ศพ – ตอนที่ 404 ออกเดินทาง

ตอนที่ 404 ออกเดินทาง

ขณะมองจิ้งจอกน้อยกินไก่ ผมก็ไม่กล้าเอ่ยชมจริงๆ กระฉากขนในที่เดียว ปากเต็มไปด้วยเลือ

ดสดๆ

ไก่ตัวผู้ในมือเธอ ดิ้นรนได้เพียงแค่สองครั้ง มันก็หมดลมหายใจในทันที

ดูเหมือนจิ้งจอกน้อยจะไม่พอใจที่ผมจ้องเธอ “นายทําอะไรฮะ ? ยังไม่ไปอีก !”

พอเห็นจิ้งจอกน้อยเป็นแบบนั้น ผมก็ไม่รู้จะพูดอะไรออกมาดี

“โอเค ! งั้นฉันไปก่อนนะ เธอค่อยๆกินละ !” ขณะพูด ผมก็เดินออกมาจากศาลเจ้าหลักเมือง

จิ้งจอกน้อยฉีกไก่ในตัวศาลเจ้าหลักเมืองไม่หยุด ดูท่าทางจะหิวมาก

ผ่านไปไม่นาน ผมก็กลับมาถึงร้าน

อาจารย์เห็นผมออกไปพักหนึ่ง เลยถามผมว่าไปไหนมา ผมบอกว่าไปเดินเล่นแถวนี้มา

ในเวลาเดียวกันก็บอกอาจารย์ว่า วันพรุ่งนี้มีงานเลี้ยงรุ่น ต้องออกไปข้างนอก

พออาจารย์ได้ยินว่าผมจะออกไปข้างนอกอีกแล้ว เขาก็อดขมวดคิ้วไม่ได้ “เสี่ยวฝาน หลายวันนี้แกอย่าออกไปไหนเลยดีกว่า ช่วงนี้แกดวงไม่ดี ออกไปทีไรก็ต้องไปเจอเรื่องยุ่งกลับมาทุกที”

ผมกลับฉีกยิ้ม “ไม่เป็นไรอาจารย์ พวกปุยซานหยวนโดนเล่นงานจนบาดเจ็บหนัก ช่วงสองสามวันนี้พวกมันไม่กล้าออกมาหาเรื่องใส่ตัวแน่ๆ”

อาจารย์ได้ยินผมพูดแบบนั้น เลยไม่ชวนคุยต่อ

เพียงบอกผมให้อยู่เฝ้าร้าน ตัวเขาจะไปดื่มชาและเล่นหมากรุกกับเหล่าฉินที่สุสาน

พออาจารย์ไปแล้ว ผมก็เริ่มเตรียมอาวุธ

ดาบไม้ ดาบเหรียญ ยันต์ กระจกแปดทิศ ข้าวเหนียว ด้ายดําและอื่นๆ ผมเอาไปแทบทุกอย่างที่มี พอเตรียมเสร็จผมก็เอาพวกมันไปใส่ไว้บนรถ

หลังจากเตรียมอาวุธเสร็จแล้ว ผมยังเอากระดิ่งกุมวิญญาณออกมาดูเล่น

เจ้าสิ่งนี้เป็นอาวุธที่ทรงพลังที่สุดของผม เป็นสมบัติที่หาได้ยากชิ้นหนึ่ง

หลังจากผมหยิบขึ้นมาเล่นสักพัก ผมกลับต้องตกใจ เพราะกระดิ่งในมือผมมีรอยร้าวหนึ่งรอย

พอเห็นสิ่งนี้ ผมก็ใจสั่นอย่างแรง

สมบัติแบบนี้จะมีรอยร้าวได้ยังไง ผมคิดว่าตัวเองมองผิด เลยเบิกตากว้างๆ แล้วใช้มือตรวจดูอีกสักพัก

ผลลัพธ์มันกลับเป็นความจริง กระดิ่งมีรอยร้าวจริงๆ

มันเล็กมาก จนแทบมองไม่เห็นได้ง่ายๆ แต่ผมก็มั่นใจว่ามันคือรอยร้าว

ขณะมองรอยร้าว หน้าผมกลับเต็มไปด้วยเส้นด่า

นี่เป็นของล้ําค่าที่มู่หลงเหยียนให้ผมมาเชียวนะ เพิ่งใช้ได้ไม่นาน ผมก็ทํามันแตกแล้วเหรอ ผมไม่เข้าใจ

ขณะเดียวกันก็รู้สึกปวดใจ แต่ถึงจะมีรอยร้าวแต่ผมก็ทําอะไรไม่ได้ ได้แต่เก็บรักษามันให้ดีๆ

เท่านั้น

ช่วงเวลาในวันนี้ผ่านไปอย่างรวดเร็ว เช้าวันรุ่งขึ้น ผมเตรียมของทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว

หลังจากกินข้าวเที่ยงเสร็จ ผมก็จุดธูปให้มู่หลงเหยียน

พอเห็นอาจารย์ไม่ได้สนใจ ผมก็พูดกับป้ายวิญญาณมู่หลงเหยียนว่า “น้องศพ น้องศพ ฉันจะไปแล้วนะ น่าจะถึงตอนเย็นๆ”

หลังจากพูดจบ ผมก็ปักธูปลงในกระถาง

เสี้ยววินาทีต่อมา สายลมอันเยือกเย็นก็ไหลออกมาจากป้ายวิญญาณ ทันใดนั้นเสียงของมู่หลงเหยียนก็ดังขึ้น “โอเค นายเองก็พาคนไปด้วย เดี๋ยวขากลับฉันจะไปรับพวกนาย ต้องระวังตัวดีๆด้วยนะ”

“อืม” ผมตอบรับ จากนั้นก็เดินออกมาจากโต๊ะบูชาทันที

ต่อจากนั้นผมก็ทักอาจารย์ จากนั้นก็เดินตรงออกจากร้านทันที

รถตู้ของผม จอดอยู่แถวหน้าร้าน

ผมเพิ่งขึ้นมาบนรถ ก็เห็นจิ้งจอกน้อยมาอยู่บนรถแล้ว ผมเองก็ไม่รู้ว่ามันเข้ามาได้ยังไง ตอนนี้มันกําลังนั่งอยู่บนเบาะ

“เสี่ยวเหมย เธอมาถึงเร็วจัง !” ผมพูดด้วยรอยยิ้ม

แต่เสียวเหมยกลับแค่ยกเชือกตาขึ้น “พูดมาก”

หลังจากพูดจบ เธอก็หลับตา แล้วเอาหัวพิงเบาะทําท่านอนต่อ

ผมทําหน้าอึดอัดใจ แต่ก็ไม่ทําให้ตัวเองต้องขายหน้าต่อ

ต่อจากนั้น ผมก็ขับรถมาที่ทางแยก

เหล่าเฟิงมารอผมอยู่ที่นี้นานแล้ว ผมโบกมือให้เขา เหล่าเพิ่งเห็นผมมาแล้วดับบุหรี่ แล้วเดินขึ้นรถ

เหล่าเฟิงเหล่ตามองจิ้งจอกน้อย แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร

“นอกจากเราสามคนแล้ว ยังมีจุ่ยเฉิงจึงอีกคน” ผมพูด

“ผู้หญิงที่เป็นศิษย์สํานักเหมาชานนั่นนะเหรอ ?” เหล่าเพิ่งถามต่อ

ผมพยักหน้า “ใช่ เธอนั่นแหละ ! หยางเฉวไม่อยู่ มีแค่เธอที่มียันต์ปิดลมหายใจ และเธอก็อยากไปกับพวกเราด้วย”

เหล่าเฟิงฟังเงียบๆ ไม่ได้แสดงความคิดเห็นใดๆ

ต่อจากนั้น พวกเราก็ตรงเข้าไปในเมือง และหยุดจอดที่หน้ามหาลัยชิงฉือ พอเห็นตัวจุ่ยเฉิงจึง

àยเฉิงจิงก็ไม่พูดพร่ําทําเพลง ขนอาวุธขึ้นรถทันที

“อยู่มหาลัยจนเบื่อจะตายแล้ว ไปกับพวกนายสนุกกว่าเยอะ” จี่ยเฉิงจึงพูดด้วยความดีใจ

ผมคลี่ยิ้ม “เอายันต์มาหรือยัง ?”

“เอามาแล้ว พอถึงที่แล้วฉันจะเอาออกมาให้ !”

หลังจากพูดจบ จุ่ยเฉิงจิงก็มองเฟิงเฉิวหานที่นั่งอยู่ข้างๆคนขับ

เธอโบกมือให้เพิ่งเฉวหาน “เฮ้นาย ชื่ออะไรเหรอ ! ฉันชื่อฉัยเฉิงจิง”

นุ่ยเฉิงจึงดูเป็นมิตรสุดๆ เหล่าเฟิงมองฉียเฉิงจึงผ่านกระจกหลัง จากนั้นก็ตอบกลับเบาๆ “เฟิงเฉวหาน”

“หือ ! นายก็คือเพิ่งเฉวหานเหรอ ! ครั้งก่อนติงฝานลากนายเข้ามาด้วย พวกเราเคยเล่นเกมด้วยนะ ชื่อในเกมของฉันคือจิงจิง เคยเป็นผู้ช่วยของนายด้วยแหละ” นุ่ยเฉิงจึงพูดด้วยความตื่นเต้น เธอพยายามให้เหล่าเพิ่งนึกถึงเรื่องนั้น

“ว่าได้ เล่นได้มือใหม่สุดๆ” เหล่าเฟิงตอบกลับสั้นๆ

นุ่ยเฉิงจึงกลับดูดีใจมาก “ฉันเห็นนายเวลสูง ฝีมือก็ดี วันหลังพาฉันไปอัพเวลอีกนะ !”

จุ่ยเฉิงจึงเหมือนกับซาลาเปาพูดได้ เธอพูดได้ไม่รู้จักเหนื่อย

เพิ่งเฉวหานโดนแซวแล้ว มุมปากเลยยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย เขาตอบกลับแค่คําเดียว “ได้”

นุ่ยเฉิงจึงกลับหัวเราะ “คิกๆๆ” ในเวลาเดียวกัน เธอก็หันไปเห็นจิ้งจอกน้อยบนเบาะข้างๆเลย เกิดตื่นเต้นขึ้นมาอีกรอบ “ว้าว แมวตัวนี้สวยมาก !”

หลังจากพูดจบ จุ่ยเฉิงจิงก็คิดจะเอื้อมมือไปอุ้ม

ผลลัพธ์เสี่ยวเหมยกลับพูดขึ้นมาอย่างเย็นชา “อย่าขยับ ฉันเป็นจิ้งจอก ไม่ใช่แมว !”

การกระทําที่กระทันหัน ทําให้นุ่ยเฉิงจึงตกใจ

จิ้งจอกน้อยกลับไม่ขยับตัว มันหลับตานอนหลับเหมือนเดิม

แต่ไม่ว่ายังไงจุ้ยเฉิงจิงก็เป็นศิษย์ส่าหนักเหมาชาน เธอได้สติกลับมาอย่างรวดเร็ว เธอพูดด้วยจิตใจที่สงบนิ่ง “ขอโทษที ที่แท้ก็เซียนจิ้งจอก ติงฝาน นายไม่เห็นบอกฉันว่าครั้งนี้มีเซียน จิ้งจอกไปด้วยฮะ !”

ผมค่อนข้างไปไม่เป็น ก่อนหน้านี้เธอก็ไม่ได้ถามฉันน

ต่อจากนั้น บนรถก็มีเสียงนุ่ยเฉิงจึงพูดอยู่คนเดียวไม่หยุด

แต่พอมีเธออยู่ บรรยากาศในรถก็ไม่เงียบเหงาเหมือนก่อนหน้านี้

เพราะคราวนี้เป็นการเดินทางค่อนข้างไกล จนกระทั่งห้าโมงเย็น พวกเราถึงได้มาถึงตําบลเล็กๆแถวเขา

เขี้ยวหมาป่า

ชื่อตําบลอะไรไม่รู้ แต่พวกเรากลับคิดจะพักกินข้าวกันที่นี่ หลังจากนั้นค่อยเดินเท้าต่อ พยายามไปให้ถึงก่อนเที่ยงคืนเข้าไปใกล้ๆตัวสาขาย่อย หลังจากนั้นค่อยแอบเข้าไปอีกที

ตอนกินข้าวเสี่ยวเหมยแปลงกายเป็นมนุษย์ สาวสวยผู้งดงามคนหนึ่ง

ฉียเฉิงจึงเห็นหูเหมยสวยถึงขนาดนี้ เธอเลยเอ่ยปากชมไม่หยุด

หูเหมยเองก็เป็นผู้หญิง เธอก็ชอบให้คนอื่นชมว่าเธอสวยเช่นกัน

บวกกับจุ่ยเฉิงจังและเสี่ยวเหมย ไม่มีความแค้นใดๆต่อกัน

ต่อจากนั้น หูเหมยและนุ่ยเฉิงจิงก็ค่อยๆสนิทกันขึ้นเรื่อยๆ

หูเหมยใช้ชีวิตอิสระอยู่ในภูเขา เธอไม่ค่อยเข้าใจสังคมของมนุษย์

นุ่ยเฉิงจึงเลยเล่าเรื่องสิ่งแปลกๆในชีวิตมนุษย์ให้หูเหมยฟังไม่หยุด โดยเฉพาะเวลาพูดถึงของใช้ของผู้หญิง เช่นเครื่องสําอาง เสื้อผ้าสวยๆ ของแบรนด์เนม หรือแม้แต่หยิบโทรศัพท์ขึ้นมา เปิดเถาเป่าให้เธอดู

พวกข้าวของเครื่องใช้ที่หูเหมยสามารถพกติดตัวได้

ผมและเหล่าเพิ่งรู้สึกว่ามันไร้สาระ เราไม่สนใจพวกเสื้อผ้า เครื่องสําอาง หรือของแบรนด์เนมอะไรนั่นเลย ผลลัพธ์เสี่ยวเหมยเจ้าจิ้งจอกน้อยตัวนี้เห็น กลับดึงดูดเธอสุดๆ

พวกเราที่มองดูอยู่ ถึงกลับช็อกกันเลยทีเดียว

ดูเหมือนเครื่องสําอาง เสื้อผ้าสวยๆ หรือของหรูหราต่างๆ จะมีแรงดึงดูดกับผู้หญิงสุดๆ ไม่เพียงไม่แบ่งช่วงอายุ แต่ยังไม่แบ่งแยกเผ่าพันธ์อีกด้วย……

ศพ

ศพ

อ่านนิยายเรื่องศพ
Status: Ongoing
โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset