดินหิน ทั้งสองข้างเต็มไปด้วยดอกไม้สีขาวม่วงแดงทั้งสามสีหน้าประตูทั้งสองข้างประดับด้วยโคมไฟแดงอันใหญ่พร้อมด้วยประตูบานใหญ่และบ้านหลังโต

ผมสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วเดินตรงเข้าไปทันที

เมื่อมาถึงหน้าประตูผมก็เคาะประตู“ก๊อกๆๆ”เสียงดังก้องไปรอบๆ ผ่านไปไม่นานประตูก็เปิดออก

แต่คราวนี้คนที่มาเปิดประตูให้ผมไม่ใช่ยายโม่แต่เป็นสาวใช้คนกระดาษหน้าขาวตัวหนึ่ง

เมื่อเธอเห็นว่าเป็นผมก็รีบทํามือคารวะผมหนึ่งครั้งแล้วพูดอย่างเคารพ “คารวะนายท่าน !”

ผมรู้ว่าเธอเป็นคนกระดาษแต่ผมยังยิ้มให้ “ไม่ต้องทําขนาดนั้นก็ได้ พาฉันไปหาคุณหนูของเธอหน่อย !”

พอหุ่นกระดาษได้ยินผมพูดแบบนั้นเธอก็พูดกับผมด้วยความสุภาพ“นายท่านตอนนี้คุณหนูกําลังคุยกับแขกอยู่ที่ห้องโถงใหญ่ท่านตามบ่าวเข้ามาก่อนแล้วบ่าวจะไปรายงานให้ท่านเจ้าค่ะ

คุยกับแขก ผมเงียบไปพักหนึ่งแต่ก็ไม่คิดมาก

มู่หลงเหยียนเป็นคนทรยศที่หลบหนีออกมาจากองค์กรตาผีแถมเธอยังมีตําแหน่งสูงอีกด้วย

ตอนนี้เธอยังกําลังวางแผนโจมตีสาขาย่อยขององค์กรตาผีมีแขกก็เป็นเรื่องปกติ

ผมเองก็ไม่พูดมาก เพียงพยักหน้าจากนั้นก็ตามสาวใช้คนกระดาษเข้าไปรอในห้องรับแขกห้องหนึ่ง

หลังจากนั่งลง สาวใช้ก็รินชาให้ผมแล้วจากนั้นก็ออกไปทันที

เจ้าสิ่งนี้เป็นของจริง สามารถดื่มได้เพียงแค่ถ้วยชาที่งดงามนี้พรุ่งนี้อาจจะเปลี่ยนเป็นถ้วยชาเน่าๆพังๆแทน

แต่เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องสําคัญผมยกถ้วยชาขึ้นจิบหนึ่งคําแต่ก็ชิมไม่ออกว่ามันคือชาอะไรเพียงรู้สึกว่ามันให้ความรู้สึกที่สดชื่นมาก

เดิมที่ผมคิดว่าอีกเดี๋ยวมู่หลงเหยียนก็คงจะมาหาแต่หลังจากรอแล้วรออีกจนเห็นว่าเกือบจะห้าทุ่มแล้ว

แต่มู่หลงเหยียนก็ยังไม่มาสักที

ผมก็เริ่มหัวร้อนแล้ว จึงเดินไปเดินมาในห้อง

แต่ทันใดนั้นเอง ผมกลับได้ยินเสียงทะเลาะดังมาจากลานบ้านที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล “ข้าไม่ชอบขี้หน้าเจ้านานแล้ว !”

“เหรอ ! งั้นก็อย่าลีลาอยู่ซิ !”

“คุณชายทั้งสอง มีอะไรพูดกันดีๆ !”

“ใช่ใช่ใช่ ศัตรูมาจ่ออยู่หน้าบ้าน เราต้องสามัคคีกันซิ !”

จู่ๆก็ได้ยินเสียงทะเลาะ ผมเลยเงี่ยหูฟังทันที ในเวลาเดียวกันก็รู้สึกอยากรู้อยากเห็นขึ้นมา

ผมเองก็ว่างอยู่ เลยตัดสินใจเดินออกจากห้อง ตามหาต้นเสียงพวกนั้นทันที

ผมพบว่าสถานที่ทะเลาะก็คือห้องโถงหลัก ห้องที่มู่หลงเหยียนใช้ประชุมกันนั่นเอง

ผมมาถึงที่ประตูด้านข้าง ยืนแอบดูอยู่ที่มุมหนึ่ง

เห็นเพียงพื้นที่โล่งๆในห้องโถง ตอนนี้กําลังมีใครหลายคนยืนอยู่ในนั้น

แต่ถ้าลองมองดีๆจะพบว่า คนพวกนี้ แต่ละคนไม่ใช่มนุษย์เลยสักคน พวกเขาทั้งหมดเป็นคนตาย

หนึ่งในนั้น ผมเห็นมู่หลงเหยียนตั้งแต่วินาทีแรก

นอกจากน้องศพจะชอบระเบิดอารมณ์ใส่ผม ภายนอกยังเป็นคนสวย ท่าทางและคําพูดต่างดูมีออร่า

แต่ตอนนี้เธอกําลังพูดอะไร เพราะอยู่ไกลมาก ผมเลยไม่ค่อยได้ยิน

แต่ดูจากท่าทางแล้ว พวกเขาน่าจะก่าลังทะเลาะกันอยู่

ผมสังเกตอยู่พักหนึ่ง พบว่าพวกเขากําลังทะเลาะกันอยู่จริงๆ คนที่ทะเลาะน่าจะเป็นผีหนุ่มสองคน

มีตนหนึ่งที่ผมรู้จัก เขาก็คือเย่เฟิง “หนึ่งในขุนศึกทั้งห้า” อะไรนั้น

หรือก็คือคนที่คิดจะตีท้ายครัวบ้านผม ครั้งก่อนก็เอาคําพูดเหลวไหลไปกลอกหูน้องศพบอกว่าผมกับ

ฉียเจ๋งจึงมีความสัมพันธ์บางอย่าง พากันหอบผ้าเข้าไปในพุ่มไม้

ถ้าไม่ได้เป็นเพราะผมมีพลังไม่พอ ผมคงคิดบัญชีกับเจ้าหมอนี่ไปนานแล้ว

วันนี้เจ้าหมอนี่ยังคงทําท่าหยิ่งยโส ทําตัวเหนือกว่าคนอื่นเหมือนเดิม

ส่วนผีที่เขามีเรื่องด้วย ก็เป็นผู้ที่ยังดูหนุ่มอยู่

ภายนอกผีตนนี้ดูหล่อและเท่มาก ท่าทางดูยิ่งใหญ่เหมือนกัน

ทั้งสองคนต่างทําหน้าไม่สบอารมณ์ ตอนนี้กําลังโดนผีหลายตัวห้ามเอาไว้

สถานการณ์ตึงเครียด เหมือนจะปะทะกันได้ตลอดเวลา

เพราะผมอยากรู้จริงๆว่าเกิดอะไรขึ้น เลยไม่สนอะไรมาก เดินเข้าไปใกล้กว่านี้ทันที……

ศพ

ศพ

อ่านนิยายเรื่องศพ
Status: Ongoing
โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset