ศพ – ตอนที่ 400 ต้นกําเนิดของขุนศึก

ตอนที่ 400 ต้นกําเนิดของขุนศึก

ภายใต้ความอยากรู้อยากเห็น ผมค่อยๆเข้าไปใกล้พวกเขา สุดท้ายก็ซ่อนตัวอยู่หลังภูเขาปลอม

ในที่สุด ผมก็ยินว่าพวกเขาคุยอะไรกัน

จ่ๆผมก็เห็นคนที่ทะเลาะกับเจ้าเย่เฟิงชี้หน้าเขา “ไอ้ขุนศึกชาติหมา อย่าเห็นมันเป็นเรื่องเล่นๆ เชียว เย่เฟิงอย่าคิดว่าตัวเองมีชื่อเสียงหน่อยแล้วจะทําตัวโอหังต่อหน้าแม่นางมู่หลงได้นะ รู้เอาไว้ซะ ที่นี่มีแค่แม่นางมู่หลงที่ใหญ่ที่สุด เชื่อไหมฮะข้าจะทําให้เจ้าวิญญาณแตกสลายเดี๋ยวนี้นี่แหละ

ชายหนุ่มคนนี้ดูโมโหผิดปกติ ในมือยังมีดาบยาวอีกหนึ่งเล่ม

ถ้าไม่มีคนข้างๆคอยห้ามเอาไว้ เขาคงพุ่งเข้าไปแทงเจ้าเย่เฟิงแล้ว

แต่เจ้าเย่เฟิงนั้นกลับทําหน้าไม่สบอารมณ์ แล้วสะบัดแขนเสื้อใหญ่ๆหนึ่งครั้ง “คุณชายหลี่ซู่แม่นางมู่หลงย่อมเป็นใหญ่ในที่นี้อยู่แล้ว แต่ค่าพูดอื่นอย่าได้พูดจาเหลวไหวเชียว พลังระดับเจ้ายังกล้าพูดจาโอหังได้อีกเหรอฮะ ?”

พอพูดถึงประโยคสุดท้าย น้ำเสียงของเย่เฟิงก็เปลี่ยนเป็นทุ่มต่ขึ้นไม่น้อย

“โอหังงั้นเหรอ ? แกไม่ลองเข้ามาดู แล้วจะรู้ได้ยังไงฮะ ?” พี่หนุ่มที่โดนเรียกว่าหลี่ซ่พูดต่อ

“! เจ้าคิดว่าข้าไม่กล้าหรือไง ?” เย่เฟิงพูด

หลังจากพูดจบทั้งสองตนก็ระเบิดพลังหยินอันมหาศาลออกมา แล้วคิดจะเข้าไปสู่กันทันที ผลลัพธ์เขากลับโดนผีตนข้างๆหยุดเอาไว้

ในเวลาเดียวกัน ผมก็ได้ยินผีวัยกลางคนที่อยู่ข้างๆพูดว่า “คุณชายทั้งสองโปรดระงับโทสะด้วย ในเมื่อมาถึงที่นี่แล้ว พวกเราก็ควรช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ไม่ใช่มาสู้กันเอง !”

“เรื่องนี้ข้ารู้อยู่แล้ว เพียงแค่เจ้าเย่เฟิงมันจองหองเกินไป คิดว่าตัวเองไม่มีใครสู้ได้แล้วหรือยังไง ?” หลี่ซู่พูดต่อ

“ฮึ! อย่างน้อยข้าก็ชนะเจ้า” เย่เฟิงพูดอย่างโอหัง

หลังจากแอบฟังอยู่ข้างนอกพักหนึ่ง ผมก็เริ่มเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น

ผีสองตนนี้ น่าจะมีแค้นกันมาตั้งนานแล้ว ดังนั้นพอเห็นอีกฝ่ายก็จะรู้สึกว่ามันดูขัดหูขัดตาไปหมด

ดูเหมือนจะเป็นเพราะคืนนี้เจ้าเย่เฟิงมาสาย เลยถูกเจ้าคนชื่อหลี่ซู่เยาะเย้ยไปสองสามประโยค

ผลลัพธ์เฮ่เฟิงก็เลยเริ่มอารมณ์เสีย หลังจากนั้นก็ทําสงครามน้ำลายกัน

สุดท้ายก็กลายเป็นสภาพนี้ ชักดาบออกมา จะสู้กับอีกฝ่ายให้ได้

น่าจะเป็นแบบนี้ ส่วนรายละเอียดในนั้นผมยังไม่รู้เหมือนกัน

แต่ในเวลานี้ผมรู้สึกมีความสุขกับสงครามน้ำลายของทั้งสองคน คนทะเลาะกันผมเห็นมาเยอะ

แต่ผีทะเลาะกัน แถมยังเป็นการทะเลาะกันที่รุนแรงขนาดนี้ ผมเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก และหนึ่งในนั้นยังเป็นเจ้าเย่เฟิงผู้ที่คิดจะตีท้ายครัวบ้านผมอีกด้วย

ขณะที่ผมกําลังแอบมองอย่างมีความสุข จู่ๆไหล่ผมก็โดนสะกิด

ผมยืนอยู่หลังภูเขาปลอม ตาอีกฝ่ายตาไม่กระพริบ จู่ๆตอนนี้ก็โดนสะกิดที่ไหล่ ผมเลยตกใจรีบหันกลับไปมองทันที “ใคร !”

แต่เสียงเพิ่งเงียบลง ท่าทางจกใจของผมก็เปลี่ยนเป็นดีใจขึ้นมาเล็กน้อย

เพราะผมพบว่าคนที่สะกิดไหล่ผมคือมู่หลงเหยียน เธอออกมาจากกลุ่มผี แล้วมาอยู่ด้านหลัง ผมตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้

“น้องศพ !” ผมพูดด้วยความดีใจ

มู่หลงเหยียนกลอกตาให้ผม “นอกจากฉันแล้วจะยังเป็นใครได้อีกละยะ นายก็ใช้ได้เลยนะ ให้รออยู่เรือนข้างๆ นายก็แอบวิ่งมาที่นี่ซะได้”

พอได้ยินมู่หลงเหยียนพูดแบบนั้น ผมก็เริ่มเป็นเลย ขณะเดียวกันก็หัวเราะ “แฮะๆ” “ เอ่อ เอ่อ ก็ไม่ได้เป็นเพราะเห็นเธอไม่มาซะทีเหรอ ? แถมยังได้ยินเสียงทะเลาะกันแบบนั้น ฉันถึงได้ออกมาดูหน่อยไง !

แต่สองตนนี้ก็เก่งใช้ได้เลยนะ เถียงกันมาตั้งครึ่งชั่วโมงแล้ว ”

พอมู่หลงเหยียนได้ยินผมพูดแบบนั้น เธอก็กลั้นหัวเราะเอาไว้ไม่อยู่ “ฮะ”

แต่ผ่านไปแค่แป๊บเดียวเธอก็หุบยิ้ม “พูดจาเหลวไหล ไปตามฉันมา….”

“ไม่ไหน ไม่สนใจพวกเขาแล้วเหรอ ?” ผมถามอย่างเบื่อหน่าย

“บอกให้ตามมาก็ตามมาเถอะน่า จะพูดมากทําไม ? หรืออยากโดนอัดอีกละฮะ ?” มู่หลงเหยียนกดเสียงลงต่ำ ขู่ผมตรงๆ

ผมรู้สึกเย็นวาบ ไม่กล้าอวดดี รีบพยักหน้าแล้วบอกว่าได้ทันที

ผ่านไปไม่นาน มู่หลงเหยียนก็พาผมออกมาจากห้องโถงหลัก ไปถึงเรือนหลังเล็กที่เธอพักอยู่

เพิ่งมาถึงที่นี่ มู่หลงเหยียนก็ดูเหมือนจะผ่อนคลายขึ้นเยอะ หรือแม้แต่ยกมือยื่นเส้นยืดสาย “เฮ้อ ! ในที่สุดก็ได้พักสักที……

พอได้ยินมู่หลงเหยียนพูดแบบนั้น ผมก็รู้สึกสงสัยสุดๆ “น้องศพ เกิดอะไรขึ้นกันแน่เหรอ ? พวกเธอไม่ได้กําลังปรึกษากันเรื่องไปโจมตีองค์กรตาผีเหรอ ? เจ้าเยู่เฟิงกับผู้ที่ชื่อหลี่ซู่นั่น เคยมีความแค้นกันมาก่อนเหรอ ?”

มู่หลงเหยียนไม่ค่อยเก็บมาใส่ใจเท่าไหร่ เธอพูดออกมาอย่างสบายๆ “อ๋อ ! เรากําลังคุยเรื่องสู้กับองค์กรตาผีนั่นแหละ ส่วนเย่เฟิงกับหลี่ซู่ พวกเขาไม่ได้มีความแค้นอะไรกันหรอก เพียงไม่พอใจกันส่วนตัวเท่านั้น ดังนั้นตอนไม่เจอกันก็ดีหน่อย แต่พอเจอกันทีละ ถ้าไม่ทะเลาะกันก็ต้องท้าประลองกันทุกที น่ารําคาญจะตาย”

ผมทําหน้าตกใจทันที เมื่อก่อนมู่หลงเหยียนเคยพูดว่า

เจ้าเย่เฟิงนี่ไม่ธรรมดา มีพลังสูงสุดๆ และยังมีฉายาว่าเป็นหนึ่งในขุนศึกทั้งห้าอีกด้วย

แม้จะไม่รู้ที่มาของ “ขุนศึกทั้งห้า” อะไรนี่ แต่ดูจากชื่อแล้ว น่าจะเป็นผู้ห้าตัวที่ร้ายกาจสุดๆ

เจ้าผีที่ชื่อหลี่ซ่น สามารถสู้กับเจ้าเย่เฟิงนั้นได้ งั้นมันก็ไม่ได้แปลว่าเขามีพลังสูงเหมือนกันเหรอ

พอคิดถึงตรงนี้ ผมก็ถามเพิ่มอีกหน่อย “เจ้าผีที่ชื่อหลี่ซู่นี่ร้ายกาจมาก และเป็นหนึ่งในขุนศึกทั้งห้าเหมือนกันเหรอ ? แล้วเขาสู้กับเจ้าแซ่เย่นั้นได้ไหม ?”

มู่หลงเหยียนเห็นผมค่อนข้างสนใจเรื่องนี้ เธอเลยพูดต่อ “ร้ายกาจจริงๆนั่นแหละ แต่หลี่ซูไม่ใช่ขุนศึกทั้งห้า และความไม่พอใจที่เขามีต่อเย่เฟิง ก็มาจากฉายาขุนศึกทั้งห้านี่แหละ……”

“โห งั้นเธอเล่าให้ฉันฟังหน่อยได้ไหม…..” ผมทําตาโต ท่าทางอยากรู้อยากเห็นสุดๆ

สําหรับผม โลกของมู่หลงเหยียน คือโลกของเหล่าผี

เพื่อนที่เธอคบหา ล้วนเป็นผีทั้งหมด เป็นโลกหนึ่งใบที่โลดแล่นอยู่ในความมืดมิดของโลกมนุษย์

แต่หนึ่งในผีเหล่านั้น ถ้าไม่ใช่ผีจากหลุมศพไร้ญาติ ก็เป็นผีในป่าช้า หรือไม่ก็ผีที่บําเพ็ญตนในป่ารกร้างบางแห่ง

มู่หลงเหยียนเห็นผมทําท่าอยากรู้มาก เธอเลยกลอกตาให้ผมอีกรอบ “คิดไม่ถึงว่านายจะเป็นพวกสอดรู้แบบนี้ เอาเถอะฉันจะเล่าให้ฟัง….”

หลังจากพูดจบ มู่หลงเหยียนก็เล่าความสัมพันธ์ระหว่างหลี่ซู่กับเย่เฟิง และที่มาของขุนศึกทั้งห้าให้ฟัง

มู่หลงเหยียนบอกว่า หลี่ซูและเย่เฟิง ล้วนเป็นผีแกร่งในรุ่นพวกเรา

เพราะในสถานที่เดียวกัน มีผู้ที่ถูกเลือกเพิ่มขึ้นมาอีกตัว ดังนั้นย่อมมีความขัดแย้งตามมา และผลของความขัดแย้งก็คือความโกรธแค้น

แต่ในบรรดาผู้ที่ถูกเลือก หลี่ซูเป็นผีที่ชอบอิสระ ชอบเดินทางไปไหนมาไหนคนเดียว

ส่วนเย่เฟิง กลับชอบมีส่วนร่วมในอํานาจ ถือเป็นหนึ่งในผู้นําผีตนหนึ่ง

ในโลกของผี ทั้งสองตนถือเป็น “วัยรุ่น” ที่มีชื่อเสียงของรุ่น

และทุกๆหนึ่งร้อยผี ในโลกของผีบนโลกมนุษย์จะมีการเลือกผีวัยรุ่นขึ้นมาหนึ่งตน แล้วตั้งเป็น “ขุนศึก”

ถือเป็นฉายาที่ทรงเกียรติและยอดเยี่ยมที่สุด

เพราะเย่เฟิงและหลี่ซู่เป็นผีที่โดดเด่นทั้งคู่ ดังนั้นฉายา “ขุนศึก” ของฝั่งตะวันตกเฉียงใต้ เลยต้องขึ้นอยู่กับใครคนใดคนหนึ่งในสองคนนี้

ผลลัพธ์ไม่ต้องคิดก็คงรู้กันแล้ว เย่เฟิงเป็นคนชนะ และได้ฉายา “ขุนศึก” ไปครอง

แต่เย่เฟิงไม่ได้ชนะด้วยพลัง แต่เป็นอาวุธในมือ

หลี่ซู่สู้กับเย่เฟิงมาชั่วชีวิต จึงเป็นธรรมดาที่เขาจะรู้สึกไม่พอใจ

และเจ้าเฮ่เฟิงก็เป็นคนจองหอง ทุกครั้งที่เจอหลี่ซู่ เขาก็จะใช้ฉายา “ขุนศึก” เยาะเย้ยหลี่ซู่

ไม่ต้องคิดก็รู้ พอสองผีนี้มาเจอหน้ากันก็เกลียดขี้หน้ากันทันที แค่เจอหน้า ก็มีสงครามน้ำลายเกิดขึ้นได้อย่างง่ายดาย

พอได้ยินถึงตรงนี้แล้ว ผมก็อดสูดหายใจเข้าลึกๆไม่ได้ ถึงว่าทําไมมู่หลงเหยียนบอกว่าเย่เฟิงร้ายกาจนัก

ที่แท้เจ้าเย่เฟิงนี้ ก็เป็นผีที่บําเพ็ญตนจากทางทิศตะวันตกเฉียงใต้

และเป็นผีหนุ่มที่แข็งแกร่งที่สุดในรุ่นนี้

ในเวลาเดียวกันผมก็รู้สึกแปลกใจมาก คิดไม่ถึงว่าในความมืดมิด ก็ยังมีผู้นําของเหล่าผีที่ฝึกตนอยู่ด้วย

ศพ

ศพ

อ่านนิยายเรื่องศพ
Status: Ongoing
โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset