ศพ – ตอนที่ 403 รวมทีม

ตอนที่ 403 รวมทีม

หลังจากยืนยันให้จุ่ยเฉิงจึงเข้าร่วมด้วยเรียบร้อย ปัญหาเรื่องยันต์ปิดลมหายใจก็หมดไป

ยันต์ขนิดนี้ “น่าทิ้ง” มาก ตอนที่หยางเนิ่วใช้ เธอทําให้พวกเรารอดจากสายตาผีทหารตนหนึ่งได้

สามารถจินตนาการได้ ว่ายันต์ขนิดนี้ร้ายกาจขนาดนั้น

มันเอาไว้ใช้ปิดลมหายใจ ซ่อนตัวได้ในช่วงเวลาสําคัญ ถือเป็นของที่สําคัญมาก

พอฉียเจ๋งจึงมาร่วมด้วย ผมก็บอกเวลานัดกับเธอ ผมวางแผนว่าจะลงมือพรุ่งนี้ ถึงตอนนั้นผม จะขับรถไปรับเธอเอง

หลังวางสาย ผมก็โทรไปหาเหล่าเฟิง

เหล่าเฟิงพูดง่ายยิ่งกว่า ผมบอกว่าจะไปขโมยของ อันตรายมาก เกี่ยวข้องกับองค์กรตาผี ห้ามบอกพวกอาจารย์ต้องเก็บเป็นความลับ

ผลลัพธ์เจ้าหมอนี่ไม่ถามรายละเอียดเลยสักนิด ถามแค่ เวลากับสถานที่เท่านั้น

ผมบอกตามตรง ว่าจะออกเดินทางพรุ่งนี้ตอนเที่ยง สถานที่ค่อนข้างไกล อยู่ที่เขาเขียวหมาป่า

ผลลัพธ์เสียงผมเพิ่งเงียบ ยังไม่ทันได้พูดต่อ เจ้าหมอนั้นก็กดวางสายผมทันที

ผมได้แต่มองโทรศัพท์ คลี่ยิ้มอย่างขมขึ้น นี่ก็คือสไตล์ของเหล่าเฟิง

ตอนนี้มีเหล่าเฟิง และนุ่ยเฉิงจึงร่วมด้วยแล้ว ต่อไปผมต้องไปขอให้ปู่หลิ่วช่วย

ในฐานะศิษย์ ปู่หลิวยังได้รับคําสั่งจากนางพญา ให้คอยปกป้อง และจัดการปัญหาต่างๆให้ผมที่นี่

ตอนนี้ผมไปขอให้ปู่หลิ่วช่วย และคนที่ต้องการความช่วยเหลือยังเป็นมู่หลงเหยียน มู่หลงเหยียนมีความสัมพันธ์อันดีกับนางพญา

ผมคิดว่าปู่หลิ่วไม่มีเหตุผลจะปฏิเสธ เขาต้องรับปากผมอย่างแน่นอน
แต่ถึงจะเป็นแบบนั้น ผมก็ไม่เข้าไปมือเปล่า แต่ออกไปที่ตลาดไก่บนถนน ซื้อไก่ตัวผู้ตัวใหญ่สองตัว

จากนั้นถึงได้ไปที่ศาลเจ้าหลักเมือง

ศาลเจ้าหลักเมืองยังทรุดโทรมเหมือนเดิม ไม่มีใครผ่านเข้ามาแวะเวียน

แต่ผมรู้ดี ว่าที่นี่มีปีศาจอยู่สองตัว และยังเป็นปีศาจจิ้งจอกที่ร้ายกาจมากอีกด้วย

ตอนมาถึงศาลเจ้าหลักเมือง ผมไม่ได้เดินเข้าไปทันที

แต่ตะโกนเข้าไปก่อน “ศิษย์ติงฝาน ขอพบปู่หลิ่ว !”

เสียงเพิ่งเงียบลง ก็มีเสียงผู้หญิงดังออกมาจากข้างใน “เข้ามาเถอะ !”

คนผู้นี้ก็คือหลานสาวของปู่หูลิ่ว ยัยจิ้งจอกน้อยตัวนั้น หูเหมย

หลังจากได้รับอนุญาตแล้ว ผมก็ถือไก่เข้าไป

เพิ่งเข้ามาข้างใน ผมก็เห็นในกอหญ้า มีจิ้งจอกสีเพลิงหนึ่งตัวกําลังนอนขดตัวอยู่

นี่ก็คือยัยจิ้งจอกน้อย แต่พอลองมองไปรอบๆ นอกจากจิ้งจอกน้อยตัวนี้ ผมก็ไม่เห็นจิ้งจอก เฒ่าสีเหลืองตัวนั้น หรือปู่หูลิ่วเลย

จิ้งจอกน้อยค่อยๆเงยหน้ามองผม จากนั้นก็พูดภาษาคนออกมา “เลิกมองได้แล้ว ปู่ของฉันไม่อยู่ มีเรื่องอะไรบอกฉันก็เหมือนกันนั่นแหละ !”

น้ําเสียงจิ้งจอกน้อยฟังดูเย็นชา ไม่อยากต้อนรับผมเท่าไหร่

แต่ผมมีเรื่องสําคัญ จึงไม่สนเรื่องอื่น พูดกับยัยจิ้งจอกน้อยทันที “เสี่ยวเหมยหลิวไปไหน ? แล้วจะกลับเมื่อไหร่ ?”

จิ้งจอกน้อยยกเชือกตามองครึ่งหนึ่ง แล้วพูดกับผมอย่างเย็นชา “ปุ่ฉันกลับเขาจิ้งจอก ไม่ถึง 7-8 วันไม่กลับมาหรอก มีเรื่องอะไรก็พูดมา อย่าลีลา……”

ให้ตายเถอะ เจ็ดแปดวัน แบบนี้จะทํายังไงได้ละ

สาขาย่อยขององค์กรตาผีอาจจะย้ายหินลี่ลั่วในอีกไม่กี่วันนี้ ถ้ารอให้ปู่หลิวกลับมา ก็ไม่ต้องทําอะไรกันพอดี

ไม่มีทางเลือก ตอนนี้ต้องเปลี่ยนแผนใหม่ ขอให้หูเหมยช่วยแทน

พอคิดได้แบบนั้น ผมก็ฉีกยิ้มออกมา แล้ววางไก่สองตัวเอาไว้ที่พื้น “เสี่ยวเหมย ฉันเอาไก่ตัวผู้มาให้ เธอลองชิมดูซิ”

หูเหมยเหลือบตามอง จ้องผมแป๊บหนึ่ง “ ยิ้มไร้ยางอายขนาดนั้น ต้องมีเรื่องไม่ดีมาแน่ๆ มีเรื่องอะไร

ก็พูดมาเถอะ !”

ยิ้มไร้ยางอาย ฉันยิ้มแบบส่องประกายสุดๆต่างหาก เธอใช้ “ไร้ยางอาย” มาเปรียบเนียนะ

ในใจผมอารมณ์เสียมาก แต่ต้องขอความช่วยเหลือ ดังนั้นเลยไม่มีทางเลือก

ผมได้แต่พูดต่อ “ มันเป็นแบบนี้ พรุ่งนี้ฉันวางแผนจะไปขโมยของที่สาขาย่อยองค์กรตาผี ต้องการความช่วยเหลือจากเธอ เพราะพวกเธอเผ่าจิ้งจอกอยู่ในเขา หรือจะเรียกได้ว่าเหมือนได้ เดินในบ้านของตัวเอง

แถมยังคอยตรวจจับศัตรูที่ซุ่มอยู่ได้ ดังนั้นฉันเลยอยากให้เธอช่วยเราหน่อย”

หเหมยอึ้งไปพักหนึ่ง ดวงตาทั้งสองข้างเผยสีหน้าตกใจออกมาเล็กน้อย จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นทันที

จากที่นอนอยู่ในกอหญ้า ก็กลายร่างออกมาเป็นสาวน้อยใส่ชุดขนจิ้งจอกทันที

พอหูเหมยกลายร่างเป็นสาวน้อยแล้ว เธอดูสวยมากๆเลยละ โดยเฉพาะดวงตาคู่นั้น มันดูน่าดึงดูดมาก

ถึงว่าทําไมคนชอบใช้ “จิ้งจอกจอมเย้ายวน” มาอธิบายปีศาจจิ้งจอก แต่ผมก็ไม่ได้เห็นร่างมนุษย์ของหูเหมยครั้งแรก เลยไม่ได้รู้สึกแปลกใจใดๆ

ส่วนหูเหมยกลับมาหน้าซีเรียส พร้อมพูดกับผมว่า “นายบอกว่านายจะไปสาขาย่อยขององค์กรตาผี ?

“ใช่ สาขาย่อยองค์กรตาผี”

“แถมนายยังจะไปขโมยของอีกด้วย ?”

“ใช่ ขโมยของ

ผมทําหน้าจริงจัง พร้อมตอบกลับตามความจริง

แต่หลังจากพูดจบ หูเหมยกลับอดไม่ได้ที่จะสูดหายใจเข้าลึกๆ “นายคงไม่ได้บ้าไปแล้วหรอกนะ พลังระดับนาย ยังคิดจะไปขโมยของขององค์กรตาผี นายไปรนหาที่ตายเหรอฮะ ?”

เหมือนหูเหมยจะมองผมแบบคนปัญญาอ่อน คิดว่าการกระทําของผม ไม่ต่างอะไรจากการไปตาย

แต่ผมกลับยิ้มอ่อนให้เธอ “เสี่ยวเหมย ฉันไม่ได้บ้า ฉันจริงจังนะ และของที่จะขโมยในคราวนี้คือน้ําลี่ลั่ว”

“น้ําลี่ลั่ว มันคืออะไร ?” หูเหมยไม่เข้าใจ

สาหรับหูเหมย ผมไม่คิดจะปิดบังเธอ

เพราะเผาจิ้งจอกรู้เรื่องชีวิตของผมอย่างละเอียด และตัวผมก็เป็นช่หม่าของเผ่าจิ้งจอก พวกเธอเองก็คงไม่ทําร้ายผม

ด้วยเหตุนี้ ผมเลยเล่าเรื่องน้ําลี่ลั่ว และเรื่องที่จะเอาไปใช้ปลูกหญ้าหยินจ่าว ให้หูเหมยฟังทั้ง

หมด

และพูดเน้นเรื่องข้อจํากัดพิเศษของสาขาย่อยนั้น และเรื่องพลังขององค์กรตาผี

พลังนี้สร้างข้อจํากัดให้พวกผี ดังนั้นคราวนี้คนที่จะไปขโมยน้ําลี่ลั่ว ต้องเป็นสิ่งมีชีวิตเท่านั้น

ในเวลาเดียวกันผมก็บอกเธอว่าหินลี่ลั่วอาจโดนย้ายเร็วๆนี้ ผมเลยต้องรีบลงมือ ไม่อย่างนั้นอาจไม่มีโอกาสอีก

หลังจากหูเหมยตะลึงเสร็จ เธอก็ใช้สายตาแปลกๆมองผม

“นายไม่กลัวอันตรายจริงๆ จะทําเพื่อช่วยเมียผีของนาย และพวกหุ่นเชิดที่เสียที่มาของวิญญาณพวกนั้นเหรอ ?”

จ่ๆก็ได้ยินหเหมยพดแบบนั้น ผมเลยอดยิ้มแบบขมขื่นไม่ได้ แต่สุดท้ายก็พยักหน้าให้เธอ “ใช่ เมียผีของฉัน ช่วยพวกที่เสียที่มาของวิญญาณ และพวกผีที่ยอมสู้กับองค์กรตาผีจนถึงที่สุด”

“แน่นอน ในฐานะคนปราบสิ่งชั่วร้าย หากเป็นเรื่องสู้กับลัทธิหรือปีศาจร้าย ฉันก็ต้องทําอยู่แล้ว

ผมค่อยๆพูด หูเหมยลังเลอยู่พักหนึ่ง จนสุดท้ายก็พูดออกมาว่า “ได้ ฉันตกลง คราวนี้ฉันจะไปกับนายด้วย แต่นายจําเอาไว้เรื่องที่พวกนายเผ่าศพพ่อของฉัน ทําให้เขาฝังในเขาจิ้งจอกไม่ได้ มันยังไม่จบหรอกนะ !”

พอได้ยินคําพูดนี้ ผมก็หมดค่าพูดทันที

สาเหตุที่หเหมยเย็นชาใส่ผมทุกครั้ง ก็น่าจะเป็นเพราะเรื่องศพของพ่อเธอโดนพวกเราเผา

ถึงจิ้งจอกตัวแม่และปู่หลิวจะให้อภัยพวกเราแล้ว แต่หูเหมยกลับฝังไว้ในใจมาโดยตลอด

ผมเงียบไปแป๊บหนึ่ง จากนั้นถึงได้โบกมือให้หูเหมย “เสี่ยวเหมย ตอนนั้นเราไม่ได้ตั้งใจจริงๆ ถ้าเป็นไปได้ วันหน้าพวกเราต้องใช้วิธีอื่นชดเชยให้พวกเธออย่างแน่นอน……”

แต่หูเหมยกลับไม่เห็นด้วย “ฮี! ใครสนละ ? นายรีบไสหัวไปได้แล้ว ! พรุ่งนี้ฉันจะไปหานายเอง”

หลังจากพูดจบ ดวงตาของหูเหมยก็เปล่งประกาย เอื้อมมือออกมาคว้าไก่ตัวผู้ไปท่าแบบเดิม ยังไม่ทันถึงขนออก เธอก็อ้าปากกัดคอไก่ตรงๆ……

ศพ

ศพ

อ่านนิยายเรื่องศพ
Status: Ongoing
โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset